บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 เลิกเสแสร้งได้แล้ว

หลายวันหลังจากคืนนั้นนางอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว เวลาเหมือนคมมีดค่อย ๆ เฉือนโอกาสไปทีละน้อย ในช่วงเช้านางฝึกร่างกายให้แข็งแรงขึ้นจนเหงื่อออกก็เข้ามาล้างตัวและให้ซูม่านลอบส่งจดหมายถึงเขาที่น่าจะพำนักอยู่ตระกูลไป๋ว่า ต้องการพบคุณชายรองไป๋เจี้ยนหง เพื่อสนทนาเรื่องที่เราทั้งคู่ไม่ปรารถนา

วันแล้ววันเล่ากลับไร้วี่แววตอบรับ ทุกเช้าเมื่อไก่ขัน นางยังเงี่ยหูฟังเสียงผู้ส่งข่าวที่ไม่เคยมาถึง ใครจะคิดว่าสิ่งที่เดาไว้ว่าเขาน่าจะเกลียดร่างนี้จะใช่เรื่องจริงเล่า

ชีวิตอวี้เซียนดีขึ้นบ้างแล้ว ได้ย้ายจากเรือนเก่าท้ายจวนมายังเรือนเดิมสมฐานะคุณหนูรอง ทว่าแม้บ่าวขานรับสุภาพแต่ก็มีแววตาสื่อบอกว่าไม่เต็มใจ อาหารดีขึ้น ห้องสะอาดกว่าเดิม แต่หากเทียบชีวิตคุณหนูทั่วไปก็น่าจะถือว่าต่ำกว่ามาตราฐานมากโข

ยังไม่ทันวางแผนใหม่ว่าจะติดต่อเจี้ยนหงอย่างไรก็มีลู่ทางมาให้ใช้เสียแล้ว ในวันนี้ตระกูลหลินจัดการฉลองที่บิดาได้เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นสามขึ้นเป็นขั้นสอง

ยามนี้เสียงฆ้องกลองจากหน้าจวนตั้งแต่ยามเฉิน (7.00 – 8.59 น.) บ่าวสาวจากเรือนหลักลากนางมานั่งหน้ากระจกตั้งแต่เช้าเลือกเกล้าผมเป็นมวยเรียบ ประดับเพียงปิ่นเงินที่มีก็ทำให้พอดูดีมีราศีคนรวยขึ้นมา

“วันนี้คุณหนูต้องวางตัวให้เหมาะสมหน่อยนะเจ้าค่ะ ฮูหยินกำชับว่าสำคัญคืออย่าให้แขกเอ่ยเรื่องเก่าได้”

นางมองเงาในกระจก ดวงตานิ่งราวผืนน้ำ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดพูดสิ่งใดให้น่าจดจำ”

...แต่คนอื่นจะพูดไหมนางก็ห้ามไม่ได้อ่ะนะ

ทันทีที่นางก้าวเข้าศาลา เสียงพูดคุยของเหล่าแขกเหรื่อก็ขาดหายเหมือนใครดับไฟ ก่อนคลื่นซุบซิบรอบใหม่จะซัดกลับมา อวี้เซียนนั้นเดินผ่านหน้าทุกคนไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน

... ในกระดานหมากนี้ ผู้ที่รู้สึกคือผู้ที่แพ้

งานวันนี้ไม่ต่างจากงานกุศลที่ตนต้องเข้าร่วมบ้างสมัยเป็นมาเฟีย ชุดและเครื่องประดับสตรีชั้นสูงส่องประกายเงินทอง จนแสบตา ขุนนางแต่งเต็มยศยืนคุยปั้นหน้าสานสัมพันธ์ กลิ่นคำว่ามารยาทถูกขัดจนมันวับ

“เชิญตระกูลไป๋”บ่าวที่มีหน้าที่ต้อนรับแขกที่หน้าจวนเอ่ยขึ้น

บุรุษร่างสูงในอาภรณ์น้ำเงินเข้มก้าวนำมา เขาคือไป๋อี้เหวิน บุรุษผู้ใบหน้าคมเข้ม ท่วงท่าดุดันแผ่อำนาจท่วมท้น ดวงตาคมกวาดทั่วห้องโถงก่อนหยุดที่หญิงในชุดขาวอมชมพู หลินอวี้เยี่ยน...

เพียงเสี้ยวเดียว แววตาเย็นเมื่อครู่แปรเป็นอ่อนละมุนเหมือนแดดในช่วงใบไม้ผลิ เขาเดินตรงไปหาอวี้เยี่ยน ไม่สนเสียงคำนับของใครระหว่างทาง รอยยิ้มบางของเขาทำให้ซุบซิบระลอกใหม่ผุดขึ้น

...ชายที่นำนางไปทิ้งที่ประตูเมืองกลับมอบความอ่อนโยนให้กับคนที่รักเพียงผู้เดียว ช่างสมกับเป็นนิยายรักโรแมนติกยิ่งนัก

ไม่นาน เสียงฝีเท้าอีกคู่ดังขึ้น ช้ากว่าแต่มั่นคง...

เขาคือ ไป๋เจี้ยนหงในชุดเทาเข้มเรียบ ตราสำนักตรวจการสะท้อนแสงไฟ เขาไม่เปล่งรัศมีดุดันดังพี่ชาย ทว่ามีพลังเงียบที่ทำให้ผู้คนลดเสียงเอง เหล่าขุนนางเข้ามาทักทาย เขาเพียงพยักหน้า ใบหน้าว่างเปล่า ไม่วายมีเสียงกระซิบยามเจ้าตัวเดินผ่านไปแล้ว

“ความสามารถมากก็จริง แต่ยังเทียบพี่ชายไม่ได้หรอก”

“นั่นสิ หากเทียบได้คุณหนูสามหลินจะไม่เลือกได้อย่างไร”

ขณะที่ผู้คนล้วนสนทนาถึงผู้มาใหม่ทั้งหลายแต่อวี้เซียนนั้นยืนแข็งค้างใบหน้าหน้าแข็งทื่อไปแล้ว!

ที่แท้ชายที่ขี่ม้าผ่านในคราวคืนวันฝนตกก็คือว่าที่สามีของนาง ไป๋เจี้ยนหงเองหรือ

ไม่แปลกเลยที่เขาจะเย็นชาใส่นางในวันนั้น แต่จากที่เขายอมช่วยไล่พวกอันธพาลไปแม้จะรู้ว่านางคือใครก็พิสูจน์ได้ว่าเขายังมีความเมตตาอยู่บ้าง เช่นนั้นแผนในวันนี้ต้องดำเนินการต่อ!

เมื่อเสียงขลุ่ยท่อนสุดท้ายที่บรรเลงยามแขกร่วมทานมื้ออาหารจบลงรอบข้างก็สู่ความเงียบ แขกเริ่มทยอยลุก แสงโคมที่ถูกจัดเพราะด้วยว่าเข้าสู่พลบค่ำแล้ว อวี้เซียนก็เหลือบตามองซูม่านเพื่อให้ทำตามที่นางสั่งไว้ ซูม่านเดินไปหาเป้าหมายแล้วสอดกระดาษสีขาวแผ่นเล็กลงข้างถ้วยชาขณะรินชาให้เจี้ยนหง

ในนั้นมีข้อความพาดสั้น ๆ

หลังเลิกงาน พบกันที่สวนท้ายจวนหลิน เรามีเรื่องต้องคุยกัน

...

แสงโคมจากเรือนใหญ่ลอยริบหรี่เหนือปลายสวน เสียงขับกล่อมในงานเลี้ยงค่อย ๆ จาง เหลือเพียงเสียงลมพัดกอไผ่ไหวเบา ๆ

อวี้เซียนยืนนิ่งใต้ศาลาไม้ไผ่สถานที่นัดหมาย นางรู้ว่าเขาต้องมาแน่ เพราะเขาคงกลัวว่าสตรีชั่วร้ายเช่นนางจะวางแผนทำลายน้องสาวอย่างนางเอกในนิยายอีก

และไม่นาน เงาร่างสูงก็ปรากฏขึ้นจากความมืด แสงโคมกระทบชุดคลุมสีเทาเข้มจนดูเย็นเหมือนเหล็กเปียกฝน

“เจ้ากล้าส่งจดหมายถึงข้ากลางงานเลี้ยง” เสียงของเขาราบเรียบแต่มีแรงกดในทุกคำ “เจ้าคิดจะก่อเรื่องอะไรอีก”

...นั่นปะไร มาถึงก็กล่าวหานางเลย

“ข้าไม่ได้จะก่อเรื่องใด” นางตอบ “เพียงแค่ต้องการคุยเรื่องที่ท่านเองก็น่าจะไม่พอใจเช่นเดียวกัน เรื่องพระราชโอ--”

“ข้าไม่มีเรื่องไหนที่ควรพูดกับคนอย่างเจ้า” เขามองตรงมา ดวงตาไร้อารมณ์ไม่เปิดโอกาสให้นางพูดให้จบ

“ราชโองการนั้นไม่ใช่พระเมตตาท่านก็น่าจะพอมองออกอยู่บ้าง” เสียงนางเรียบเฉียบ “และเรากำลังอยู่ในกระดานเดียวกัน”

เจี้ยนหงหัวเราะสั้น ๆทันใด “หมากกระดานเดียวกับเจ้าข้าไม่อยากเป็น”

อวี้เซียนยิ้มบางผ่อนลมหายใจยาวระอากับความอคติของเขาที่บดบังดวงตาให้มืดบอดไม่ต่างจากคนอื่น หากเป็นอวี้เยี่ยนพูดพวกเขาคงเก็บไปคิดไม่ปฏิเสธเช่นนั้นกระมัง

“ข้าเข้าใจว่าท่านไม่ฟังข้า แต่อย่าได้นำอดีตที่แก้ไม่ได้มาบดบังปัจจุบันและอนาคตได้หรือไม่”

“เพียงอดีต?” น้ำเสียงเขาเย็นลง “เจ้าลืมหรือว่าเจ้าทำอะไรไว้กับน้องสาวผู้มีสายเลือดเดียวกับเจ้า!”

คำพูดนั้นกระแทกกลางอก แต่สีหน้าอวี้เซียนยังสงบนิ่ง ได้เพราะนางไม่ใช่คนทำเสียหน่อย แต่ก็ไม่อาจบอกตามตรงได้ เพราะเดี๋ยวจะเปลี่ยนจากสตรีชั่วร้ายเป็นสตรีผีสางเอา

“ข้าไม่ลืม แต่บัดนี้ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”

“เจ้าคิดว่าพูดว่าเปลี่ยน ก็เปลี่ยนสิ่งที่เจ้าทำได้หรือ?” เขาถามเสียงต่ำ

“ไม่” นางตอบ “แต่การกระทำของข้าจะเปลี่ยนสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

เขามองนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนพยายามหาความโกหกในดวงตา ทว่ามีเพียงความนิ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ

“เจ้าคิดจะพิสูจน์อะไรก็เชิญ” เขากล่าวในที่สุด “แต่ไม่ต้องลากข้าเข้าไปด้วยก็พอ”

เขาหันหลังจะก้าวจากไป แต่หยุดเพียงชั่วลมหายใจก่อนเอ่ยเสียงเรียบทิ้งท้าย

“ไม่ว่าเจ้าจะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไร…ก็ไม่มีใครหลงกลเจ้าแล้ว หลินอวี้เซียน!”

คำพูดของเจี้ยนหงทำให้นางระลึกได้ถึงเสียงเย็นชาที่วนเวียนในความฝันในช่วงแรก ขมับเต้นตุบเหมือนจังหวะหัวใจที่เต้นไวกว่าปกติ เงาโคมเคลื่อนไหวบนใบหน้า นางยกมือแตะขมับกดนวดให้แรงขึ้น

ที่แท้คำพูดในความฝันนั่นก็มาจากเจี้ยนหงนั่นเอง หมายความว่านางกำลังจะต้องแต่งงานไปกับชายที่ทำให้ร่างเดิมถึงกลับยอมแพ้ในชะตาและฆ่าตัวตายหรือนี่

ชีวิตหลังนิยายจบเช่นนี้ช่างใจร้ายต่อตัวละครนางร้ายเสียจริง... ยังมีใครให้มากกว่านี้ไหมนะ

“เลิกเสแสร้งได้แล้ว ไม่มีใครหลงกลเจ้าหรอก”

อวี้เซียนหันกลับไปช้า ๆ เห็นชายในชุดขุนนางสีน้ำตาลยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ดวงตาเย็นเยียบ ชายที่พูดเมื่อครู่เขาคือพี่ใหญ่หรือหลินเจิ้งหลิง พี่ชายที่เคยรักน้องสาวเท่ากันทั้งหมดแต่ถูกนางร้ายร่างเดิมทำลายความสัมพันธ์นั้นลงนั่นเอง...

“เจ้าคิดจะทำอะไรอีก อวี้เซียน จะใช้เรื่องแต่งงานนี้ไปก่อปัญหาให้เยี่ยนเอ๋อร์อีกหรือ”

อวี้เซียนจ้องเขากลับริมฝีปากขยับเพียงเล็กน้อย “ท่านก็เป็นอีกคนที่คิดว่าข้าจะทำร้ายผู้อื่นสินะ...อวี้เซียนผู้นี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก”

“เจ้าทำตัวเจ้าเอง”

หลินเจิ้งหลิงมองนางเหมือนเห็นคนแปลกหน้าเป็นคราสุดท้ายก่อนหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เหลียว

ฝนเริ่มตกอีกครั้ง น้ำฝนเย็นเฉียบซึมผ่านชายเสื้อ นางยืนนิ่งไม่ขยับ สายตาแน่วแน่แม้อยู่ในความมืด วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นางได้รับรู้ความเจ็บปวดของการถูกตัดสิน

หลังจากนี้อวี้เซียนคงไม่คิดจะหาพรรคพวกแล้ว ชีวิตนี้คงต้องพึ่งสองมือและสองเท้าของนางเท่านั้น...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel