บทที่ 27 ชะตากรรมของเลดี้
ขณะที่คฤหาสน์ของมาร์ควิสเซซิลกำลังมีเรื่องชวนพิศวงงงงวย บนรถไฟขบวนหนึ่งก็มีเรื่องลึกลับเกิดขึ้นเช่นกัน
เกว็น ซิมมอนส์ผวาตื่นกลางดึกเมื่อเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมในโบกี้ของเธอขณะที่รถไฟกำลังลดระดับความเร็วลงเพื่อจอดเทียบชานชะลา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอเฟย์?”
มือของเธอควานสะเปะสะปะในความมืดเมื่อไม่มีเสียงตอบจากสาวใช้ที่นอนอยู่บนเตียงอีกด้าน ก่อนจะกรีดร้องออกมาเมื่อรถไฟห้ามล้อกะทันหันจนร่างไถลไปชนผนังห้อง ข้าวของหล่นกระจุยกระจาย
เสียงกรีดร้องดังระงมดังขึ้นรอบทิศ ก่อนลูกไฟดวงใหญ่จะสว่างวาบขึ้นครั้งหนึ่งอยู่ท้ายขบวน แสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้มองเห็นร่างของเด็กรับใช้ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น
ประตูตู้นอนตีเข้าออกเพราะแรงลม ใครบางคนยืนจังก้าอยู่ในความมืด
“กรี๊ด!”
สติของเธอกระเจิดกระเจิงเมื่อเห็นมีดที่ปักอยู่กลางหลังของเฟย์และเลือดที่ไหลนองเต็มพื้น ชายรูปร่างสูงใหญ่เดินฝ่าฝูงคนที่กำลังวิ่งหนีเปลวไฟจากท้ายขบวนไปยังหัวขบวน โดยที่ไม่มีใครสนใจเสียงร้องของเธอเลย
“เลดี้เกว็นสินะ ดยุคดาร์มินจะต้องชดใช้!”
ท่านพ่อ?
มันรู้จักเธอ รู้จักท่านพ่อ ชดใช้อะไร? บิดาของเธอทำอะไร?
มันตามเธอมาเพื่อฆ่าเธอ! และมันก็ฆ่าเฟย์ไปแล้ว!
“อย่าเข้ามานะ! ฉันไม่รู้เรื่อง แกพูดอะไร ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” เพราะอยู่ในห้องมืด จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ ซ้ำร้ายผู้ชายคนนี้ยังเดินเข้ามาแบบไม่มีพิรุธใดๆทั้งๆ ที่เธอมองเห็นมีดอยู่ในกำมือซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากนักฆ่ามืออาชีพ
“เกิดอะไรขึ้น!?” ดูเหมือนว่าใครบางคนจะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงโผล่เข้ามาโดยบังเอิญ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย มีคนร้ายจะฆ่าฉัน” เธอละล่ำละลักบอก หากแต่ยังช้ากว่านักฆ่านิรนามที่หันขวับแล้วถีบพลเมืองดีคนนั้นจนกระเด็นไป
เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนที่วิ่งหนีตายกลบเสียงร้องของเธอจนมิด กระนั้นคนที่เข้ามาช่วยก็ยังดีดตัวขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วแล้วเตะเสยเข้าที่ปลายคางของคนร้ายก่อนที่มันจะถึงตัวอีกครั้ง
ชายสองคนสู้กันอุตลุตอยู่ตรงช่องประตูขณะที่เธอนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว ก่อนที่ฝ่ายมือสังหารจะพลาดท่าโดนเตะจนล้มคว่ำ
“ฝากไว้ก่อนเถอะนังผู้หญิง!”
มันตะโกนอาฆาตแล้วเผ่นหนีไปพร้อมกับคนอื่นๆ อย่างแนบเนียน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการสองคนถือไฟฉายวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ? โอ๊ะ! มีคนถูกฆ่า!”
