บทที่ 3 ลูกกระเดือกหายไปไหน
ปัง!
เสียงปืนจากข้างนอกดังขึ้นนัดหนึ่ง ขณะรถม้าโยกอย่างรุนแรง มาร์ควิสหนุ่มใช้ปลายกระบอกปืนพกจี้ที่ขมับของหัวขโมยตัวน้อยที่ทำหน้าตื่นตกใจอยู่
“โจรปล้น! เป็นพวกของแกหรือเปล่า?”
ร่างที่ถูกมัดอยู่รีบสั่นศีรษะ ยกมือปิดหูทั้งสองข้างตัวสั่นงกๆ เหมือนคนเป็นไข้
เขาชักมีดสั้นออกจากเอว ตัดเชือกที่มัดข้อมือของอีกฝ่ายออก แล้วยัดด้ามมีดเข้าไปในฝ่ามืออันสั่นเทา
“เอามีดนี้ไป ระวังอย่าให้ถูกฆ่าก็แล้วกัน”
เขาวิ่งออกไปพร้อมปืนพกในมือ คนที่ได้มีดสั้นไว้ป้องกันตัวกลับทิ้งมันลงบนพื้น ได้ยินเสียงปืนและเสียงคนร้องอยู่ข้างนอก เขาก็หลับตาปี๋....
“ท่านมาร์ควิส มันไม่ยอมถอดเสื้อผ้าครับ”
คีนอซรายงานด้วยความกลัดกลุ้ม เมื่อพ้นเงื้อมมือโจรมาได้โดยที่ไม่มีฝ่ายใดเสียเลือดเนื้อให้เป็นคดีความ ท่านดยุคดาร์มินก็ได้ส่งทหารมาอารักขาตลอดเส้นทางจนถึงบ้านพักหลังเล็กซึ่งใช้รับรองแขกกิตติมศักดิ์ เนื่องจากมาร์ควิสเซซิลแจ้งความประสงค์มาตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องการความเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้ข่าวการมาของเขาเอิกเกริก ก่อนจะถึงวันแต่งงานของเคานท์ดาโก้
แต่เขาไม่เห็นด้วยที่ท่านมาร์ควิสจะเลี้ยงดูเจ้าหัวขโมยคนนี้ ทั้งที่ควรจะส่งตัวมันให้กับทางการ เพราะตั้งแต่อยู่บนรถไฟ กระทั่งมาถึงที่นี่ ยังไม่มีใครได้ยินเสียงของมันสักแอะ ชื่อแซ่หรือก็ไม่ยอมบอก
“ทำไม?” มาร์ควิสหนุ่มรูปงามถามเนิบๆ พลิกมือไปมาเพื่อยืดเส้นยืดสายคลายหนาว
“ท่าทางมันเหมือนกลัวอะไรตลอดเวลา ท่านรีบเอาแหวนคืนแล้วส่งมันให้กับทางการเถอะครับ บางทีมันอาจจะก่อคดีอุกฉกรรจ์มา จึงได้กลัวลนลานไปหมด”
“เจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกนั่นน่ะรึ?” เขานึกภาพเด็กหนุ่มนั่นฆ่าคนไม่ออก ตอนที่พวกโจรล่าถอยไปและเขากลับเข้าไปในรถม้า ภาพที่เขาเห็นคือ เจ้าเด็กนั่นนั่งกอดเข่าเนื้อตัวสั่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งๆ ที่อากาศหนาวเหน็บ ดีที่ไม่กลัวจนฉี่ราดหรือเอามีดของเขาชิงฆ่าตัวตายไปก่อน
“เรื่องแหวนฉันโกหก เรายังส่งมันให้ทางการไม่ได้จนกว่าแผลจะหาย”
“แต่ท่าน...” คีนอซอ้าปากจะทักท้วง
มาร์ควิสหนุ่มลุกขึ้นจากโซฟา เดินเข้าไปในห้อง แสงไฟสลัวภายในส่องให้เห็นร่างที่กำลังกอดเข่าอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่กุญแจมือไว้ก็ตาม
ท่าทีของเด็กหนุ่มทำให้เขานึกถึงอดีตที่ไม่น่าจดจำ ภาพนั้นซ้อนทับกับภาพของเขาในวัยสิบขวบที่ถูกแส้ม้าตีอย่างทารุณ เลือดที่ไหลโชกจากแรงเฆี่ยนโทรมกายและทิ้งรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขามาจนถึงทุกวันนี้
“ถ้าแกยังไม่ปริปากพูดล่ะก็ ฉันจะเชือดลูกกระเดือกแกทิ้งเสีย”
เขานั่งคุกเข่า ส่วนเจ้าเด็กหัวขโมยก็ขยับหนีด้วยความตื่นตระหนก สองมือที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกขยุ้มคอเสื้อโค้ทของเขาที่ใส่ตั้งแต่อยู่บนรถไฟไม่ยอมปล่อย
เสื้อสีขาวมีรอยคราบเลือดเกรอะกรัง เขาไม่คิดจะใส่มันแล้ว แต่ก็ทนเห็นใครใส่เสื้อผ้าสกปรกไม่ได้
“พูดมาก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน แกไปทำอะไรมา คนพวกนั้นถึงต้องตามล่าแกตั้งแต่อยู่บนรถไฟจนกระทั่งในรถม้า แกเป็นใครกันแน่!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา เด็กหนุ่มก็สะดุ้งเฮือกตาเบิกโพลง กระถดถอยหนีจนแทบจะมุดเข้าไปในผนังห้อง
ทว่า...ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดๆ ออกมา
“งั้นฉันจะเชือดคอแกซะ”
มาร์ควิสผู้ทรงอำนาจใช้พละกำลังที่เหนือกว่า เอามือข้างหนึ่งกระชากสองแขนของเด็กนั่นออก แล้วดึงคอเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกลงมา มืออีกข้างจ่อมีดไปที่คอหอย
เขาผงะไปครู่หนึ่ง
เจ้าเด็กนี่...ไม่มีลูกกระเดือก!!
เขาพยายามหาข้อสันนิษฐานมายืนยันกับสายตา เป็นไปได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจอายุน้อยกว่าที่คิด ทั้งยังขาดสารอาหารอย่างรุนแรงจนทำให้ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่
แต่...ต่อให้เป็นเด็กผอมโซแค่ไหน ก็ไม่น่าจะซ่อนลูกกระเดือกไว้ได้เลยนี่นา
นอกเสียจาก มันไม่ใช่ผู้ชาย!!
นิ้วเรียวยาวของมาร์ควิสเซซิลกระชากร่างผอมบางขึ้นมา ดึงทึ้งเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกของเขาที่อีกฝ่ายสวมอยู่ออกจากตัว โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนผลักใส
แคว้ก!!
เสื้อมอซอตัวในถูกฉีกออกอย่างไร้ความปราณี เนินอกเล็กๆ เหมือนเด็กที่กำลังเริ่มโตเป็นสาวปรากฏแก่สายตา นั่นยังไม่ทำให้เขาตกใจเท่ากับได้เห็นกระดูกซี่โครงและรอยแผลมากมายที่แสดงให้เห็นว่าเด็กคนนี้เคยถูกทารุณกรรม ซ้ำบาดแผลหายแห่งก็เพิ่งจะตกสะเก็ดหมาดๆ
“บ้าฉิบ!” เขาสบถ หันไปสั่งคีนอซเสียงเครียด “เด็กผู้หญิง! ไปซื้อเสื้อผ้าไซส์เล็กมาสักสามสี่ชุด เอาแบบที่พวกเด็กผู้ชายใส่กัน ระวังอย่าให้ใครรู้”
“ครับ มาร์ควิส” ลูกน้องคนสนิทวิ่งหน้าตื่นออกไป
มาร์ควิสหนุ่มหยิบเสื้อโค้ทตัวเดิมสวมให้เธออย่างกระแทกกระทั้น มองคนที่ยังตัวสั่นงันงกอย่างหัวเสีย
เจ้าหัวขโมยนี้เป็นผู้หญิง! ไม่น่าเลย... ส่งตัวให้ทางการแต่แรกเสียก็สิ้นเรื่อง
“พูดได้ไหม?” เขาแน่ใจว่ายังไมได้ยินเสียงพูดหรือเสียงร้องของเด็กคนนี้สักแอะ แม้แต่ตอนที่ถูกจับแก้ผ้า ประมาณการจากรูปร่างหน้าตาแล้วน่าจะมีอายุไม่ถึงสิบห้าปี ไม่มีบัตรประจำตัว ไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง เช่นเดียวกับคนเถื่อนที่ไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ และต้องเร่ร่อนเป็นขอทานอยู่ตามซอกมุมเมือง
“เอาล่ะๆ ฉันจะไม่ส่งเธอให้ทางการ แต่เธอต้องตอบคำถามของฉันถ้าไม่อยากโดนฉันทำร้าย โอเคไหม?”
ได้ยินคำว่า “ทำร้าย” เด็กหัวขโมยก็เอียงหน้าซบกับผนังห้อง กอดตัวเองจนตัวกลมดิกแล้วร้องไห้ออกมา
เขาผงะ! เมื่อเห็นร่างเล็กๆ นั้นตัวสั่นเทิ้ม ส่งเสียงสะอื้นอยู่ในลำคอ น้ำตาร่วงรินไม่ขาดสาย ท่าทีนั้นทำให้เขารู้ได้ทันทีว่า นอกจากจะถูกทำร้ายร่างกายอย่างแสนสาหัสแล้ว เด็กคนนี้มีบาดแผลฉกรรจ์ในใจด้วย
“นี่...เด็กน้อย” เขาไม่รู้จะเรียกเธอว่าอย่างไร เธอไม่ใช่เด็ก แต่ก็ยังไม่โตเต็มวัย เธอไม่ได้สวมชั้นในด้วยซ้ำ
เขาผ่อนลมหายใจยาว
ไม่สนุกเลยสักนิด เขาถูกโฉลกกับผู้หญิงก็จริง แต่นี่อยู่เหนือความคาดหมายมากเกินไป และเขาเกลียดความยุ่งยากยืดเยื้อ
ให้ตายเถอะ! เขาไม่ถูกกับน้ำตาของผู้หญิงเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นเลดี้สาวสวย คนแก่หรือเด็ก ต่างก็ชอบมีน้ำตากันทั้งนั้น
“ได้ยินที่ฉันพูดไหม? ถ้าได้ยินก็ช่วยแสดงออกว่าเธอได้ยินที” เขาพยายามทำเสียงให้อ่อนโยนนุ่มนวล เท่าที่จะเป็นไปได้
ร่างบางเอามือป้ายน้ำตา เหลือเพียงเสียงฮึกฮักในลำคอเบาๆ แขนที่กอดตัวเองไว้แน่นคลายออกเล็กน้อย ใบหน้ามอมแมมหันกลับมามองเขาอย่างระแวดระวัง
“ก่อนอื่น เธอควรจะบอกชื่อให้ฉันรู้ก่อน มีชื่อหรือเปล่า ทุกคนมีชื่อกันทั้งนั้น” เขาแน่ใจว่าเธอไม่ใช่คนวิกลจริต เพราะคนประเภทนั้นคงไม่เลือกที่จะขโมยเสื้อโค้ทขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่มีราคาสูงที่สุดในกระเป๋า และโดยเฉพาะเป็นของมาร์ควิสอย่างเขาคนนี้
เธอคงหนีมา แอบขึ้นรถไฟ ลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ หากเขาจับเธอส่งทางการ เธอก็ต้องไปนอนในคุก เด็กผู้หญิงตัวแค่นี้จะทนรับสภาพนั้นได้อย่างไรไหว
เอาเถอะ... รอให้แผลหายดีแล้วเขาจะปล่อยเธอไป พร้อมให้เงินติดตัวไปสักก้อน หรือหากในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่เขาพำนักอยู่ที่นี่เธอทำตัวดีไม่ขโมย ไม่ก่อเรื่องเดือดร้อน เขาอาจจะฝากฝังให้ท่านดยุคดาร์มินรับไว้เป็นคนใช้
“ฉันจะเรียกเธอว่าอลิซก็แล้วกัน ไหนๆ เธอก็มาจากดินแดนมหัศจรรย์แล้วนี่”
