บทที่ 11 เขาคือคนที่ฆ่าแม่ตาย
คเชนทร์วางญาณินลงบนเตียง เมื่อถอดรองเท้าให้เธอแล้วเขาก็รีบสำรวจดูร่องรอยบาดแผลให้เธอทันที ตรงข้อเท้าและหัวเข่าของเธอมีรอยฟกช้ำอยู่จริงๆ
“ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอ?” ญาณินเอ่ยถามขณะที่คเชนทร์กำลังดูบาดแผลให้
คเชนทร์เงยหน้าขึ้นมองเธอ “คุณไม่ต้องไปใส่ใจกับเขาหรอก” เขาพูดอย่างไม่เต็มใจแล้ววางเท้าเธอลงพื้น
“เขาเป็นน้องชายคุณใช่ไหม?”
“มันบอกคุณแบบนั้นเหรอ?” เขาขมวดคิ้วถาม
“เปล่าค่ะ แต่ฉันได้ยินเขาเรียกคุณว่าพี่”
“......” คเชนทร์ไม่ได้ตอบ เขาเบือนหน้าหนีเธอ
“คุณเชนทร์คะ!” เธอเอ่ยเรียก เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
“เขาไม่ใช่น้องผม” เขาตอบเสียงแข็งและรู้สึกหงุดหงิด หากเป็นคนอื่นที่เจาะจงถามเขาแบบนี้ เขาคงซัดหน้าหงายไปแล้ว
“พวกคุณมีปัญหากันใช่ไหม? แล้วทำไมถึงมีปัญหากันด้วยล่ะ?” เธออยากรู้จริงๆ หากเธอทำให้พี่น้องเข้าใจกันได้ เธอก็พร้อมที่จะเป็นสื่อกลางให้พวกเขา เธออยากมีพี่น้องมาตลอด แต่ก็มีไม่ได้แล้ว และไม่อยากเห็นพี่น้องต้องมาทะเลาะกันด้วย
คเชนทร์หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างเธอ “เขาชื่อชวินทร์ เป็นฝาแฝดของผม พวกเราไม่ได้ติดต่อกันมา 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ที่ผมไล่เขาออกไปจากบ้านหลังนี้ และตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน” เขาเริ่มเล่าให้เธอฟัง
“ทำไมคุณต้องไล่เขาออกจากบ้านล่ะ คุณไม่เป็นห่วงเขาเหรอ?” ญาณินเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากเขา “ช่างเถอะ หากคุณไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”
“มันฆ่าแม่ของผม แม่ผมตายด้วยมือของมัน” เขาพูดอย่างเจ็บปวด
ญาณินอึ้งกับสิ่งที่พึ่งจะได้ยิน “นี่..นี่มันเป็น..เป็นเรื่องจริงเหรอคะ?” เธอไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าลูกคนหนึ่งจะฆ่าแม่ของตัวเองได้ลงคอ
“เมื่อ 5 ปีก่อน เป็นวันเกิดของพวกเราสองคน พ่อและแม่ของผมก็อยู่ร่วมฉลองวันเกิดให้พวกเราด้วย ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไร แต่อยู่ดีๆ ไอ้วินท์มันก็ทะเลาะกับปูเป้ มันเดินเข้าไปหยิบปืนที่อยู่ในบ้าน ก่อนจะเอามาเล็งไปที่ปูเป้”
ญาณินตั้งใจฟังและไม่ได้ถามอะไรต่อ เธอปล่อยให้คเชนทร์เล่าทุกอย่างให้ฟังอย่างตั้งใจ
“ผมและพ่อพยายามห้ามมันแล้ว แต่ด้วยนิสัยและอารมณ์ร้อนของมัน มันเหนี่ยวไกปืนโดยไม่สนคำพูดของใคร และในช่วงเวลานั้น ปูเป้ก็วิ่งไปทางที่แม่ของผมยืนอยู่ แล้วมันยิงพลาด กระสุนจึงพุ่งเข้าไปที่แม่ผม ตั้งแต่นั้นมา ผมจึงไม่จัดงานวันเกิดอีกเลย และก็อยากฆ่าพวกมันทั้งสองคนด้วย” เขากำหมัดแน่นและดวงตาแดงก่ำ
“ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณนะคะ แต่นั่นไม่ใช่ว่าเป็นอุบัติเหตุหรอกเหรอ? เขาก็คงไม่ได้ตั้งใจ” เธอแสดงความคิดเห็น
“ถ้าพวกมันสองคนไม่ทรยศผม เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“ปูเป้เป็นใคร? เธอเป็นแฟนของคุณหรือเป็นแฟนของน้องชายคุณล่ะ? และใช่คนที่เจอในงานปาร์ตี้หรือเปล่า?”
คเชนทร์หายใจเข้าลึกๆ เพื่อไม่ให้ญาณินเกิดความเข้าใจผิดในอนาคต เขาจำต้องเล่าถึงอดีตของตัวเองที่แสนเจ็บปวดให้เธอฟัง เขาจับมือของเธอขึ้นมากุมไว้
“ปูเป้เป็นอดีตภรรยาของผม แต่เธอกลับแอบเล่นชู้กับไอ้วินท์น้องชายของผม พวกมันสองคนพากันสวมเขาให้ผม และผมก็คิดไม่ถึงด้วยว่าพวกมันจะทำกับผมแบบนี้”
“คุณปูเป้เข้าใจผิดและคิดว่าคุณชวินทร์เป็นคุณหรือเปล่า?”
คเชนทร์เจ็บปวดกับพูดนี้ เขาก็อยากจะให้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดเหมือนกัน เพราะหากเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาจะเอาเรื่องกับน้องชายของเขาเพียงคนเดียว ที่แอบปลอมเป็นเขา แต่ปูเป้กับเขาคบกันมานานหลายปี เธอสามารถแยกระหว่างเขากับน้องชายได้อย่างชัดเจน แล้วจะจำผิดคนได้ยังไง
“ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกมันถึงสวมเขาให้ผม ในวันนั้น ผมเอ่ยขึ้นมาว่าจะพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อน และจองห้องพัก 3 ห้อง ซึ่งเป็นห้องของพ่อและแม่หนึ่งห้อง ผมและปูเป้หนึ่งห้อง และของไอ้วินท์หนึ่งห้อง แต่ไอ้วินท์กลับบอกให้จอง 4 ห้อง โดยจะให้ผมและปูเป้แยกห้องนอนกัน”
“ตอนนั้นคุณรู้สึกแปลกๆ หรือยัง?”
“ไม่เลย ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร อาจเป็นเพราะผมกับปูเป้พึ่งแต่งงานกันได้เพียงหนึ่งเดือน ก่อนหน้านั้นก็ไม่เคยนอนร่วมห้องกันมาก่อน จึงทำให้ไอ้วินท์ที่เริ่มเมาแล้วลืมเรื่องนี้ไป ตอนนั้นผมคิดเพียงว่าไอ้วินท์คงลืมว่าผมกับปูเป้แต่งงานกันแล้ว ไม่ต้องนอนแยกห้องเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันจึงบอกให้จอง 4 ห้อง”
“แล้วคุณรู้ตอนไหนว่าพวกเขาสวมเขาให้คุณ?”
“ตอนนั้นผมบอกว่า ปูเป้กับผมแต่งงานกันแล้ว ไม่ต้องนอนแยกห้องกันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไอ้วินท์จึงพุ่งเข้ามาต่อยหน้าผมทันที ตอนนั้นผมคิดว่ามันคงเมามากจนไม่ได้สติ แต่จู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาว่า ปูเป้เป็นเมียของมันต่างหาก ผมจึงต่อยมันคืน และบอกว่ามันเมาแล้ว ไปนอนได้แล้ว แต่มันไม่ยอม มันยังจะต่อยผมอีก และยังพูดว่าปูเป้เป็นเมียของมัน และมันเป็นผู้ชายคนแรกของเธอด้วย ผมจึงหันไปมองหน้าปูเป้โดยที่ไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้าบ้านทันที”
“แล้วยังไงต่อคะ?” ญาณินสนใจเรื่องนี้มาก
“พอผมเดินเข้าบ้าน แม่ของผมก็เดินตามเข้ามาปลอบใจ ไอ้วินท์กับปูเป้ก็ทะเลาะกันอยู่ด้านนอก พ่อของผมไม่อยากฟังทั้งสองคนทะเลาะกัน จึงเดินเข้ามาในบ้านด้วยเช่นกัน ในตอนที่พ่อและแม่กำลังปลอบใจผมอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ไอ้วินท์ก็วิ่งเข้ามาในบ้านและไปหยิบปืนในห้องนอนของมันออกมา พร้อมกับตะโกนว่า มึงจะเลือกใครระหว่างกูกับพี่กู ตอนนั้นผมกับพ่อจึงรีบเข้าไปห้ามมัน”
ญาณินนั่งฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับลูบมือของเขาไปด้วยเพื่อปลอบประโลม
“ใครจะไปรู้ ว่าตอนนั้นมันขาดสติไปแล้ว ใครจะพูดอะไรก็ไม่ฟัง ผมกับพ่อวิ่งตามมันออกไปด้านนอก แม่ของผมก็ยืนดูอย่างเป็นห่วงตรงประตูบ้าน ในตอนที่ผมพยายามจะแย่งปืนจากมัน ปูเป้ก็รีบวิ่งหนีไปทางแม่ผม ไอ้วินท์จึงเหนี่ยวไกปืนทันที แต่กระสุนลูกนั้นกลับพลาดไปโดนแม่ของผม”
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ” ญาณินหันไปโอบกอดคเชนทร์ไว้แน่น เธอลูบหลังอันกว้างใหญ่นั้นเพื่อให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์เศร้าโศกนี้ออกไป
ความรู้สึกเจ็บปวดในอดีตของคเชนทร์ ตอนนี้ถูกอ้อมกอดอันอบอุ่นของญาณินดูดกลืนไปจนหมดสิ้น ทำให้อารมณ์หม่นเศร้าของเขาสงบลงแล้ว