“มะ...ไม่ใช่เขาค่ะ...มีคนร้าย เขาเพิ่งจะวิ่งสวนพวกคุณไป!” เกว็นรีบบอกเมื่อเจ้าหน้าที่ทำท่าจะจับกุมพลเมืองดีที่ช่วยชีวิตเธอ ประจวบเหมาะกับรถไฟจอดสนิท และแสงจากสถานีส่องมา จึงเห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณได้ชัดขึ้น
“ไปตามตำรวจมา มีการฆาตกรรมกันบนรถไฟ ขอเชิญคุณทั้งสองไปให้ปากคำด้วยครับ”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแยกตัววิ่งลงไปที่สถานี อีกคนตรวจดูรอบๆ ศพคร่าวๆ
“เด็กรับใช้ของฉันเอง ชื่อเฟย์ คนร้ายมันคงสะกดรอยตามฉันมา”
“ทำไมจึงแน่ใจเช่นนั้นครับ?”
“มันรู้ชื่อของฉัน และเอ่ยชื่อพ่อของฉัน”
เจ้าหน้าที่เงยหน้าเป็นเชิงถาม
“ฉันคือเกว็น ซิมมอนส์ ธิดาคนเดียวของดยุค...” เธอยังพูดไม่จบ เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ลุกทะลึ่งพรวดขึ้นพร้อมกับชักอาวุธปืนออกมา
หญิงสาวตกใจจนเกือบจะกรีดร้องอีกครั้ง หากแต่พลเมืองดีจุ๊ปากให้สัญญาณแล้วใช้มือล็อกคอของเจ้าหน้าที่คนนั้นแล้วหักคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนร่างในชุดเครื่องแบบไถลลงนอนกับพื้นข้างๆ ศพของเฟย์นั่นเอง
“พวกมันไม่ใช่คนของทางการ มีคนต้องการฆ่าคุณ คุณต้องรีบหนี”
“หนี? หนีไปไหน ฉันไม่รู้” เธอเอามืออุดริมฝีปากเมื่อมีคนตายถึงสองศพในตู้นอนของตนเอง ซ้ำคนที่น่าจะเป็นที่พึ่งได้กลับเป็นคนร้ายปลอมตัวมา
“เราต้องรีบไปที่ป้อมตำรวจของสถานี ไม่อย่างนั้นมันจะฉวยความโกลาหลฆ่าคุณ” บุรุษนิรนามฉวยข้อมือเธอแล้วฉุดให้ออกไปด้วยกัน
เกว็นซิมมอนส์ เลดี้ผู้เลอโฉมไม่เคยพบกับฆาตกรตัวเป็นๆ มาก่อน ณ เวลานี้ไม่มีสติพอที่จะไตร่ตรองสิ่งใด ได้แต่วิ่งตามชายหนุ่มที่มาช่วยชีวิตไปอย่างไม่คิดชีวิต
เธอหันไปมองท้ายขบวนรถไฟ ที่แท้เกิดไฟไหม้ห้องเครื่องท้ายขบวน ทุกคนจึงวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น เคราะห์ดีที่รถวิ่งมาถึงสถานีเติมเชื้อเพลิงเล็กๆ เจ้าหน้าที่จึงช่วยสกัดเพลิงได้ทันกระนั้นเหตุการณ์ก็ไม่สงบลงง่ายๆ เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่อยู่ในอาการขวัญเสีย ยังไม่รวมเรื่องศพนั่นอีก
“คุณจะพาฉันไปไหน?” หญิงสาวรู้สึกเอะใจ เมื่อเขาพาเธอวิ่งลัดเลาะเข้าไปในป่าซึ่งอยู่ตรงข้ามกับฝั่งของสถานี
เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ เธอก็ขืนตัวเองไว้ พร้อมกับดิ้นสุดแรงด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อตะโกนให้คนช่วย เจ้าพลเมืองดีจอมปลอมก็เอามือหนาหยาบกร้านปิดปากของเธอ ก่อนจะถูกกำปั้นชกเข้าที่ท้องอย่างจัง
ร่างงามทรุดลงไปกองกับพื้น หมดสติไปทันที
ในปราสาทหลังงาม
มื้อค่ำคืนนี้มิได้มีเพียงบุคคลในตระกูลอองเตส เซซิล เท่านั้น
เพราะนอกจากทุกคนจะนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ยังมีบุคคลที่ได้รับเชิญเป็นพิเศษร่วมโต๊ะด้วยอีกสามคน ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พวกเขารู้จัก หากแต่ไม่มีโอกาสมากนักที่จะพบเจอในงานสังคม นั่นเพราะหากไม่มีเรื่องด่วน เรื่องร้าย เรื่องสำคัญต่อวงศ์ตระกูล มาร์ควิสเซซิลจะไม่เชื้อเชิญพวกเขามาพร้อมๆ กัน นับจากครั้งล่าสุด ก็เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นปีที่มาร์ควิสหนุ่มบรรลุนิติภาวะ และมีการเปิดพินัยกรรมของบิดา ซึ่งก็คือเจ้าชายมุสซูรี่ อองเตส เซซิล ที่ 2 ซึ่งเป็นพระญาติลูกพี่ลูกน้องของพระราชาองค์ปัจจุบัน
บารัค คูนอฟ นายอำเภอหนุ่มไฟแรงผู้เถรตรง
แซมมวล เคทเวิสท์ ทนายความประจำตระกูล
จีวานนี่ บลูก้า ผู้จัดการสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของแคปตอลทาวน์
การปรากฏตัวของพวกเขาทั้งสามในมื้อค่ำที่ผู้ปกครองสูงสุดได้พาบุคคลแปลกหน้ากลับมาด้วย คือสัญญาณร้ายบางอย่างที่บุคคลในตระกูลสัมผัสได้ บรรยากาศระหว่างรอการปรากฎตัวในมื้อค่ำของมาร์ควิสหนุ่มจึงเต็มไปด้วยความอึมครึมกระหายใคร่รู้
เก้าอี้หัวโต๊ะเป็นของท่านประมุขนั้นเข้าใจ แต่อีกตัวข้างๆ กันที่ว่างอยู่เล่า มันหมายถึงอะไร?
มาร์ควิสเซซิลไม่ปล่อยให้พวกเขารอนานนัก หลังปล่อยให้คีนอซไปจัดการจับเจ้าเด็กสมองทึ่มแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ค่อนวัน เด็กรับใช้ก็พาเธอมาส่งที่ห้องหนังสือ
เขาไม่หวังจะเห็นอลิซในคราบเลดี้หวานแหวว แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่ได้เห็นเจ้าเด็กผมหยักศกสีแดงอยู่ในชุดเดรสสีน้ำเงินยาวกรอมเข่าที่มีจีบรอบตัวกับเสื้อสีขาวเนื้อนิ่มแขนยาวพอดีตัวทับด้วยเสื้อเสวตเตอร์สีขาวช่วยขับให้เรือนร่างดูระหงและดูห่างไกลจากคำว่าเด็กกะโปโลลิบลับ
คงเพราะเธออยู่ในชุดเด็กผู้ชายมอซอหรือไม่ก็เสื้อโค้ทตัวโคร่งมาโดยตลอด จึงเพิ่งเห็นว่าที่แท้ลูกสาวบุญธรรมก็เริ่มจะเป็นสาวแล้วเหมือนกัน
อลิซไม่ได้สวยเลิศเลอแบบที่มองแล้วต้องเหลียวหลังอย่างเลดี้เกว็น หากแต่มีใบหน้าที่มีเสน่ห์ชวนพิศ โดยเฉพาะดวงตากลมโตสุกใสสีดำสนิทที่ผิดแผกจากตาสีฟ้าของชาวยุโรปทั่วไป คล้ายจะมีแรงดึงดูดให้คนที่พบเห็นรู้สึกเอ็นดูสงสารได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคอะเขินกับการถูกจับแต่งตัวอย่างที่เขากลัวในตอนแรก ทั้งรูปร่างบุคลิกกลมกลืนกับเสื้อผ้าน่ารักๆ ไสตล์เด็กผู้หญิงที่เขาสั่งจากบูติคชั้นนำของแคปตอลทาวน์ราวกับว่านี่ต่างหากคือตัวตนที่แท้จริงของเธอ ซึ่งเขาก็น่าจะพอใจแล้ว
เว้นแต่...เว้นแต่...
