บทที่ 1 วันไหว้บรรพบุรุษที่ไม่จำเป็นต้องมีนาง
เช้าวันนี้อากาศสดใส แสงแดดอุ่นส่องลอดผ่านกิ่งเหมยที่ผลิบานผ่านหน้าต่างเข้ามา อวี้เซียนยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังลานที่ไร้ผู้คน เข้าวันที่สามแล้วแต่วันนี้ไม่เหมือนเคย เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากหย้าประตูเรือน บ่าวสาวนางหนึ่งก็มาถึงพร้อมถาดมื้อเช้า ท่าทางของอีกฝ่ายดูเหมือนถูกบังคับเต็มหน้า
“คุณหนูรอง...บ่าวนำอาหารเช้ามาให้เจ้าค่ะ”
น้ำเสียงนั้นทั้งเกรงกลัวทั้งรังเกียจในคราวเดียวคงเพราะภาพจำเมื่อวานที่นางจงใจแสดงอำนาจอย่างน้อยก็ได้ผล
อวี้เซียนปรายตามอง “บ่าวส่วนตัวข้าไปไหน ทำไมไม่มาทำหน้าที่?”
บ่าวผู้นั้นชะงัก มือสั่นจนเกือบทำถาดหล่น “หมายถึง...ซูม่านหรือเจ้าคะ ก็ยังอยู่ แต่ตอนนี้ไปอยู่ฝ่ายซักล้างแล้วเจ้าค่ะ...บ่าวเช่นนั้นมีบุญแล้วที่ไม่ถูกตีตาย มะ--”
“ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปได้ตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีอยู่”
คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงแรงกดดันจนอีกฝ่ายกลืนคำที่จะพูดต่อลงคอ รีบวางถาดแล้วเผ่นออกไปแทบไม่ทัน
อวี้เซียนมองชามข้าวในถาด ข้าวขาวกับผักต้มไม่กี่ชิ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจจะปรุงให้นางกินจริง ๆ ไว้เดี๋ยวไปหากินที่ครัวเองจะดีกว่าบัดนี้บ่าวส่วนตัวของอวี้เซียนคนเดิมยังติดอยู่ในหัว
ซูม่าน...
บ่าวผู้นี้ภาพจำที่เคยอ่านในนิยายจงรักภักดีพอตัว ติดตามรับใช้ใกล้ชิดและทำตามสั่งเจ้านายตลอดไม่ว่าเรื่องดีหรือร้าย หากยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว นั่นคือคนเดียวที่นางอาจดึงเข้ามาเป็นพรรคพวกได้ไม่ยากนัก
นางเปลี่ยนชุดเป็นผ้าฝ้ายเรียบที่ยังพอสะอาด เดินออกจากเรือนโดยไม่ลังเล แดดยามสายเริ่มแรงขึ้นเหมาะแก่การตากเสื้อผ้าเป็นที่สุด นางเดินเลียบทางเดินหินไปยังส่วนถัดจากเรือนตนเข้ามา เสียงน้ำซัดในอ่างดังอยู่ไกล ๆ ปนเสียงตะโกนของเหล่าบ่าวสาวที่ทำงานอย่างแข็งขัน
“รีบหน่อยสิซูม่าน! หรืออยากให้ข้าไปฟ้องว่าข้าเห็นเจ้าอู้!”
หัวเราะเย้าไล่ตามมา ผ้าเปียกฟาดใส่แผ่นหลังสตรีร่างผอมที่ก้มซัก หล่อนสะดุ้งน้อย ๆ แต่ยังไม่กล้าเงยหน้า
อวี้เซียนหยุดมองอยู่ครู่หนึ่ง แววตาเรียบเฉียบเหมือนน้ำที่กำลังกลายเป็นน้ำแข็ง ก่อนจะก้าวเข้าไปกลางลาน
“พอได้แล้ว”
น้ำเสียงไม่สูง แต่ชัดจนลานเงียบวาบ
บ่าวสองคนที่รังแกอยู่ชะงัก มองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะหยันทันใด
“อ้าว นี่คุณหนูรองกระนั้นหรือ ยังกล้าออกมาจากเรือนท้ายอีกหรือเจ้าคะ”
นางไม่ตอบ เพียงเดินเข้าหาช้า ๆ จนระยะห่างหดสั้น ทำให้สองคนตรงหน้ามีปฏิกิริยาโต้ตอบยกมือขึ้นผลัก มือของนางก็จับข้อมือนั้นหมุนพลิกย้อน ก่อนเบี่ยงตัวเล็กน้อย เสียงอุทานหลุดจากลำคอเจ้าของแขนก่อนร่างนั้นจะเสียหลักล้มลงบนพื้น ฝุ่นปลิวขึ้นเป็นวง
“ข้ามารับ บ่าวของข้า คืน”
เสียงซุบซิบรอบลานดับลงเหมือนเตาถ่านโดนฝน นางก้มเก็บผ้าที่ตกในมือหญิงร่างผอม ส่งคืนให้
“ลุกขึ้น”
ซูม่านค่อย ๆ เงยหน้า ตาแดงวาวด้วยไอแสบร้อน “คุณหนู...”
“ไม่ต้องพูดมาก ตามข้ามาเดี๋ยวนี้”
บ่าวพวกนี้ไม่คนามือลูกสาวมาเฟียที่เรียนศิลปะการต่อสู้มาไว้ป้องกันตัวเองหรอก
นางจูงมือคนของตนออกจากลานซักผ้า รองเท้าทั้งสองคู่สัมผัสดินเป็นจังหวะ เสียงผู้คนด้านหลังค่อย ๆ ไกลออก จนกระทั่งรอบกายมีเพียงแค่สองคน ซูม่านที่ยังคงก้มหน้าเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยินใด
“คุณหนู โปรดปล่อยบ่าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากบ่าวกลับไปตอนนี้ท่านจะลำบากนะเจ้าคะ”
“ชั่งข้าลำบากเถอะ อย่างไรก็คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว...” นางยังไม่ชะลอฝีเท้า “ข้าไม่ปล่อยให้คนของข้าซักผ้าจนมือแตกเลือดซึมเช่นนี้หรอก เอาแรงเจ้ามาทำงานให้ข้าจนตายเสียดีกว่า”
ซูม่านก้มมองฝ่ามือแตกแห้งของตนก่อนน้ำใสเอ่อขอบตาอย่างห้ามไม่ได้ “แต่บ่าว...”
“พอ” นางขัดเบา ๆ น้ำเสียงเรียบแต่มีความนุ่มนวลประคองอีกฝ่ายอยู่ “ในหีบที่เรือนข้ามีสมุนไพรอยู่ กลับไปทาเสีย ตอนบ่ายข้าจะกลับไปเจ้าอย่าคิดมาก”
ซูม่านพยักหน้าเบา ๆ ทว่าความอุ่นแปลก ๆ เริ่มซึมเข้าสู่สีหน้า ซูม่านนั้นเชื่อฟังจนน่าตกใจ นางไม่เอ่ยถามว่าทำไมนางไม่กลับไปด้วยเพียงนิ่งเงียบแล้วค้อมศีรษะก้าวจากไปอย่างว่าง่าย
อวี้เซียนยืนมองจนลับตา ปัดฝุ่นบนแขนเสื้อเบา ๆ จากนั้นหันสู่ทางไปเรือนหน้าของจวนหลิน แดดยามเว่ยทาบสีทองบนหลังคาไผ่ ลมอุ่นพากลิ่นธูปมาสัมผัสปลายจมูก นางยกมือบังแสง มองเส้นควันลอยเลื้อยด้วยความครุ่นคิด
“กลิ่นธูปแรงนัก วันนี้มีงานใด?”
เท้าก้าวมาไกลกว่าที่ตั้งใจเสียอีก นางเพียงอยากสำรวจพื้นที่ไว้เผื่อเอาตัวรอดในอนาคตกลับได้ยินเสียงสวดบรรพชนลอยมากับลม เมื่อเดินตามไปจึงเห็นผู้คนในชุดทางการเรียงหน้าศาลใหญ่ ฉับพลันจึงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้อาจเป็นวันสำคัญ...
วันไหว้บรรพชนประจำปี...
เสียงพึมพำเบาบาง ดวงตาหรี่เล็กน้อย เพื่อความสงบสุขของตนเองนางจำเป็นต้องหลบหลีก แต่สายตาก็สบเข้ากับคนในขบวนตระกูลหลินที่เพิ่งออกจากศาล
หลินเจิ้งหาวเดินนำ ใบหน้าเคร่งขรึมกดอากาศให้แน่นขึ้น ตามด้วยเหมยอันหนิงฮูหยินเอกที่เคียงข้างอย่างสงบ อวี้เยี่ยนนางเอกในนิยายในชุดฟ้าอ่อนกิริยาอ่อนโยนตามหลัง อวี้หนิงบุตรสาวคนเล็กสุดในชุดชมพู นางผู้เป็นบุตรสาวอนุแต่ทำตัวอย่างกับเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอก สตรีนางนี้ยามหันมาเห็นอวี้เซียนก็หยักยิ้มมุมปากอย่างลืมปิดบังทันใด
คิ้วของหลินเจิ้งหาวขมวดมุ่นไม่แพ้หนวดที่คางเลย
“อวี้เซียน เจ้ากล้ามาเพ่นพ่านในวันเช่นนี้หรือ?!”
