บทที่ 2 ใครบ้างไม่เกลียดชังนาง
ยามเซิน(15.00 – 16.59 น.) ท้องทั่วฟ้าเมืองหลวงยังไม่มืดนัก แสงแดดปลายวันลอดผ่านเมฆหม่นเป็นริ้วอ่อน
หลินอวี้เซียนผลักบานประตูไม้หลังเรือนท้ายจวนออก ลมชื้นอ้าวพัดปลายผมให้ไหวเบาทำให้รู้ได้เลยว่าหากนางไม่รีบไปรีบกลับอาจต้องเจอกันฝนที่สาดเทแน่ อวี้เซียนอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสีเทาเรียบ ใบหน้าคลุมผ้าบางปิดครึ่งล่าง มีเพียงดวงตาคมที่สะท้อนแสงอ่อนจากฟ้า
วันนี้ทั้งจวนมัวอยู่กับงานเลี้ยงหลังพิธีบรรพชน ไม่มีใครทันเห็นว่านางออกมาหรอก นางใช้ทางลับที่สำรวจและเจอได้จากวันก่อน ลัดเลาะเงียบสู่ถนนด้านนอก
ลมหอบกลิ่นขนมนึ่งมายังปลายจมูก ทำให้หัวใจที่นิ่งมานานกระเพื่อมขึ้นเล็กน้อย คล้ายได้หายใจคล่องอีกครั้งในโลกที่ไม่คุ้นเคย
ตลาดบนถนวนพลันคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ เสียงเร่ขายสินค้าปะทะกันเป็นจังหวะ ชา เครื่องหอม ผ้าแพร เครื่องประดับ ละลานตาไปหมด นางก้าวช้า ๆ ทอดสายตามองรอบด้าน ใบหน้าหลังผ้าคลุมซ่อนรอยยิ้มบาง ๆ
อวี้เซียนหยุดหน้าร้านสมุนไพร กลิ่นรากแห้งและใบยาที่ตากแดดจนควันอุ่นอบอวลอยู่เต็มอากาศ
“แม่นาง สนใจยาชนิดใดหรือ?” พ่อค้าชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“ขอดูก่อน” เสียงนางเรียบ “ร้านท่านอยู่มานานเพียงใดแล้วหรือ?”
“นานจนข้าจำไม่ได้เสียแล้ว คนเจ็บมีอยู่ทุกยุค โรคภัยไม่เคยหมดไป ข้าจึงยังขายยาได้ทุกวันนั่นล่ะ”
มุมปากนางยกขึ้นจาง ๆอย่างเห็นด้วยเพราะยุคที่นางจากมาก็ยังมีร้ายสมุนไพรแม้จะอย่างอื่นจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว
“ของที่ผู้คนต้องการไม่หมดสิ้น ผู้มองเห็นย่อมอยู่รอด...”
อวี้เซียนเอ่ยถามอีกเล้กน้อยก็เดินจากมา นางเดินต่อผ่านร้านชา กลิ่นใบชาที่กำลังอบลอยอ้อยอิ่ง ผสานกลิ่นกำยานอ่อนหวานในอากาศทำให้ดวงตานางสะท้อนความคิดบางอย่าง
...บางที หากต้องเริ่มต้นใหม่ การค้าขายคงเป็นหนทางที่จับต้องได้ที่สุดแล้ว
แต่ทันใดนั้นเสียงกลองที่ดังขึ้นก็ฉับพลันตัดจบความสงบในใจให้ขาดสะบั้น ธงสีแดงโบกสะบัด ลมแรงพัดผ่านแนวแผงค้าจนกระดาษปลิวว่อน
“หลีกทางให้ขบวนแม่ทัพไป๋อี้เหวินเดินทางออกไปจัดการโจรร้ายนอกเมือง!”
เสียงตะโกนดังก้อง ถนนทั้งสายโล่งในพริบตา ธงสีเลือดสะบัด ที่หัวขบวนมีม้าดำสนิทและบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมสวมเกราะเหล็กแวววาวใต้แสงสุดท้ายของวัน ผู้คนล้วนก้มหน้าหลบระคนตื่นกลัวไม่กล้ามอง
...คนผู้นี้สมเป็นพระเอกในนิยายที่ขึ้นชื่อเรื่องพระเอกธงแดงที่ดีกับนางเอกนิยายคนเดียวเท่านั้นเสียจริง
“หลบเร็ว!”
