บทที่ 9 รหัสลับของคนทึ่ม
มาร์ควิสหนุ่มใช้ก้อนหินอำพรางตัว ค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเป้าหมายทีละน้อย ทั้งต้องผ่อนลมหายใจช้าๆ เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงหอบหรือเสียงลมหายใจของตัวเองด้วยก่อนจะหยุดนิ่งเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายนั้นก็กำลังหยุดเช่นกัน
ความเงียบปกคลุมบริเวณนั้นระลอกหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างตั้งสมาธิรอจังหวะที่อีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวก่อน จนตอนนี้เขาเริ่มแน่ใจแล้วว่ามือสังหารมีเพียงคนเดียวเท่านั้น
กระสุนที่มันยิงออกมาล้วนพุ่งเป้าอย่างแม่นยำ ทั้งยังยิงอย่างใจเย็นแม้ทหารของท่านดยุคจะมีอยู่เกือบสิบคนก็ตาม
สวบ!
เสียงหนึ่งเดียวที่ดังขึ้นในความเงียบทำให้เขารีบหมุนตัวพร้อมเหนี่ยวไกปืน จากประสบการณ์ในสนามรบที่มีความตายเป็นเพื่อนสนิท เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดหลบหนี
“บ้าฉิบ!” เขาอุทาน เมื่อเห็นชายเสื้อคลุมสีดำอยู่ไวๆ พริบตาเดียวร่างนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว เขารีบวิ่งตามไปทันที แต่เพราะไม่ชำนาญเส้นทาง จึงไม่อาจแม้แต่จะจับตายคนผู้นั้นกลับมา
“ท่านมาร์ควิสพวกมันไหวตัวทันจึงหลบหนีไปก่อนแล้ว” คริสเดินหน้าซีดกลับมา มือที่ถือปืนกดไหล่ไว้เมื่อเลือดไหลซึมออกมาจนชุ่ม
เมื่อเห็นว่าปลอดภัย มาร์ควิสเซซิลจึงเก็บปืนแล้วเข้าไปช่วยพยุงชายหนุ่มพร้อมๆ กับที่ฝั่งของดยุคดาร์มินเริ่มเคลื่อนไหวออกจากที่กำบัง กระจายกำลังกันออกตามล่านักฆ่านิรนาม
“คุณคริสถูกยิง! เร็ว! นำชุดปฐมพยาบาลมาเร็วเข้า!” หัวหน้าหน่วยอารักขาถลันเข้ามารับตัวคริสอย่างว่องไว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้แต่ละคนต้องเอาตัวรอดก่อนเป็นอันดับแรก
ได้ยินว่าชายหนุ่มถูกยิง เกว็นก็ผละจากบิดาไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง ทั้งยังรับชุดปฐมพยาบาลมาทำแผลให้เขาด้วยตัวเอง
มาร์ควิสเซซิลเดินเข้าไปยังจุดที่ลากตัวคริสเข้าไปหลบในพุ่มไม้ครั้งแรก เขาเคยผ่านสงครามมาแล้วหลายครั้ง ความตายจึงมิใช่เรื่องไกลตัว แต่การที่ไม่รู้ว่าใครกันแน่คือเป้าหมายที่แท้จริงของมือสังหาร ก็ทำให้เขาสังหรณ์ได้ถึงเค้าลางความยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
เพิ่งจะเก็บเจ้าตัวยุ่งมาจากรถไฟได้ไม่กี่วัน ก็ต้องมาเจอกับปัญหาใหม่อีกแล้ว หรือชีวิตนี้จะหาความสงบไม่ได้
เขานั่งยองๆ ลงหน้าต้นไม้ ดึงถุงมือและซองยาออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วดึงลูกกระสุนที่ฝังอยู่ในเปลือกไม้ออกมาเก็บไว้เป็นหลักฐานสืบสาวหาตัวคนร้าย ก่อนจะยัดซองยากลับเข้าไปตามเดิม แล้วเดินไปหาดยุคดาร์มินที่นั่งหน้าตึงอยู่บนรถเข็น
“มันลงมือคนเดียวใช่ไหม?”
“ครับ ดูเหมือนจะเป็นการขู่เสียมากกว่า” เขาจ้องมองไปยังที่เดียวกันกับสายตาที่ท่านดยุคทอดมองอยู่ นั่นคือคริสที่กำลังได้รับการดูแลจากบุตรสาวของเขาอย่างห่วงใย
“ไม่รู้ว่ามันมีเป้าหมายที่ใครกันแน่” ดยุคดาร์มินพูดเบาๆ ด้วยแววตาครุ่นคิด
“ท่านหมายความว่า...” เดิมทีเขาเองก็สงสัยอยู่ เพียงแต่ไม่คิดว่าคริสเองก็มีศัตรูที่หมายเอาชีวิตด้วยจริงๆซ้ำที่นี่ยังเป็นที่ส่วนตัวของท่านดยุค ซึ่งมีการล่าสัตว์เป็นประจำอยู่แล้ว มีคนบาดเจ็บไม่สาหัสสามคน หากไม่แจ้งความ เจ้าหน้าที่ทางการย่อมไม่สอดมือเข้ามายุ่ง
“อืม...ลมหายใจของพวกเราทั้งสามคนต่างก็มีมูลค่าไม่น้อยฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะแก่ตายหรือถูกฆ่าตายก่อนกันแน่ ฉันจะให้คนอารักขาเธอกับคริสกลับไปก่อน หวังว่าเธอจะยังไม่เลื่อนกำหนดกลับแคปตอลทาวน์เพราะเรื่องนี้”
“ผมว่าท่านควรห่วงเพื่อนชายของเธอมากกว่า จะดีไม่น้อยหากเรื่องไม่ถึงหูทางการ” เขาพยักเพยิดไปทางชายหนุ่มที่พันผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้วและกำลังเดินเข้ามาโดยมีเลดี้เกว็นประคองอยู่ข้างกาย
คริส วาเนีย วิลสัน อาจไม่ใช่นักรบหรือชายชาติทหาร แต่เขาก็เป็นผู้มั่งคั่งทางเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีคู่แข่งทางการค้ามากมาย ปืน...จึงมิใช่อาวุธที่เขาเกรงกลัว เพียงแต่แผลที่ไหล่นั้น ทำให้เขาสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าคนร้ายต้องการอะไรกันแน่
วินาทีที่เขาลงจากหลังม้า หากเขาคือเป้าหมายจริงๆ กระสุนคงตัดขั้วหัวใจไปแล้ว ดังนั้นจึงฟันธงได้ว่า เขาไม่ใช่คนที่มันต้องการเอาชีวิตอย่างแน่นอน
เช่นนั้นจะเป็นใครกัน?
คนเจ็บถูกลำเลียงขึ้นรถม้า เช่นเดียวกับบุคคลชั้นสูงที่มาเป็นแขกต่างก็ทยอยกันมากล่าวลาท่านดยุคแล้วทยอยกันเดินทางกลับ ท่ามกลางการอารักขาอย่างเข้มงวดของกองกำลังของท่านดยุคที่ส่งกำลังมาช่วย
“ท่านมาร์ควิสได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” เกว็นถามชายหนุ่มด้วยความเป็นห่วง หลังจากที่ปฐมพยาบาลเพื่อนสนิทจนอาการดีขึ้นแล้ว
“ขอบคุณเลดี้ซิมมอนส์ที่ห่วงใย” มาร์ควิสหนุ่มก้มศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงบอกว่าสบายมาก คนอย่างเขาน่ะหรือจะเป็นอะไรง่ายๆ แล้วเขาก็หันไปขอตัวกับท่านดยุค
เกว็นมองตามแผ่นหลังของบุรุษที่ควบม้ากลับบ้านพักโดยมีทหารอารักขาติดตามไปสองนายขนาบซ้ายขวา สายตาปิดบังกระแสแห่งความชื่นชมไว้ไม่มิด จนคนข้างตัวส่งยิ้มให้อย่างล้อเลียน
“ที่จริงคุณต้องขอบคุณผมนะ เพราะผมแอบผ่อนฝีเท้าม้าลงนิดหนึ่ง”
“ฮึ! เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของพวกคุณทั้งสองคน ฉันถึงต้องชนะไง และต้องบังคับให้คุณเลื่อนวันเดินทางกลับออกไปอีกสักระยะเพื่อความปลอดภัยด้วย”
“เฮ้อ...” คริสถอนหายใจยาวทั้งที่หน้ายังเปื้อนยิ้ม “มีครั้งไหนบ้างที่เพื่อนคนนี้จะกล้าขัดใจคุณ”
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
คีนอซถลันเข้าไปหาผู้เป็นนายทันทีที่เงาร่างของของมาร์ควิสหนุ่มปรากฏขึ้น ตั้งแต่ได้ยินเสียงปืน เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บฟืน สวมวิญญาณพ่อพระปลอบโยนอลิซที่อยู่ในสภาพขวัญเสียจนสงบลง แล้วจึงวิ่งมาแอบซุ่มยืนอยู่ที่นี่ด้วยความกระวนกระวายใจ
เขาเคยชินกับการอยู่ข้างกายท่านมาร์ควิส ใช้สายตาดุจเหยี่ยวคอยระแวดระวังภัย กลับต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กในขณะที่ชีวิตของเจ้านายแขวนอยู่บนเส้นด้าย คิดแล้วก็คับแค้นใจนัก
“ไม่มีอะไรสึกหรอ”
“เฮ้อ! ผมรึเป็นห่วงแทบแย่ตอนได้ยินเสียงปืน ถ้าไม่ติดว่าต้องดูแลเด็กนั่นคงได้ออกไปรับท่านแล้ว”ลูกน้องหนุ่มถอนหายใจโล่งอกขณะใช้สายตาสำรวจเจ้านายตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
“บังเอิญเป้าหมายอาจไม่ใช่ฉัน แต่เราคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน”
มาร์ควิสเซซิลตอบเสียงทุ้มต่ำพลางกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่าทางสบายๆ คล้ายไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาก่อนจากนั้นก็ส่งม้าให้คนขี้กังวลดูแล ก่อนจะก้าวสวบๆ เข้าไปในบ้าน
ฟู่!
เขาเป่าเกล็ดหิมะออกจากปลายผม เอนหลังลงกับพนักโซฟา แล้วแหงนหน้าผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียด
ไม่สนุกเสียแล้ว
เขาตั้งใจจะมาพักผ่อนที่นี่เพื่อชาร์ตแบตให้กับตัวเองหลังจากที่กรำศึกชายแดนมายาวนาน อย่างน้อยก่อนจะกลับไปสะสางเรื่องวุ่นวายภายในครอบครัวและจัดการกับคนที่ต้องการชีวิตของเขาให้เบ็ดเสร็จ กลับต้องมาเจอเรื่องปวดหัวซ้ำซ้อน
เขาขมวดคิ้ว แล้วกระเด้งตัวลุกขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
ร่างสูงก้าวฉับๆ ผ่านห้องครัวออกไปทางประตูหลัง เดินลัดเลาะพุ่มไม้ฝ่าหิมะที่เริ่มจะลงจัดกว่าเดิม ส่งผลให้ท้องฟ้ายามพลบค่ำกลายเป็นสีเทาดำขมุกขมัวตรงไปยังห้องเก็บฟืนที่มีแสงวับแวม
ก๊อกๆ
“อลิซ ฉันเอง”
เขาส่งเสียงเรียกเบาๆ ด้วยกลัวว่าคนข้างในจะตกใจ แล้วก็เอาใบหูแนบกับบานประตูเมื่อไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จากคนในห้อง
“เฮ้! ได้ยินหรือเปล่า?”
เขามองท้องฟ้ามืดครึ้มและหิมะที่พอกนูนบนพื้นหญ้าแล้วก็เงี่ยหูฟังอีกรอบ ไม่มีเสียงของประกายไฟ หากแต่เพิ่งจะได้ยินเสียงเดินเบาๆ และเสียงเคาะก๊อกๆ มาจากข้างใน
หือ?
