บทที่ 26 พบปะญาติๆ
มาร์ควิสเซซิลที่ก้าวขาอย่างยากลำบาก พยายามแกะมือน้อยที่โอบรอบเอวเขาไว้อย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่ก้าวย่างเข้ามาภายในบริเวณคฤหาสน์ อลิซก็ดูตื่นตระหนกกับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกำแพงอิฐที่สูงใหญ่ ถนนที่ทอดยาวจากกำแพงถึงตัวบ้าน สนามหญ้าสีเขียวและบึงน้ำเล็กๆ ที่เขาขุดขึ้นมา รวมถึงปราสาทหลังเล็กอีกสามหลังของเหล่าพี่น้องต่างมารดาซึ่งอยู่ด้านหลังถัดไปเล็กน้อย
ทว่า...คน ต่างหาก ที่ทำให้เธอต้องทำตัวเหมือนลูกลิง
เมื่อก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ที่มีคนกว่าครึ่งร้อยยืนเข้าแถวรอต้อนรับอยู่อย่างเป็นระเบียบ เด็กสาวก็วิ่งตาเหลือกเข้ามามุดในเสื้อโค้ทของเขา ซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังแข็งๆ ทั้งยังกอดเอวไว้ไม่ปล่อย เป็นผลทำให้เขามีสภาพเหมือนทหารขาเป๋แบบนี้
เขามองหาลูกน้องคนสนิทเพื่อหาตัวช่วย แต่หมอนั่นกลับจงใจทิ้งระยะห่างเสียไกล ปล่อยให้สายตาทุกคู่จ้องมองเขาด้วยความกระหายใคร่รู้
เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านต่างผลัดกันเหลือบตาขึ้นมองแล้วรีบหลุบสายตาลงต่ำเมื่อเขาเดินผ่าน ส่วนญาติโกโหติกาที่ออกมายืนต้อนรับอย่างเร่งรีบ ต่างก็ชะเง้อชะแง้เขม้นมองอย่างงุนงง
เขาจึงเลือกที่จะหยุดยืนอยู่กลางทางเดินในห้องโถงใหญ่ จากนั้นข้ารับใช้ทุกคนก็ย่อเข่าลงข้างหนึ่งเป็นการแสดงความเคารพแล้วกล่าวต้อนรับท่านผู้เป็นเจ้าชีวิตด้วยนามเต็มยศอย่างพร้อมเพรียง
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ/ค่ะ ท่านมาร์ควิสเซซิล อองเตส เซซิล ที่สาม”
“เงยหน้าขึ้นได้” บุรุษหนุ่มรำคาญสายตาที่ประเดี๋ยวก็มองประเดี๋ยวก็หลบของเหล่าคนใช้เต็มทน
“ขอบพระคุณครับ/ค่ะ”
“ตะ...ตัวอะไรอยู่ในเสื้อท่านหรือมาร์ควิส?” บุรุษวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามาทักทายเป็นคนแรก หากแต่ก็เว้นระยะห่างอย่างรู้มารยาท
“อ๋อ...นี่หรือ...กำลังจะแนะนำอยู่พอดี ไหนๆ พวกเราก็อยู่กันพร้อมหน้า จะได้ไม่มีใครมาถามฉันอีก” มาร์ควิสหนุ่มแค่นยิ้มที่มุมปาก คำพูดของเขาทำให้คนกว่าครึ่งร้อยในห้องโถงต่างก็จ้องมองอย่างอยากรู้อยากเห็น เช่นเดียวกับญาติห่างๆ ทั้งหลายที่พากันขยับเข้ามาใกล้โดยอัตโนมัติ
มาร์ควิสเซซิลมองบรรดาญาติที่แอบสบตากันอย่างหยามเหยียด ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า คนที่ออกมาต้อนรับเขาอยู่นี้ บางคนตกตะลึงเพราะเห็นเขายังมีชีวิต มีอวัยวะครบสามสิบสอง ไม่ได้พิกลพิการหรือเป็นศพกลับมา บางคนร้อนตัวเพราะแอบทำเรื่องชั่วช้าระหว่างที่เขาไม่อยู่ บางคนกำลังวางแผนล่วงหน้าอยู่ในใจว่าจะลอบฆ่าเขาด้วยวิธีไหนดี บางคนกำลังประเมินว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่
นั่นล่ะ สีหน้าที่เขาอยากเห็น ภายใต้หน้ากากและรอยยิ้ม แววตาคือสิ่งเดียวที่เปิดเปลือยความในใจทั้งหมด อีกไม่กี่ชั่วโมงคนพวกนี้จะได้ชักกระตุกตาค้างหากรู้ว่ามีคนแปลกหน้าโผล่มาเป็นเจ้าของมรดกอีกคน
“อลิซ ออกมาได้แล้ว”เขาเอี้ยวหน้าเอี้ยวหลังดึงคนข้างหลังออกมา
อลิซ?