พ่อค้าคนหนึ่งคว้าแขนนางที่ยืนมองค้างที่เดิมให้ออกมาจากวิถีทางม้าและขบวนทัพ
นางเพิ่งก้าวถอยไม่ไกลก็เหลือบมองเห็นเด็กเล็กที่ส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้นอยู่บนแผนขายของ
“แง แม่จ๋า!”
ร่างเล็กที่พยายามคลานหาแม่กลิ้งล้มจากแผงสู่กลางถนน ที่กำลังมีม้าพุ่งเข้าหาอย่างไม่มีใครคาดคิด ในพริบตาที่ใครต่อใครแข็งทื่ออวี้เซียนขยับก่อนจะทันได้คิด ร่างบางพุ่งออกไปคว้าเด็กแล้วกลิ้งหลบข้างทาง ฝุ่นฟุ้งขึ้นพร้อมเสียงหยุดขบวนดังสะท้อนถ่ายทอดไปตาม ๆ กัน
ผ้าคลุมหน้าของอวี้เซียนหลุดออกเผยใบหน้าขาวผ่องเปื้อนฝุ่นดิน ดวงตาคมตกใจสะท้อนเงาระยิบ เป็นแม่เด็กที่วิ่งเข้ามาอุ้มลูกแนบอกแน่น น้ำเสียงสั่นด้วยความตื้นตัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ แม่นาง ถ้าไม่ได้ท่าน--”
ก่อนบทสนทนาจบอวี้เซียนที่กำลังลุกขึ้นปัดกายก็ถูกมือหยาบกระชากแขนนางจากด้านหลัง
“คุณหนูรอง หลินอวี้เซียน ท่านก่อเรื่องอันใดอีก!”
ทันทีที่นามถูกเอ่ยออกไปก็เหมือนคมมีดเฉือนความอุ่นในทันใด นางหันมองนายทหารหนุ่มที่จำหน้านางได้ด้วยดวงตาแสนจะเบื่อหน่าย บัดนี้ความสงบที่นางชอบหายไปแล้วเหลือเพียงเสียงซุบซิบจากฝูงชนลุกพรึบราวเพลิงไหม้ที่ลุกลาม
“ใช่ คุณหนูรองที่พยายามฆ่าน้องสาวตัวเอง!”
แม่เด็กที่เพิ่งขอบคุณไปไม่ทันจบประโยคก็รีบอุ้มลูกถอยหลัง ความหวาดในแววตานั้นเย็นเสียยิ่งกว่าฝนที่กำลังตั้งเค้ามา
ริมฝีปากนางขยับน้อย ๆ รอยยิ้มคล้ายเย้ยตนเอง หัวใจคนเปลี่ยนทิศเร็วยิ่งกว่าลมเสียอีก ต่อมาก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าของม้ามาหยุดลงตรงหน้า ไป๋อี้เหวินที่อยู่บนหลังม้าส่งดวงตาคมดุดันมองลงมา
“อวี้เซียน สตรีเช่นเจ้าบรรพชนคงไม่แม้แต่ยอมรับ เจ้ายังกล้าออกมาก่อเรื่องที่กลางตลาดอีกหรือ!”
“ข้าน่ะหรือก่อเรื่อง ข้ามาเดินตลาดมิได้ทำสิ่งใดผิดเสียหน่อย พวกท่านต่างหากที่วางท่าทีใหญ่โตจนเกือบทำร้ายผู้บริสุทธิ์!”
อวี้เซียนเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายโดยไม่หลบสายตาก่อนจะส่งสายตามองไปทางตำแหน่งที่สองแม่ลูกอยู่ก็พบเข้ากับความว่างเปล่าเสียแล้ว พวกนางถอนออกไปห่างรวมกับชาวเมืองเรียบร้อย
“อย่าได้มาเปลี่ยนเรื่อง ตลาดนี้ไม่ต้องการสตรีชั่วร้ายเช่นเจ้า!”
มุมปากนางยกนิด ๆ กลั้วหัวเราะก่อนเอ่ยเสียงทีเล่นทีจริงไป “อ้อ ข้าว่าท่านแม่ทัพไป๋คงกลัวว่าผู้คนจะจำได้ว่าแม่ทัพผู้สูงศักดิ์เคยหมั้นกับหญิงที่ท่านเองตราว่าเลวสินะ”
“หุบปาก!”