อวี้เซียนเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ปะทะมันเสียเลย นางประสานมือคำนับเล็กน้อยพอตามมารยาทก่อนเอ่ยตอบ
“ข้ามิอาจมาร่วมเพราะท่านพ่อไม่ได้เชิญเจ้าค่ะ ข้าเพียงเดินพักเล่นสายตา--”
อวี้หนิงแทรกยิ้มหวานก่อนอวี้เซียนเอ่ยจบเสียอีก “พี่อวี้เซียนคงอยากไหว้บรรพชนกระมังเจ้าคะ ช่างบังอาจหวังเมตตาทั้งที่ทำให้ตระกูลขายหน้าที่สุดอย่างไม่เจียมตัวยิ่งนัก”
อวี้หนิงผู้นี้เกิดจากเมียอนุจึงเก่งเรื่องการพ่นวาจาเช่นนี้ นางพยายามตามติดอวี้เยี่ยนตั้งแต่เด็กจนตอนนี้กลายเป็นที่คุ้นตาคนไปแล้วว่าสองคนต้องไปไหนด้วยกัน
นางหันช้า ๆ “ข้ามิได้มาขอเมตตาใครเช่นใครบางคนหรอก หนิงเอ๋อร์ ...ก่อนให้ใครยอมรับน่ะก็ต้องให้ตัวเราเองยอมรับสิ่งที่ตนเป็นก่อนเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”
รอยยิ้มบางเฉียบทำให้สีหน้าของอวี้หนิงชะงักงันทันใด การที่นางถูกเอ่ยถึงโดยตรงนั้นราวกับว่าหมายถึงนางเสียอย่างไรอย่างนั้น ไหนจะคำพูดคำจาที่ดูซับซ้อนยากเข้าใจอีกเล่า
“หึ พี่หญิง ท่านพูดราวกับท่านสูงส่งนักแหละ มิใช่ว่าท่านควรอยู่แต่ในเรือนตามคำสั่งท่านพ่อหรือไรเล่า!”
“พอก่อน วันนี้เป็นวันดี อย่าทำให้มัวหมองเลยพี่รอง น้องสี่ ท่านพ่อเจ้าคะลูกว่าให้พี่รองเข้าไปไหว้บรรพชนสำนึกตนเสียหน่อยก็ดีนะเจ้าคะ”
อวี้เยี่ยนเอ่ยเบากลิ่นหวานของคำพูดเหมือนกลีบดอกไม้ แต่ในคำอ่อนโยนนั้น กลับเป็นต้นเหตุให้ใครบางคนโมโหขึ้นมาได้
อวี้เซียนเอียงศีรษะเล็กน้อยมองสบตาอวี้เยี่ยนที่ดูแล้วไม่ได้ตั้งใจจุดประกายอะไรได้ก่อนจะเอ่ยตัดบทก่อน
“ไม่จำเป็น ข้าเพียงบังเอิญเดินผ่านก็เท่านั้น ไม่มีอันใดแอบแฝง”
ชายวัยกลางหนึ่งเดียวเม้มปากแน่นความขุ่นคลอในดวงตาทันใด “ข้าคิดว่าถูกกักบริเวณจะทำให้เจ้าสำนึกได้บ้าง ทว่าเห็นทีจะยังไม่เรียนรู้เสียที!”
ก่อนที่บรรยากาศจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ เสียงฝีเท้าเร็วรวดของคนรับใช้ผู้หนึ่งดังขึ้นแทรก!
“ท่านเจ้าตระกูล ม้าเร็วจากฝ่าบาทมาถึง ขอให้ท่านเข้าเฝ้าด่วนขอรับ”
หลินเจิ้งหาวชะงักสีหน้าเปลี่ยนไปสีหน้าตึงขึ้นทันตา
“เข้าเฝ้าด่วนหรือ? เตรียมรถม้า ข้าจะออกเดี๋ยวนี้”
เขาเดินผ่านพวกนางไปโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่น้อยราวกับเรื่องการโต้เถียงเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น...
อวี้เซียนหมุนตัวกลับ เดินช้าไปตามทางที่แสงแดดบ่ายโรยผ่าน ใบเหมยร่วงแตะไหล่แล้วปลิวหล่นค้างไว้ นางปัดใบไม้ออกจากเสื้ออย่างแผ่วเบา ดวงตาสงบนิ่ง ทว่าลึกลงไปประกายเล็ก ๆ
...บิดาผู้นี้เลวร้ายยิ่งกว่าที่นักเขียนบรรยายไว้เสียอีก เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นเรื่องใดสำหรับกว่า
