บทที่ 7 พ่อเสือกับแมว
“ท่านจะแข่งม้ากับคุณมิสเตอร์วิลสันจริงๆ หรือครับ?”
คีนอซผูกเชือกรองเท้าให้กับเจ้านายทั้งถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อมาร์ควิสเซซิลสวมชุดสำหรับแข่งม้าเต็มยศ และยืนกรานที่จะไม่ให้เขาตามไปดูแล ซึ่งแม้จะอยู่ในถิ่นของดยุคดาร์วิน ทว่าเหตุการณ์ซุ่มยิงบนรถม้านั่นก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่
อาจเป็นโจรทั่วๆ ไป หรือนักฆ่าที่ตามมาจากแคปตอลทาวน์ก็ได้ แม้จะเฉียดตายมาหลายครั้ง แต่ดูเหมือนมาร์ควิสผู้เป็นนายจะไม่ได้หยี่ระต่อการมาเยือนของพญามัจจุราชเลยสักนิด เขาเสียอีกที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งยามเกิดเหตุเภทภัยกับเจ้านายของตน เพราะกลัวจะรักษาชีวิตของท่านมาร์ควิสเอาไว้ไม่ได้
“ทำไม? คริสวิลสันคนนั้นมีอะไรน่ากลัว?”
“เข้าเป็นแชมป์ขี่ม้าตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นสี่ปีก็ได้แชมป์ระดับประเทศอีกสองสมัย หากท่านวางเดิมพันเป็นมิสซิมมอนส์ล่ะก็เห็นลางพ่ายแพ้ชัดๆ เลยล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆๆ” มาร์ควิสเซซิลกลับหัวเราะด้วยความขบขัน “แชมป์ขี่ม้ากับทหารม้าพลธนูที่ผ่านสนามรบมาสิบปี นายคิดว่าฉันจะแพ้อย่างนั้นหรือ?” เขาลุกขึ้นพลางสวมหมวกคาวบอย เสริมรัศมีความหล่อเหลาให้พุ่งขึ้นมากไปอีก
คีนอซไม่ตอบ เขาไม่กล้าคิดว่าใครจะชนะหรือแพ้ เพราะคุณสมบัติและรูปสมบัติภายนอกของทั้งสองคนนั้นสูสีกันอย่างมาก ทั้งท่านมาร์ควิสของเขาก็ออกจะหยิ่งทะนงในตนอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
“แต่ว่านะ...ฉันไม่ได้เดิมพันอะไรไว้ทั้งนั้นล่ะ” มาร์ควิสเซซิลพูดออกมาในที่สุด เพราะสิ่งที่เขาต้องการจนถึงขั้นต้องพนันขันต่อนั้นไม่เคยมีมาก่อน ทั้งการต้องลดตัวลงไปแข่งขันกีฬาเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งก็มิใช่วิสัยของคนที่อยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างเขา
ที่จริง เขาชนะตั้งแต่ยังไม่แข่งแล้วต่างหาก เลดี้ซิมมอนส์ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีนี้เลย
“ผมจัดการที่อยู่ให้อลิซเรียบร้อยแล้วนะครับ” คีนอซยักไหล่ เปลี่ยนเรื่องไปเสียเฉยๆ เมื่อเห็นเจ้านายไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นใดๆ แสดงว่าสีหน้าระรื่นที่เห็นภายนอก ก็เพียงแต่กำลังคิดว่าจะได้ทำอะไรสนุกๆ เหมือนอย่างเคยเท่านั้น
ชื่อของอลิซทำให้มาร์ควิสหนุ่มชะงัก ลืมไปเสียสนิทเลยว่ายังมีตัวภาระสำคัญอยู่ในบ้าน
“อยู่ที่ไหน?”