คีนอซแอบขำเมื่อเห็นว่าสายตาทุกคู่ล้วนแต่กำลังเบิกกว้างจนลูกตาดำหายไปหมด เมื่อเด็กสาวซึ่งสูงไม่ถึงหน้าอกของเจ้านายถูกดึงออกมาจากเสื้อโค้ทเหมือนกับนกพิราบที่โผล่มาจากการเล่นมายากล
ครั้นทุกคนเห็นว่าสิ่งที่ออกมาจากเสื้อโค้ทของเจ้าของปราสาทมิใช่ลิงหรือตัวประหลาดที่ไหน หากแต่เป็นเด็กผมแดงหน้าตาคมคายคนหนึ่งก็พากันครางฮือหันไปซุบซิบกันเซ็งแซ่
อลิซที่รู้ตัวว่าถูกสายตาทุกคู่จ้องมองยังคงพยายามมุดเข้าไปในเสื้อโค้ทของเขาอีกครั้งแต่อีกฝ่ายล็อกตัวเธอไว้แน่นหนาด้วยแขนข้างเดียว ใบหน้าของเธอจึงได้แต่ถูๆ ไถๆ อยู่กับท่อนแขนของเขามีเพียงดวงตาที่คอยลอบมองคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างระแวดระวัง
“นี่คือท่านเคาน์แฟลงคลินกับเคาน์เตสมาเรีย ท่านอาของฉัน” เจ้าของปราสาทผายมือแนะนำโดยไม่สนใจว่าเด็กสาวจะทำความเคารพตามมารยาทหรือไม่ คล้ายกับคนเหล่านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ส่งผลให้ผู้เป็นอาทั้งสองหน้าตึงขึ้นมาทันควัน
กว่าจะจำชื่อของเซซิลและนายท่านได้ก็ใช้เวลาถึงสามวัน ดังนั้นอลิซจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากเห็นว่า คนผู้ชายตัวเล็กมีหนวดแต่ไม่มีผม ส่วนผู้หญิงมีไฝที่หางตาเกล้าผมสูงทาปากแดงแป๊ด กำลังมองเธอด้วยดวงตาวาวโรจน์
“นั่นโซเฟีย มิลล่า อาแมนด้า และซูซานน่า”ไล่เรียงกันตามลำดับมาจากน้องสาวต่างแม่จอมโกหก ลูกติดสามีเก่าของโซเฟียที่เพิ่งเสียชีวิตไป และลูกสาวฝาแฝดของโซเฟียที่น่าจะอยู่ในวัยเดียวกันกับอลิซตามลำดับ พวกนี้ล้วนเป็นญาติห่างๆ จนแทบจะไม่มีเลือดของตระกูลเซซิลไหลเวียนอยู่แล้ว หากอลิซจะจำไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา
“นี่รอนสัน น้องชายต่างแม่ของฉัน นั่นเมล คีฟแลน และฟอล์ก หลานชายของฉัน ทำความรู้จักกันเสียสิ” สี่คนนี้คือว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอเชียวนะ เขาพูดประโยคหลังอยู่ในใจ
อลิซเงยหน้ามองบุรุษสี่คนที่ยืนเรียงกันตามลำดับ แลเห็นว่ารอนสันแม้จะเป็นน้องชายต่างแม่ของเซซิล แต่ใบหน้านั้นก้าวล้ำไปไกลแล้ว เมลเป็นชายหนุ่มรูปร่างออกไปทางล่ำสัน เส้นผมหายจากศีรษะไปแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนคีฟแลนและฟอล์กนั้นน่าจะอายุน้อยกว่าคีนอซ และใบหน้าดูนุ่มนวลน่าคบหากว่ามาก
อาแมนด้าและซูซานน่าไม่ได้สนใจเธอ หากแต่กำลังมองคีนอซที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยความขวยเขิน ดูเหมือนพวกหล่อนจะหน้าแดงนิดๆ ส่วนโซเฟียและมิลล่าที่ดูมีอายุมากกว่าก็กำลังจ้องมองเธอราวกับกำลังประเมินราคาสินค้า
“อลิซ เป็นใครหรือคะท่านมาร์ควิส?” โซเฟียเป็นฝ่ายถามขึ้น แม้มาร์ควิสหนุ่มจะมีข่าว (คาว) เรื่องผู้หญิงจนชื่อเสียงกระฉ่อน และมักจะจัดปาร์ตี้อยู่เสมอๆ แต่ทุกครั้งเขาจะหิ้วสาวๆ ไปปฏิบัติกิจกรรมโลดโผนที่อื่นตามกฎที่ตั้งไว้เพื่อกำจัดความยุ่งยาก จึงไม่มีสตรีคนใดกล้าเข้าใจผิดว่าตนเองมีหวังจะได้เป็นมาร์ควิเนสสักราย ที่สำคัญ เด็กคนนี้ท่าทางเก้งก้าง มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงเลยด้วยซ้ำ
“อลิซจะมาอยู่กับเรา”
“อยู่กับเรา?” หลายเสียงโพล่งขึ้นด้วยความตกใจ หลายคนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย ยกเว้นคีฟแลนและฟอล์กที่มิได้แสดงความรู้สึกใดออกมา
อลิซมองแล้วรู้สึกว่า หลานชายของเซซิลเหมือนจะถอดออกมาจากคีนอซยังไงยังงั้น
“อย่าบอกนะว่าเป็นว่าที่เจ้าสาวของท่านมาร์ควิส?” เหล่าคนรับใช้กระซิบถามต่อกันเป็นทอดๆ
“เจ้าสาว!? ไม่น่าใช่ นั่นเด็กเท่ากับคุณๆ ฝาแฝดเลยนะ”
“หรือจะเป็นคนรับใช้ใหม่?” อีกคนตั้งข้อสันนิษฐาน
“คนใช้ที่ไหนท่านมาร์ควิสจะกอดแน่นขนาดนั้นเล่า!”
“กอดที่ไหน ล็อกตัวต่างหาก นั่นเด็กผู้ชายนะ”
“เด็กผู้ชายชื่ออลิซ? หรือว่าท่านมาร์ควิสจะมีรสนิยมแบบ...”
คีนอซใช้นิ้วแคะหูที่ได้ยินคำพูดคุยที่น่าขบขัน แต่ละคนช่างจินตนาการกันเสียจริง ก็น่าปวดหัวอยู่หรอกเพราะจู่ๆ ท่านก็พาคนประหลาดเข้ามา ซ้ำรูปร่างหน้าตาของเด็กนั่นก็ดูครึ่งๆ กลางๆ จะหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง นี่ขนาดยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องพินัยกรรมอันพิลึกพิลั่น แต่ละคนก็ทำท่าเหมือนกับเห็นศัตรูใหม่โผล่เข้ามาในสนามรบ
“พวกเราเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ ต้องการพักผ่อน ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว” มาร์ควิสเซซิลโบกมือไล่บรรดาคนรับใช้ที่สอดรู้สอดเห็น ก่อนจะหันไปยังเหล่าญาติที่กำลังอ้าปากพะงาบๆ เตรียมพ่นคำถามร้อยแปดออกมา
“เรามีดินเนอร์ตอนหนึ่งทุ่ม ขอให้ทุกคนตรงเวลาด้วย”
ว่าแล้วก็กวักมือเรียกคีนอซมากระซิบสั่งงาน กระตุ้นความอยากรู้ของคนที่ได้แต่มองตาปริบๆ ก่อนที่ลูกน้องหนุ่มจะดึงแขนของอลิซเดินออกไปอีกทาง
ร่างบางถูกดันเข้าไปในห้องหนังสือ เขาปล่อยเธอให้นั่งอยู่บนโซฟายาว ตัวเขาเองเดินอ้อมโต๊ะไปยกหูโทรศัพท์แล้วหมุนหมายเลขที่ต้องการ
