บทที่ 25 เธอเป็นของฉันแล้ว
“โอ๊ะโอหรือลูกสาวฉันอยากจะจุมพิตเหมือนกัน เอ้า! ฝ่ามือนี้ยังไม่มีรอยลิปสติก เชิญได้เลย” มาร์ควิสเซซิลใช้มือขวากดไหล่ของเธอไม่ให้ขยับ ส่วนมือซ้ายแบไปตรงหน้า นึกสนุกที่เห็นเด็กสาวขัดขืนฮึดฮัด เจ้าเด็กนี่ก็ดื้อเป็นเหมือนกันแฮะ นึกว่าจะขดตัวเป็นเต่าอยู่ในกระดองอย่างเดียวเสียอีก
“แหวะ!”
“นะ...นี่เธอ! กล้าทำท่ารังเกียจ...ฉะ...ฉัน...อย่างนั้นหรือ?” เขาถึงกับเสียความมั่นใจ เมื่อเด็กสาวทำท่าจะขย้อนของเก่าออกมา ฝ่ามืออันทรงคุณค่าของเขา ใช่ว่าจะเปิดเปลือยให้คนอื่นสัมผัสง่ายๆ เพราะเขามักจะสวมถุงมือไว้เสมอ แต่เจ้าเด็กทึ่มกลับ...คลื่นไส้?
“เลีย? ไม่...มัน...มันไม่อร่อย” อลิซส่ายหน้าดิก พร้อมทั้งพยายามแกะมือเขาออกไป
“เลีย? ฉันพูดว่าจุมพิต จุมพิต ไม่ใช่เลีย เข้าใจเสียใหม่”เขาเองก็ไม่ยอมปล่อยมือเหมือนกัน
“แหวะ! ไม่อร่อย ให้จุมพิตก็ไม่อร่อย”
“การจุมพิตเป็นการแสดงความรัก ไม่ใช่การกินให้อิ่มหรืออร่อย ผู้หญิงพวกนั้นรักฉัน จึงได้จุมพิตมือของฉัน และมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เธอเองก็ต้องเรียนรู้ด้วยเหมือนกัน” เขายอมปล่อยมือ อธิบายอย่างใจเย็น
“ขนมอร่อยที่สุด” เธอหยิบขนมปังกรอบเข้าปาก เคี้ยวอย่างหิวกระหาย “อลิซรักขนม”
มาร์ควิสเซซิลที่ตอนแรกใช้หางตาเหล่มองเด็กสาวถึงกับต้องเอียงคอมองอย่างสนใจ เมื่อเห็นริมฝีปากบางเคี้ยวขนมปังกรอบอย่างเอร็ดอร่อย เพราะไม่เคยสังเกตอย่างจริงจังจึงเพิ่งเห็นว่า พักนี้เธอดูเปล่งปลั่งขึ้นมาก แก้มที่เคยซูบตอบเต่งตึงแถมยังมีเลือดฝาดอย่างคนสุขภาพดี แม้แต่ริมฝีปากก็แดงเรื่องโดยไม่ต้องทาลิปสติก หลังมือที่เคยเห็นกระดูกปูดโปนบัดนี้มีเนื้อมีหนังสมเป็นเด็กสาว หากไว้ผมยาวก็คงจะเหมือนเด็กสาวทั่วไป ความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดก็เห็นจะเป็นรูปร่างผอมบางไร้อกไร้ก้นเหมือนเด็กหนุ่มทว่ากลับมีบุคลิกอย่างคนขลาด ไม่นับสมองที่พัฒนาได้ช้ากว่าอายุจริง แม้จะจัดเข้าประเภทเลดี้ไม่ได้ แต่ความผุดผาดที่เริ่มฉายออกมา น่าจะเป็นที่ต้องตาต้องใจหลานๆ ของเขาหลายคนอยู่เหมือนกัน
“เอาล่ะอลิซ...เลี้ยวหัวมุมถนนข้างหน้าก็จะถึงปราสาทหลังงามของท่านมาร์ควิสผู้ยิ่งใหญ่ ที่นั่น...มีคนอยู่มากมาย เธอจะต้องปรับตัวให้เข้ากับพวกเขา และต้องทำหน้าที่ลูกบุญธรรมของฉันอย่างเต็มความสามารถ จำได้ไหม ที่ฉันจะเป็นพ่อของเธอ”
เด็กสาวนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่อยู่ในร้านตัดผม แล้วพยักหน้า
“จำได้”
“ดีมาก เมื่อไปถึงที่ปราสาทจะมีคนมาจดทะเบียนรับรองการเป็นลูกบุญธรรมของเธอ ประทับรอยนิ้วมือเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ”
“รอย...รอยอะไร ไม่เอา...อลิซกลัว...ไฟ” ขนมปังกรอบหลุดจากปากของเด็กสาว
“ไม่มีไฟ ใช้น้ำหมึกต่างหาก” มาร์ควิสหนุ่มรีบโบกมือปฏิเสธ แปลกใจที่เห็นสายตาแสดงความหวาดกลัวของเธออย่างชัดเจน
คราวที่แล้วตอนอยู่ในร้านตัดผม ดูเหมือนเธอจะกลัวกรรไกรและของแหลม ครานี้บอกว่ากลัวไฟ ก็ตอนก่อไฟอยู่ในถ้ำไม่เห็นว่าเธอจะเป็นอะไรนี่นา
ไม่ใช่สิ...ไม่ใช่ไฟ รอยที่เกิดจากไฟต่างหาก...ตอนที่เขาฉีกเสื้อผ้าเธอครานั้น เขาเห็นเพียงรอยแผลจากของแหลมและแส้ หรือว่ารอยไหม้นั้นจะอยู่ในตำแหน่งอื่นที่มองไม่เห็น
บ้าