บท
ตั้งค่า

บทที่ 10 แค่สมองช้า หรือปัญญาอ่อน

อ้อ! สงสัยคีนอซจะสอนการใช้รหัสลับ มาร์ควิสเซซิลรีบเคาะประตูกลับไปเป็นรหัสประจำตัวทว่ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินถอยกลับไป

แล้วเขาก็เห็นคีนอซเดินแกมวิ่งฝ่าสนามหิมะเข้ามาสมทบพลางยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

“ขออภัยด้วยครับ...ผมยังไม่ได้สอนให้เธอจำรหัสของท่าน”

“สอน?” เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องสอนกันเป็นเรื่องเป็นราว?

ลูกน้องหนุ่มยิ้มที่มุมปากข่มเจ้านายของตน ทำให้เห็นลักยิ้มข้างหนึ่งกับใบหน้าที่ดูเด็กลงเป็นกอง ขณะที่มาร์ควิสเซซิลยืนกอดอกหรี่ตามองด้วยความหมั่นไส้

คีนอซเคาะรหัสประจำตัวของเขาไปครั้งหนึ่งแล้วถอยออกมายืนรออยู่หลังเจ้านาย ระหว่างรอคนในห้องเดินมาถอดกลอนประตูก็รีบรายงานผลงานอันน่าภาคภูมิใจที่เพียรพยายามทำมาทั้งวัน

“วันนี้ทั้งวันเธอไม่ได้ร้องไห้สักแอะ กินได้เยอะแถมยังสามารถจดจำรหัสประจำตัวได้ในเวลาชั่วโมงครึ่ง”

มาร์ควิสหนุ่มขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะพันกันกับความภาคภูมิใจทะแม่งๆ ของลูกน้องคนสนิท ลำพังการที่เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายก็พอเข้าใจว่าเธอคงเห็นว่าตัวเองอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ที่กินได้เยอะคงเพราะอดโซมานาน แต่การจำรหัสเคาะประตูสองก๊อกสองแก๊กนี่ถึงกับต้องใช้คำว่า สามารถ เลยหรือ?

ขณะที่กำลังครุ่นคิดในใจและกำลังจะสงสัยว่าคนข้างในจำรหัสได้จริงไหม ก็ได้ยินเสียงกลอนประตูลั่นมาจากข้างในพร้อมๆ กับที่บานประตูเปิดออกช้าๆ

เขามองไม่เห็นใบหน้าของเด็กสาวเพราะด้านในมีเพียงแสงจากตะเกียงเจ้าพายุดวงเล็กๆ ดวงหนึ่ง ส่งผลให้ในห้องเก็บฟืนมืดสลัวกับความหนาวเย็นที่เสียดเข้ากระดูก

สองหนุ่มรีบก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับงับบานประตู

มาร์ควิสเซซิลกวาดสายตามองไปรอบๆ แม้คีนอซจะทำความสะอาดและจัดหาของใช้ไม้สอยและเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นมาให้ แต่สภาพอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ ไม่นานที่นี่จะจมอยู่ใต้กองหิมะทั้งการที่ไม่มีเตาผิง หรือถึงจะมีเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เธออยู่กับกองไฟตามลำพังอยู่ดี และเพื่อความปลอดภัย เขาคิดว่าอีกไม่เกินสามวันจะต้องบอกลาท่านดยุคและหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่รังเกียจที่จะรับเด็กรับใช้ไว้อีกสักคนหนึ่ง

เขาขมวดคิ้วเป็นรอบที่สาม เมื่อเด็กสาวยังคงยืนเอาหน้าผากพิงประตู มือข้างหนึ่งก็เคาะรหัสซ้ำไปซ้ำมา

นี่ไงล่ะ! กลิ่นทะแม่งๆ ที่ว่า

“อลิซ...พอได้แล้ว เดินมานี่” คีนอซส่งเสียงเรียกแล้วเหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของเจ้านาย

เด็กสาวถอยห่างจากประตูแล้วเดินตัวลีบเข้ามา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกหลุบต่ำมองเห็นแต่ รองเท้าของคนทั้งสอง

“ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิ”มาร์ควิสหนุ่มกวักมือเรียก พยายามรักษาท่วงท่าสบายๆ ไว้เพราะกลัวอีกฝ่ายจะตื่นกลัว วันนี้เขาเหนื่อยพอแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะปลอบโยนใครอีก

ร่างผอมบางเงยหน้ามองเขา ทำให้เห็นแววตาที่ไหวระริกคล้ายมีน้ำตาคลอทว่ามิใช่ แต่มันทำให้เขาเพิ่งประจักษ์ชัดแจ้งว่าเด็กคนนี้มีดวงตาที่งดงามใช่ย่อย เพียงแต่...ความงามนั้นถูกบดบังด้วยเงามืดที่อาจจะลึกกว่าบาดแผลในใจของเขา บาดแผลที่เจ็บช้ำกว่าร่องรอยการถูกทรมานภายนอกมากมายนัก

กว่าเธอจะขยับเข้ามาหนึ่งก้าว เขาก็หายใจเข้าออกไปแล้วกว่าสิบครั้ง แสงจากตะเกียงทำให้ร่างผอมบางภายใต้เสื้อโค้ทตัวเดิมแทบจะกลืนไปกับความมืด มือของเธอจับเสื้อไว้แน่นจนเขาแอบขำในใจ หากไม่เพราะเธอชอบมันเหลือเกินก็คงเพราะเธอกลัวว่าเขาจะทวงคืนกระมัง

“สวมเสื้อโค้ทตัวเดียวไม่หนาวรึ?” ที่นี่ไม่มีเตาผิง ทั้งการปล่อยให้เด็กอยู่คนเดียวไม่เหมาะกับการจุดไฟ หิมะอาจจะตกหนักไปอีกอย่างน้อยสองวัน

เธอนิ่งมองเขาครู่หนึ่งคล้ายใช้ความคิด ก่อนจะกลับหลังหันซอยเท้าผ่านหน้าคีนอซที่ยืนกอดอกอยู่ห่างๆ ไปข้างหลัง เขาผุดลุกขึ้นนั่งมองตามด้วยสายตาแสดงความมั่นใจ

“เรามีปัญหา...” เขามองใบหน้าลูกน้องคนสนิทที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และแน่ใจว่าคีนอซก็น่าจะสันนิษฐานเช่นเดียวกัน “เจ้าเด็กนั่นปัญญาอ่อน”

แม้ว่าข้อสันนิษฐานของเขาจะดูร้ายแรงไปนิด แต่เขาคิดว่าหากไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ร่างกายขาดสารอาหารอยู่แล้ว อายุสมองคงไม่ต่างจากเด็กห้าขวบ แล้วอย่างนี้จะกล้าฝากฝังไว้กับท่านดยุคหรือ

ทว่าคีนอซกลับอมยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบคำ แต่ส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปยังประตูบานเล็กด้านหลังที่เขาใช้เป็นที่เก็บฟืน ซึ่งอลิซกำลังเดินย่องแย่งเข้ามา

เขามองตามสายตาคนสนิท เห็นร่างผอมบางหอบผ้าห่มผืนหนาเข้ามาก็เลิกคิ้วมองด้วยความสนใจ หรือว่าเขาจะคิดมากไปเอง?

แล้วเธอก็ทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง ด้วยการคลี่ผ้าห่มออก แล้วโยนโครมลงมาบนศีรษะของเขา

“ฮ่าๆๆๆ”

คีนอซระเบิดหัวเราะเสียงดัง ขณะที่ผู้เป็นนายฮึดฮัดโยนผ้าห่มออกจากตัว ขณะที่อลิซถอยไปยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู

“อย่าทำหน้าดุสิครับ ท่านทำให้เธอกลัวแล้ว”

“ห๊ะ!” เขาเตรียมจะตวาดในตอนแรก แต่เสียงเตือนกลั้วหัวเราะของคีนอซทำให้เขาจำต้องสูดลมหายใจลึก จ้องไปยังร่างที่ยืนตัวหดอยู่ตรงประตูเขม็งก่อนจะตวัดสายตากลับไปคาดคั้นกับลูกน้องคนสนิท

“อธิบายมา!”

“เธอไม่ได้ปัญญาอ่อน แต่...สมองช้า...เล็กน้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแค่รหัสผ่านง่ายๆ ยังต้องเรียนกันถึงชั่วโมงครึ่ง แล้วอย่างนี้...ท่านยังจะให้เธออยู่ที่นี่อีกหรือครับ?”

มาร์ควิสหนุ่มพยักหน้าอย่างรู้ทัน เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกน้องคนสนิทจึงได้ระริกระรี้นัก นั่นเพราะต้องการให้เขาเห็นว่า เธอไม่ใช่สายลับหรือนกต่อปลอมตัวมา ทั้งยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องกำจัดอย่างเร่งด่วน จึงไม่ควรเก็บเธอไว้อีกนั่นเอง

เขามองฝ่าแสงตะเกียงวับแวมไปยังร่างผอมบางนั้นอีกครั้ง ภาพที่เด็กคนหนึ่งกำลังยืนตัวสั่นด้วยความกลัวกลับขุดความทรงจำที่ถูกฝังลงไปแล้วขึ้นมา

ร่างที่แทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก รอยแผลเป็นที่ยังไม่จางหาย ความสิ้นหวังที่ทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ความเลวร้ายที่เขาเคยได้รับ สะท้อนอยู่ในตัวอลิซราวกับอดีตได้ตามมาหลอกหลอน

ยิ่งมองเธอ เขาก็ยิ่งคิดถึงมัน

เพราะฉะนั้น...เธอก็ไม่ควรป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ เขา?

“เราจะใช้เกวียนกลับแคปตอลทาวน์ในอีกสามวัน หรือทันทีที่หิมะหยุดตก เธอจะกลับไปกับเราด้วย”

“ท่าน!?” คีนอซมองเจ้านายด้วยความผิดหวัง การเดินทางฝ่าหิมะในฤดูหนาวไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่มีร่างกายที่แข็งแรง หัวใจที่กล้าหาญ มีหรือจะเอาชีวิตรอดจากการเดินทางด้วยเกวียน ซึ่งอาจจะใช้เวลาร่วมสองเดือน นี่ท่านมาร์ควิสของเขาคิดอะไรอยู่ ไฉนจึงชอบหาเรื่องใส่ตัวนัก

“แต่เด็กนี่เป็นผู้หญิง”

“นายว่าเหมือนอยู่หรือ?” เขาปรายตาไปยังร่างผอมแห้งภายใต้เสื้อโค้ทตัวโคร่ง ยังไงเขาก็มองเห็นแต่เด็กฟันไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง “ผู้หญิง” ในความคิดของเขาคือสิ่งมีชีวิตที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งและพร้อมที่จะสนุกด้วยกันโดยไม่ผูกมัดต่างหาก

“แผลของเธอใกล้จะหายดีแล้ว ซ้ำที่ผ่านมายังสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่มีพวกเรา”

“ด้วยการลักเล็กขโมยน้อย?”

“สภาพอากาศทำให้เธออาจไปไม่ถึงแคปตอลทาวน์” คีนอซยังไม่ยอม

“ที่ผ่านมาเธอมีชีวิตรอดมาได้เพราะโชคช่วยหรือไง?”

“แต่เธอ...ปัญญาอ่อน” ลูกน้องหนุ่มลดเสียงลงมาเมื่อพูดประโยคนี้ ประจวบเหมาะกับที่เด็กสาวกลอกลูกตามองริมฝีปากที่กำลังขยับของคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยดวงตากลมโต

มีคนปกติที่ไหนฟังคนพูดไม่ดีถึงตัวเองราวกับกำลังฟังเรื่องลมฟ้าอากาศ

“นายบอกว่าเธอสมองช้าเล็กน้อยต่างหาก” มาร์ควิสหนุ่มย้อนเอาคำพูดเดิมของอีกฝ่ายมาอ้าง แววตาประดับด้วยรอยยิ้มซุกซน

“ท่าน...” คีนอซจนด้วยปัญหาจะตอบโต้ “ที่แท้ท่านก็รู้อยู่แล้ว”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel