บทที่ 4 พระรองกับนางร้าย
“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”
คำพูดของอวี้ซินเฉือนผ่านความเงียบอย่างเฉียบคม ทุกสายตาเงยขึ้นแทบพร้อมกัน เหมือนถูกแรงบางอย่างดึงไว้
“ฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้ข้าที่ชื่อเสียงเสื่อมเสีย ทั้งที่หากจะให้สองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์กันไว้อย่างที่ว่าก็มีน้องสามที่หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่อี้เหวินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อีกทั้งข้าก็ยังเป็นคนตระกูลเดียวกัน เหตุใดต้องให้ข้าแต่งอีก การให้ตระกูลไป๋รับสะใภ้จากตระกูลหลินถึงสองคน...ไม่ชวนให้สงสัยอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของนางนิ่งราวน้ำในบ่อลึก แต่แรงสะท้อนกลับหนักพอจะทำให้คนฟังหายใจติดขัด
อนุฮวาเสียนที่ขวัญอ่อนจากการเห็นดาบทาบคอเมื่อครู่สีหน้าเปลี่ยนวูบก่อนโพล่งเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่ทันใด
“คุณหนูรองช่างกล้าสงสัยและลบหลู่ราชโองการเช่นนี้หรือ! พูดสามหาวถึงเพียงนั้นได้อย่างไรจะให้ตระกูลเราตายตกไปตามเจ้าหรือ!”
อวี้เซียนปรายตามองช้า ๆ แววตาเย็นจนคนถูกมองหดคอถอยล่นไม่กล้าดังเดิม
“ข้าเพียงสังสัยเท่านั้น หากไม่คิดอันใดเลยตระกูลหลินมีหรือจะรอดชะ--”
“เงียบ!” หลินเจิ้งหาวตวาดเขาลุกขึ้นยืนหันหลังให้กับอวี้เซียน “จวนหลินจะไม่ขัดราชโองการ!”
อวี้เซียนพ่นลมหายใจอย่างระอา “ท่านพ่อไม่สงสัยเลยหรือ ว่าทำไมฝ่าบาทถึงเลือกข้า ทั้งที่ชื่อของข้ายังเหม็นหืนไปทั่วเมืองเช่นนี้”
เสียงฟ้าร้องครืนมาแต่ไกล กลบเสียงหัวใจของผู้คนที่เต้นไม่เป็นจังหวะกับคำพูดที่ชวนให้หัวขาด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใด!” หลินเจิ้งหาวฝืนข่มโทสะ เส้นเลือดที่ขมับเต้นชัด “ฝ่าบาททรงเมตตาข้าอย่างไรเล่า! ทรงเล็งเห็นคุณค่าของตระกูลหลินต่างหากไม่ใช่เมตตาเจ้า วันนี้ข้าเพิ่งเข้าวังหลวงไปรับตำแหน่งใหม่ เจ้าต่างหากที่ยังไม่เข้าใจการเมือง”
อ้อ ท่าทีปกป้องไม่รับฟังอะไรของเจิ้งหาวที่แท้มาจากการที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง นั่นยิ่งทำให้คนมองข้างนอกอย่างอวี้เซียนขมวดคิ้วมุ่นไปกันใหญ่
และไม่เพียงแค่นางที่คิดเช่นนั้น หลินเจิ้งหลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ขมวดคิ้วแน่นมาตลอด แววตาเขาเริ่มลังเล บางอย่างในถ้อยคำของน้องสาวสะกิดใจเขาเพียงแต่ยามสบตากับบิดาเขาก็กลืนคำไว้ ปล่อยให้ความคิดนั้นเงียบหายไปกับเสียงฝนแทน
ฮูหยินเอกเหมยอันหนิงลุกขึ้นยืนหันมาเผชิญหน้ากับนางแทนผู้เป็นสามีอย่างรู้หน้าที่
“อวี้เซียน วันนี้เจ้าทำตัวไร้มารยาทยิ่งนัก ข้าว่าไม่ข้าหรือใครก็คงยากจะสั่งสอนสตรีเช่นเจ้าได้...” น้ำเสียงนุ่มแต่เย็นเฉียบ “คืนนี้จงไปสำนึกผิดที่ศาลบรรพชน ห้ามออกมาจนกว่าจะถึงรุ่งสาง!”
อวี้เซียนไม่เอ่ยโต้เถียงใดใดอีกแล้ว สิ่งที่นางพูดได้ก็พูดไปแล้วในเมื่อไม่เห็นความสำคัญก็คงได้แต่ปล่อยให้ชีวิตเป็นคนสอน...