“อาณาบริเวณของบ้านหลังนี้กว้างมาก ผมเดินสำรวจดูไปจนถึงท้ายไร่ มีห้องเก็บฟืนเล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง ก็เลยจัดการทำความสะอาดและให้เธออยู่ที่นั่น ตอนแรกเธอก็ดูกลัวๆ แต่สุดท้ายก็อยู่ได้ ที่นั่นดูเหมือนจะปลอดภัยมากกว่าบ้านหลังนี้เสียอีก”
“อ้อ!” เขาพยักหน้ารับรู้ แค่ย้ายเธอออกกจากเตียงนุ่มๆ ได้เขาก็พอใจแล้ว “หน้าที่ดูแลอลิซฉันยกให้นายก็แล้วกัน”
“อะไรนะครับ!?” คีนอซอุทานออกมาแทบไม่เป็นภาษา “หน้าที่ของผมคือรับใช้ท่านต่างหาก”
“นี่ก็หนึ่งในหน้าที่ไงเล่า” มาร์ควิสเซซิลหว่านล้อมเมื่อเห็นใบหน้าเหยเกของคนสนิทที่ไม่อยากจะให้เด็กนั่นติดสอยห้อยตามมาตั้งแต่แรก “เอาน่า...แค่ชั่วคราว จนกว่าเธอจะหาย เด็กตัวแค่นั้นคงไม่ต้องการอะไรมากมาย แค่มีอาหารให้กิน มีที่นอนอุ่นๆ ถ้าเธอไม่ทำผิดอีกฉันจะขอให้ท่านดยุครับเป็นคนใช้ อ้อ! รถม้ามาพอดี ฉันต้องไปแล้ว ยังไงก็จะกลับมากินอาหารเย็นฝีมือนาย”
คีนอซได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างของเจ้านายด้วยความระอา เขารึอุตส่าห์เป็นห่วง ตั้งใจจะเฝ้าอารักขาทุกฝีก้าว แต่กลับถูกสั่งให้ไปเฝ้าเด็กผู้หญิงแทน
ประเดี๋ยวก็ถึงมื้อเที่ยง เขาต้องปรุงอาหารรสอ่อนไปเสิร์ฟเด็กนั่นถึงที่อีก กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็ร้อง ไม่ต่างอะไรกับลูกแมว
“เขาไปคนเดียว”คนที่ใส่หมวกฮู้ดเหมือนชุดนักบวชกระซิบ
“ดูอยู่ห่างๆ อย่าให้รู้ตัว ถึงเวลาค่อยจัดการ ทำให้เหมือนอุบัติเหตุ”
ชายที่นั่งไขว่ห้างอยู่ในมุมมืดพูดเสียงต่ำ พ่นควันออกจากปาก ก่อนจะดูดปลายกระบอกไปป์อีกครั้งด้วยท่าทีเยือกเย็น เช่นเดียวกับคำสั่งของตน
“ครับ คนของเราพร้อมแล้ว”คนใส่หมวกฮู้ดถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ควันจากริมฝีปากหนาถูกพ่นออกมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะวางไปป์ลง แล้วเอามือเกยคางเคาะนิ้วอย่างครุ่นคิด
หวังว่าคราวนี้จะไม่พลาดอีก
ซุปข้าวโพดส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายถูกวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กอย่างแผ่วเบา คีนอซกวาดตามองรอบๆ ห้องอย่างพึงพอใจที่สามารถเนรมิตห้องเก็บฟืนให้กลายเป็นวิมานน้อยๆ ของอลิซได้
เธอนอนหลับอุตุอยู่บนฟูก ใบหน้ามีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย คงได้ยินเสียงกุกกักจึงได้กระเด้งตัวขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกครั้นพอเห็นว่าเป็นเขา ร่างเล็กๆ ก็เดินตัวลีบเข้ามาหา
เธอคงหิวจัด เพราะสายตามองแต่อาหารที่อยู่บนโต๊ะ แต่ไม่กล้ากินเพราะมีเขาอยู่
เหมือนลูกแมวจรจัดจริงๆ
“กินซะ แล้วล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด จะได้ทายา”เขาไม่ออกไปง่ายๆ จนกว่าจะจัดการเธอให้แล้วเสร็จตามคำสั่งของท่านมาร์ควิสเพียงแต่ยืนกอดอกหันหลังให้อยู่ตรงบานหน้าต่างที่ไม่ได้เปิดออก
อลิซค่อยๆ ขยับเข้าไปที่โต๊ะแล้วหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ ตาจ้องมองแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างระแวดระวัง กลัวว่าเขาจะหันกลับมา
ครั้นพอน้ำซุปกับข้าวโอ๊ตผ่านเข้าปากเป็นคำแรก เธอก็ก้มหน้าก้มตาสวาปามอย่างลืมตัว ไม่รู้ตัวว่าเสียงซดน้ำซุปที่ดังซู้ดๆ นั้นทำให้คีนอซเผลอยิ้มออกมาไม่ได้
แน่ล่ะ...คนย่อมภูมิใจในฝีมือปรุงอาหารของตนเป็นธรรมดา ระดับเชฟมือทองของมาร์ควิสเซซิลผู้พิถีพิถันเรื่องรสชาติอาหาร มีหรือลิ้นสากๆ ของเจ้าหัวขโมยจะไม่รู้รสความอร่อย
หันไปอีกที ก็เห็นเธอก็ยืนบิดชายเสื้ออยู่หน้าประตูทางออกอีกฝั่งหนึ่งแล้วกินเร็วเป็นบ้า แถมชามยังสะอาดเอี่ยมเหมือนใช้น้ำล้างไม่มีผิด
มีเจ้านายเป็นเสือ แต่กลับต้องมาเลี้ยงแมว สุนัขรับใช้อย่างเขาคงจะไม่เหงาจนเกินไป
เขาเปิดประตูด้านหลัง ลมหนาวหอบไอหิมะเข้ามาวูบหนึ่ง คนข้างในจึงได้ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่อกาย
ห้องเก็บฟืนไม่มีห้องน้ำในตัว แต่ท่านดยุคได้กั้นที่อาบน้ำเล็กๆ ไว้อีกหลังหนึ่งห่างออกไปราวยี่สิบเมตร ซึ่งเขาจะต้องต้มน้ำให้เธอเอาไว้อาบอย่างน้อยสามวันครั้งเนื่องจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บและหิมะที่ตกหนักอยู่ตลอด
เธอใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นาน ก็เดินตัวสั่นกลับเข้ามาในห้องด้วยชุดรุ่มร่ามไม่พอดีตัว เนื่องจากถึงจะซื้อเสื้อผ้าไซส์เด็กผู้ชาย แต่ร่างกายเธอผอมบางเกินไป จึงทำให้ดูโคร่งน่าขบขัน
“เอ้า...ทายาซะ แล้วก็อย่าออกไปข้างนอก อีกสี่ชั่วโมงจะเอามื้อค่ำมาให้ ระหว่างนั้นฉันต้องทำงานหลายอย่าง ถ้าอยากได้อะไรก็กดกริ่งเรียก นี่...กดตรงนี้ มันจะดังไปถึงบ้านหลังใหญ่ โอเคนะ?”เขากดปุ่มเล็กๆ ใกล้กับสวิตซ์ไฟที่อยู่ตรงผนังห้องให้เธอดูเป็นตัวอย่าง แล้วก็ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเธอผงกศีรษะเป็นการรับทราบ
แล้วเขาก็กลับไปในบ้านใหญ่ เริ่มต้นด้วยการเคลียร์เอกสารสิทธิ์ต่างๆ ที่มีผู้นำมาจำนองกับท่านมาร์ควิส ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของคนจบกฎหมายอย่างเขาทำมาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย
มาร์ควิสเซซิลมีที่ดินจากมรดกกว่าสองพันเอเคอร์ในแคปตอลทาวน์ รวมปราสาทหลังใหญ่ที่บิดาโอนให้อยู่ในความดูแล มารดาเลี้ยงหนึ่งคนกับบุตรชายต่างมารดาอีกสองซึ่งต่างก็อายุเฉียดสามสิบแล้วแต่ยังไม่มีใครแยกตัวออกไป กับคนรับใช้ บริวาร คนงาน คนสวนอีกเกือบร้อยที่อยู่ในความดูแล โชคดีที่ปราสาทหลังนั้นมีการจัดโซนไว้อย่างลงตัว บุคคลสำคัญทั้งสี่คนในบ้านจึงไม่ค่อยได้พบหน้าค่าตากันนัก
