บทที่ 3 พระราชโองการที่นางไม่อยากได้
บุรุษที่ลงมาจากหลังม้ายืดตัวตรง เส้นผมดำเปียกแนบข้างแก้มแต่เจ้าตัวก็ยังคงดูดี หยดน้ำฝนไหลจากขมับผ่านแนวกรามคม ริมฝีปากบีบแน่น เงียบ บรรยากาศรอบข้างแผ่กำจายเต็มไปด้วยอำนาจจนแม้แต่อวี้เซียนยังเผลอกลั้นหายใจชั่วขณะ
แสงไฟส่องผ่านม่านฝนกระทบใบหน้าคม ดวงตาของเขาเยือกเย็น...เย็นเสียจนคล้ายมองสิ่งที่เขารังเกียจมากที่สุด
อวี้เซียนเปลี่ยนจากสีหน้าดีใจฉายความไม่เข้าใจชั่วครู่ที่เห็นว่าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่มีเวลาให้ไขข้อสงสัยอวี้เซียนต้องรับขอความช่วยเหลือเสียก่อน
“ท่าน...” อวี้เซียนขยับปากน้ำเสียงแผ่วไปบ้างเพราะหอบเหนื่อยแต่ชัดถ้อยพร้อมระบุชี้ไปทางที่ตนจากมา “ช่วยข้าไล่คนพวกนั้นไปทีพวกนั้นจะทำร้ายข้า”
ทว่าบุรุษตรงหน้ากลับไม่ขยับ ไม่พูดใดใด เพียงยังมองนางนิ่ง สายตานั้นเย็นราวคมมีด เดี๋ยวขมวดคิ้วเดี๋ยวกัดฟันแน่น
“ได้ยินหรือไม่ ข้าขอแค่ให้ช่วยที ข้าจะถูกพวกมันทำร้ายแล้ว ชะ--”
พูดยังไม่ทันจบเขาขยับออกไปเหวี่ยงตนเองขึ้นบังคับม้า แล้วก็ทำท่าจะจากไปด้วยซ้ำหากไม่เพราะเขาเปลี่ยนท่าทำให้ม้าตัวโตยกสองขาขึ้นขู่ไปจากพวกอันธพาลจากวิ่งจากไปแทบมาทันแทน
ความเงียบเข้ามาแทนพร้อมเสียงถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกของอวี้เซียนที่รับว่าโชคดีมีคนผ่านมาช่วยนางไว้ อย่างไรเสียก็ต้องขอบคุณผู้ช่วยชีวิตไว้สักหน่อย นางเงยหน้าขึ้น
“ข้า...ขอบคุณท่านมาก อ้าว!”
คิดจะพูดต่อแต่เขาดันรวบสายบังเหียนบังคับม้าเงยหัวส่งเสียงหายใจแรง แล้วหมุนตัวไปเสียแล้ว
ม้าและเสียงนั่นค่อย ๆ วิ่งหายไปราวกับไม่เคยมีปล่อยให้อวี้เซียนยืนอยู่ลำพังมีเพียงความมืดและปอยฝนเป็นสายกลับบ้านคราวรี้
อวี้เซียนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นไปจนลับตา ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะสบถเบา ๆ
“บุรุษบ้าอะไร เห็นหญิงงามกลางฝนยังไม่คิดจะถามสักคำว่าจะกลับอย่างไร ขี้เก๊กชะมัด...”
นางปัดผมที่เปียกแนบแก้มออก สูดลมหายใจลึก พยายามกลืนความรู้สึกทั้งโกรธ ทั้งประหลาดใจที่ก่อตัวอยู่ในอกให้ออกไป
กว่าจะถึงจวนหลิน ฟ้าก็มืดสนิท ฝนที่ตกก็เริ่มซา อวี้เซียนลากเท้าเข้าประตูจวนด้านหลังก็แทบหมดแรง เสื้อผ้าเปื้อนโคลนทั้งตัว มือเย็นเฉียบและท้องว่างจนเวียนหัวทำเอาความรู้สึกช้าคิดอะไรไม่ออกสุด ๆ
มืดเพียงนี้แทนที่ทั้งจวนจะเงียบกลับพลุกพล่านกว่าที่คิด แสงโคมสว่างทั่วลาน รถม้าหรูหลายคันจอดเรียงหน้าประตูจวนเสียงบ่าวไพร่ตะโกนโวยวายสั่งการกันระงม
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างข้าไม่อยู่กันนะ”
อวี้เซียนพึมพำแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นลานหน้าเรือน บ่าวหญิงของฮูหยินเอกเหมยอันหนิงก็พุ่งเข้ามา จับแขนของนางแน่น
“คุณหนูรอง! ตามมาเร็วเจ้าค่ะ!”
“เจ้าจับข้าทำไม มีใครมาหรือ?”
“อย่าถามมาก!” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบ “ฮูหยินสั่งให้รีบเจ้าค่ะ!”