บ่าวสองคนรีบเข้ามาจับแขนไว้ อวี้เซียนไม่ขัดขืนแต่ก็ไม่ยอมให้จับกุม นางลุกขึ้นเองและก้าวออกจากเรือนรับรองมุ่งสู่ศาลบรรพชนยามที่ท้องฟ้ามืดมิดไร้แม้แต่หมู่ดาว
สายฝนโปรยเบา ๆ ต่อเนื่องมาจนถึงยามค่ำ กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นไม้เก่าจาง ๆ ลอยปะทะปลายจมูกเมื่ออวี้เซียนถูกพามาถึงหน้าศาลบรรพชน
บ่าวสองคนที่คุมมาก้มหน้าตลอดทาง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตานาง เมื่อถึงประตูไม้เก่า พวกนางรีบเปิดออกแล้วเร่งเสียงแผ่ว
“คุณหนูรอง โปรดคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าบรรพชนเถิดเจ้าค่ะอย่าให้ต้องใช้กำลังเลย”
อวี้เซียนก้าวเข้าไป ภายในศาลมีเปลวเทียนส่องสว่างริบหรี่บนแท่นบูชายามเปิดประตูก็สั่นไหวตามแรงลม ทำให้เงาร่างของนางทอดยาวบนพื้นไม้เย็นเฉียบดูราวกับมีชีวิต บ่าวสองคนที่ตามเข้ามาก็ขนหัวลุกกลัวว่าภายในจะมีบางอย่างนอกจากพวกนาง
อวี้เซียนคุกเข่าลงช้า ๆ เสียงชุดของนางถูพื้นไม้ดังแผ่ว ๆ ความเย็นจากพื้นแผ่ซึมผ่านผิวจนชา
“เห็นหรือยัง ข้าทำตามแล้ว ...พวกเจ้าคงไม่ปล่อยให้ข้าอยู่ในศาลบรรพชนผู้เดียวกระมัง นั่งลงสิ”
น้ำเสียงนั้นราบเรียบหันมองสองบ่าวราวรอให้พวกนางทำตามสั่ง ทว่าบ่าวทั้งสองหน้าเสียทันใด เหลือบมองกันอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนรีบคำนับแล้วถอยหลังราวกลัวใครมาจับไว้
“คุณหนูโปรดอยู่ให้ครบคืนเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะอยู่เฝ้าอด้านนอก!”
สิ้นคำ พวกนางแทบจะวิ่งออกจากห้อง ประตูไม้ปิดลงพร้อมเสียง ปัง! ทิ้งให้อวี้เซียนอยู่ท่ามกลางความเงียบเพียงผู้เดียว
กลิ่นธูปจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งถ้วนทั่ว นางค่อย ๆ ลุกขึ้น เข่าชาและปวดร้าวจนแทบขยับไม่ได้
“เจ็บเข่าชะมัด...” เสียงนั้นหลุดออกมาเบาราวกับลมพัด
นางมองไปรอบห้องที่เต็มไปด้วยของไหว้ผลไม้แห้ง ถั่วอบ และขนมงา เหลือจากพิธีไหว้บรรพบุรุษเมื่อตอนกลางวัน แสงเทียนสะท้อนผิวทองของถาดบูชาอย่างเยียบเย็น
“ข้าไม่ได้จะลบหลู่ท่านบรรพชนของอวี้เซียนหรอกนะ แค่หิวเท่านั้น”
นางยิ้มแหยก่อนหยิบขนมงามาชิ้นหนึ่ง เคี้ยวช้า ๆ เสียงกรอบดังเบา ๆ ในความเงียบ ความหอมของงาแตะปลายลิ้น ทำให้ความหิวคลายลงเพียงน้อย
“ต่อให้พูดด้วยเหตุผล คนที่หลับตาเชื่ออะไรง่ายกว่าจะไม่มีวันฟัง ข้าไม่เสียเวลาพูดดีกว่าปล่อยให้ตระกูลหลินล่มจมไปนั่นแหละ”
คำพูดนั้นหลุดออกมาคล้ายเป็นเพียงลมหายใจ แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววเย็นเฉียบ
ภาพเหตุการณ์ในห้องรับรองผุดขึ้นในหัว สายตาเย็นชาของบิดา รอยยิ้มไม่เข้าใจของเหล่าพี่น้อง และความผิดในอดีตที่กดหัวนางให้จมต่ำกว่าทุกคน
“กลัวเสียชื่อ...มากกว่าชีวิตอีกสินะ”
อวี้เซียนเดินไปหยุดที่หน้าต่าง เงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มสว่างวาบเป็นครั้งคราวจากฟ้าแลบ ละอองฝนยังตกโปรยคล้ายม่านบาง ๆ ที่กั้นระหว่างโลกภายในศาลกับโลกภายนอก
หากไม่อาจเปลี่ยนความคิดของตระกูลหลินได้ก็ต้องหาทางออกอื่น ต้องหาผู้ที่มีแรงผลักคิดที่ต่อต้านเช่นเดียวกับนาง
จะใครอีกเล่าที่จะไม่ต้องการการแต่งงานนี้ไปกว่านางหากไม่ใช่
“เจี้ยนหง...”
อวี้เซียนเอนกายพิงกรอบหน้าต่าง หลับตาอย่างครุ่นคิด ลมหายใจยาวช้าเหมือนกำลังเรียบเรียงแผนในหัว นางจะติดต่อว่าที่สามีอย่างไรดีกันนะ ชายผู้นั้น...ในนิยายเดิมคือพระรองผู้ภักดีต่อนางเอกในนิยาย รักจนยอมแลกทุกอย่างให้ฝ่ายนั้นได้อยู่รอด เพราะรักมากจึงยอมให้อวี้เยี่ยนไปกับคนที่นางรักอย่างพี่ชายของเขาเอง
ทว่าเวลาในตอนนี้นิยายจบไปแล้วพระรองเช่นเขา...คงกำลังจมอยู่กับความเจ็บปวดในจวนตระกูลไป๋ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่
อวี้เซียนลืมตาขึ้นช้า ๆ รอยยิ้มบางเฉียบผุดขึ้นมุมปาก
พระรองที่คอยปกป้องจากนางร้ายคงเกลียดนางน่าดู ทว่าก็ต้องลองเดิมพันเสียหน่อยนั่นแหละ
แสงเทียนวูบไหวอีกครั้ง เงาบนผนังโยกไหวราวกับหัวเราะเยาะโชคชะตา คืนนี้...จวนหลินคงคิดว่านางกำลังสำนึกผิดอยู่ในศาล แต่ในความจริง นางกำลังเริ่มเดินหมากแรกของตนเองต่างหาก...