เสียงคำรามสะเทือนอากาศโดยรอบและผลักชาวเมืองให้ถอยหลังห่างอีกหลายช่วงเท้า ทว่าอวี้เซียนที่อยู่ใกล้สุดกลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“ข้าเพียงพูดในสิ่งที่หลายคนน่าจะคิด แต่ไม่มีใครกล้าพูดเท่านั้น หากไม่ใช่ท่านแม่ทัพไป๋ก็ปล่อยผ่านเถอะ”
แววตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นยิ่งกว่าเคย สายตาดุดันหันกลับไปก่อนสะบัดคำสั่ง “ลากนางออกไปทิ้งนอกตลาด!”
มือสวมเกราะของทหารผู้เดิมกระชากแขนอวี้เซียนก่อนจะนำผ้ากระสอบคลุมร่างไว้แน่น พลั่งพร้อมด้วยเสียงคนรอบข้างโห่ดังก้องทันใด
“ดีแล้ว เอานางออกไป!”
“หญิงใจทราม น่าขยะแขยง!”
“นางช่วยเด็กก็คงเพื่อต้องการเอาหน้า!”
“ใช่ คนชั่วอย่างไรก็ยังเป็นคนชั่วอยู่ดี!”
ฝนเริ่มโปรยลงหลังจากตั้งเค้าอยู่นานแล้ว เสียงหยดน้ำกระทบพื้นหินดังแผ่ว กลบเสียงคนด่าทอจนเหลือเพียงความเงียบแสนจะขมขื่น
ภายใต้ผ้ากระสอบ อวี้เซียนหลับตา สูดลมหายใจยาวปล่อยให้ความเย็นของฝนไหลผ่านแก้ม นางแค่นหัวเราะเบา ๆ
โลกนี้...ไม่ต่างจากโลกเดิมของนางเลย
ไม่ว่าจะเกิดมาเป็นลูกสาวมาเฟียหรือสวมร่างเป็นนางร้ายในนิยายล้วนถูกคนตัดสินก่อนจะได้รู้จักตัวตนนางจริง ๆ เสียอีก
...
เสียงเกือกม้าของขบวนแม่ทัพค่อย ๆ ละลายหายไปกับสายลม ทิ้งเพียงฝุ่นขาวที่คลุ้งเหนือประตูเมืองหลวงและสตรีนางหนึ่งผู้ถูกโยนทิ้งไว้เพียงลำพัง
หลินอวี้เซียนที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ลงกับพื้นถูกหินกรวดบาดผิวจนเลือดซึม แต่เพียงยกมือเช็ดฝุ่นออกจากแก้มอย่างเงียบงันเท่านั้น ไม่เอื้อนร้องขอคำใด
สายตาเย็นเฉียบเงยมองขบวนนำด้วยธงแดงที่กำลังเคลื่อนห่างออกไปทีละน้อย เงาของไป๋อี้เหวินชัดเจนบนหลังม้า เขาไม่ได้หันกลับมาเลยแม้แต่น้อย
นางหัวเราะเบา ๆ เสียงแผ่วแต่ขมจนแทบกลืนไม่ลง
“บุรุษผู้มากด้วยอำนาจกลับใช้กลั่นแกล้งสตรีนางหนึ่ง ช่างน่ายกย่องยิ่งนัก”
บัดนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว อวี้เซียนสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นและก้าวเดินช้า ๆ บนถนนเปียกชื้น เส้นทางกลับจวนหลินนั้นยาวไหลและเงียบสงัด เงียบจนได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าตัวเองกระทบแอ่งน้ำ...
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เส้นผมเปียกแนบแผ่นหลังแต่ดวงตานางยังคงมุ่งมั่นและเย็นเฉียบ ฝีเท้าจะยังคงก้าวถัดไปหากไม่เพราะมีเสียงแหบหยาบโลนของชายกลุ่มหนึ่งดังขึ้นจากตรอกด้านข้างที่นางเดินผ่านมา
“โอ้...แม่นางคนงาม เดินคนเดียวกลางฝนเช่นนี้ ไม่กลัวหรือ?”
“ให้พวกข้าพาไปส่งดีไหม...จะได้ไม่เหนื่อยไปมากกว่านี้”
อวี้เซียนไม่หยุดเท้าเลย นางพลิกข้อมือกำหมัดเตรียมไว้ใต้แขนเสื้อ สายตานิ่งสนิทไม่มีแววหวาดกลัวยามเห็นกลุ่มคนพวกนั้นตามมาจึงเอ่ยตอบไป
“ไม่ต้อง ข้ากลับเองได้”
“อ้าว พูดเสียงแข็งเชียวนะ พวกข้าหวังดีแบบนี้น่าจะพูดให้อ่อนหวานลงหน่อยสิ” ชายคนหนึ่งหัวเราะพลางก้าวเข้ามาใกล้
เสียงฝีเท้าอีกสองคนตามมาเป็นจังหวะล้อมไว้ทั้งสามด้านแล้ว
อวี้เซียนหยุดเดินนางยกคางขึ้นเล็กน้อย สายตาเยือกเย็นตะโกนกร้าว “ถ้าอยากรอด ก็จงถอยไปซะ”
พวกนั้นหัวเราะลั่น “นังนี่คิดจะขู่ข้ารึ!”
ยังไม่ทันพูดจบ ร่างบอบบางก็ขยับเท้าเหยียบดันพื้นพุ่งเข้าหาชายตรงหน้าที่ขวางทางตนไว้ มือหมุนพลิกคว้าข้อมือเขาไว้แล้วดึงกระชากเข้าจากนั้นใช้ศอกกระแทกเข้าชายโครงตรงจุดที่รวมเส้นประสาท ร่างนี้บอบบางและอ่อนแอกว่าร่างเก่ามากหากเน้นออกท่าที่ใช้แรงมีแต่จะแพ้ต้องอาศัยจังหวะเผลอนี่ล่ะ
เสียงกระดูกดังแกร็กดังขึ้นชายที่ถูกโจมตีร้องจ๊ากจนสหายอีกสองคนเซถอยหลังอย่างตกใจ
“นังนี่อยากลองดีนี่หว่า!”
อีกคนสบถเมื่อกลับไปตั้งตัวได้ก่อนจะพยักหน้าให้สหายอีกคนให้พุ่งเข้ามาพร้อมกัน อีกคนมีมีดสั้นในมือด้วย
อวี้เซียนหลบเฉียง ฉวยแขนเขาไว้แล้วใช้แรงเหวี่ยงกลับ แต่จำนวนคนมากกว่ากำลังและความว่องไวของร่างนี้ที่มีกล้ามเนื้อน้อยนิด ชายอีกคนเข้าประชิดจากด้านหลังใช้มือกระชากผมนางจนหลังลากนางล้มลงบนพื้นโคลนทันเ
แรงกระแทกทำให้แผ่นกลังเจ็บแปลบ แต่แววตานางยังไม่มอดดับ มือที่ถูกจับไว้โดยอีกคนสะบัดหลุดใช้เท้าเตะท้องคนด้านหน้าอย่างแม่นยำ เสียงร้องโหยดังขึ้นคราแล้วคราเล่า
“ช่วยกันจับนางไว้!”
อีกคนกลับมาร่วมวงแล้ว สามต่อหนึ่ง ต่อให้สู้เก่งแค่ไหนก็ยากจะรอดด้วยร่างกายบอบบางและอ่อนแรงนี้ แขนขวาถูกจับตรึงไว้กับพื้น อีกคนทำท่าจะมาคร่อมนางแต่อวี้เซียนนั้นใช้เท้าเขี่ยดินโคลนขึ้นจนมันสาดกระเซ้นใส่หน้าเข้าตาไป ก่อนจะเตะเข้าที่กลางผ่าหมากของของชายคนหนึ่งจนทรุด เสียงสบถดังระงม
ทว่าในความชุลมุนนั้นเองก็มีเสียงเกือกม้าดังแผ่ว ๆ ใกล้เข้ามาจากถนนใหญ่
อวี้เซียนหอบหายใจแรง หัวใจเต้นแรงในอก โอกาสเดียวของนาง!
อวี้เซียนใช้โอกาสที่ทุกคนนิ่งคิดรีบพุ่งตัวออกจากวงล้อม ฝ่าพื้นโคลนไปยังกลางถนน
“หยุดนะ! จับนางไว้!”
ร่างเปียกปอนปะทะแสงคบไฟส่องจับร่างที่เต็มไปด้วยโคลนและน้ำให้เห็นชัดในยามฝนพรำ ๆ ในที่สุดม้าก็ม้าหยุดลงตรงหน้า สายตาแข็งกร้าวแต่แฝงประกายของคนไม่ยอมแพ้
และในวินาทีนั้นเองที่สายตาทั้งคู่ก็สบกัน
...หนึ่งคนแสงแห่งความหวังพาดผ่าน
...ส่วนอีกหนึ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นรังสีแห่งความเกลียดชังฉาบทับ