อวี้เซียนยังไม่ทันตั้งตัวร่างบางอ่อนแรงก็ถูกลากไปยังเรือนชั้นใน บ่าวสาวอีกสองคนรออยู่แล้ว รีบจัดการเช็ดตัว เปลี่ยนชุดให้ใหม่จนเรียบร้อยภายในเวลาไม่ถึงก้านธูป ผมที่เปียกชื้นถูกรวบสูง ใบหน้าซีดถูกแต่งแต้มบางเบาให้ดูมีชีวิต
“จะจับข้าไปทำอะไรหากไม่บอกข้าก็ไม่ไป”
บ่าวคนสนิทของเหมยอันหนิงไม่สนอันใดนางออกคำสั่งให้บ่าวร่างใหญ่สองคนช่วยกันลากอวี้เซียนมาวางที่หน้าประตูห้องรับรองแขกก่อนเข้ามากระซิบเสียงเย็น
“คุณหนูเข้าไปแล้ว จงนั่งนิ่ง ๆ ไม่ต้องเอ่ยคำใดให้มากความ แค่ทำตัวให้สมกับเป็นคุณหนูรองก็พอหากยังอยากมีชีวิตอยู่...”
ก่อนอวี้เซียนจะได้ถามต่อประตูเรือนรับรองก็เปิดออก แล้วมือเย็นเฉียบของบ่าวด้านหลังก็ผลักนางเข้าไปเต็มแรง
ภายในห้องสว่างจ้า กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยคลุ้ง เหล่าเจ้านายตระกูลหลินนั่งเรียงอยู่พร้อมแล้ว รวมถึงหลินเจิ้งหาวผู้เป็นบิดา และเบื้องหน้า...กงกงผู้สูงวัยในชุดเครื่องราชอย่างดีจากวังหลวง
อวี้เซียนชะงักนิ่งคล้ายไม่ได้สติ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นตราทองประทับอยู่ในมือเขา
“คุกเข้ารับราชโองการจากฝ่าบาท!” เสียงกงกงดังขึ้นชัดเจน
ทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงฝนที่ยังหยดแผ่วจากชายคาก่อนพากันคุกเข่านอบน้อมทันใด อวี้เซียนก็ถูกพี่ใหญ่ หลินเจิ้งหลิงที่นางเคยเห็นหน้าคราแรกตั้งแต่ทะลุเข้ามาในนิยายจับให้คุกเข่าลง
กงกงกวาดตามองรอบห้องก่อนเอ่ยเสียงดังฟังชัด
“ตามพระราชโองการ ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะพระราชทานสมรสให้คุณหนูรองแห่งตระกูลหลิน หลินอวี้เซียน เข้าพิธีแต่งงานกับคุณชายรองตระกูลไป๋ ไป๋เจี้ยนหง เพื่อเชื่อมไมตรีสองตระกูลให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
คำประกาศจบลงในความเงียบ อวี้เซียนนั่งนิ่งราวถูกฟ้าผ่า นางทะลุเข้ามาในนิยายไม่พอยังจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้วหรือ?!
“ไม่!” นางพูดขึ้นทันที “ข้าไม่รับ!”
ทุกคนในห้องสะดุ้ง กงกงเงยหน้าช้า ๆ สายตาเย็นเฉียบ “คุณหนูรอง...ระวังคำพูดของท่าน นี่คือราชโองการของฝ่าบาท”
“ข้าไม่อาจแต่งกับใครโดยไม่เต็มใจได้!”
ชาติก่อนนางก็ถูกพ่อกำหนดให้แต่งกับตระกูลมากอำนาจเช่นกันนางยังต้านได้เลย เรื่องนี้อวี้เซียนไม่อาจยอมรับง่าย ๆ เหมือนอย่างชะตากรรมเป็นนางร้ายเด็ดขาด
ทันใดนั้นเสียงดาบแหลมปรี๊ดก็ถูกชักขึ้นพร้อมกันจากองครักษ์สองนายที่ยืนข้างกงกงตัวแทนของฮ่องเต้
...ปลายคมเย็นเฉียบชี้ตรงมาที่ลำคอของอวี้เซียนเรียกสตินางได้เป็นอย่างดี
อา บัดนี้นางอยู่ในยุคจีนโบราณที่มีฮ่องเต้เป็นดั่งเจ้าของชีวิตนี่นา หากนางต่อต้านก็เท่ากับว่าไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว
หลินเจิ้งหาวรีบเอ่ยปากก่อนเรื่องจะเลวร้ายไปกว่านี้ทันที
“เราตระกูลหลินรับพระราชโองการ นี่มอบให้กงกงที่ลำบากมาแต่ดึกดื่น!”
กงกงปิดม้วนตราทองลงช้า ๆ ยิ้มให้กับหัวหน้าตระกูลหลินก่อนจะหันมาทางอวี้เซียน
“คุณหนูรองหลิน ฝ่าบาททรงเมตตาท่านมากแล้ว อย่าให้พระเมตตานั้นต้องสูญเปล่าเลย...”
คำพูดเย็นเฉียบสะกดทุกเสียงในห้องให้เงียบสนิท
อวี้เซียนกัดริมฝีปากแน่น คราวนี้นางคิดได้แล้วว่าตนอยู่ในยุคใด นางไม่เอ่ยปากโต้ตอบออกเสียงได้แต่แย้งอยู่ในใจ
...เมตตาหรือหลอกใช้ประโยชน์กันแน่
หลังขบวนกงกงกลับไป ความเงียบหนาแน่นคล้ายกลืนทุกเสียงในเรือนรับแขกเข้าครอบงำ อวี้เซียนเงยหน้าขึ้นเป็นคนแรก แววตาเรียบเยือกแต่หนักแน่น นางมองม้วนราชโองการที่วางอยู่ตรงหน้า ลมหายใจเข้าออกช้าและคงที่ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“พระราชโองการนี้...ช่างประหลาดนัก”
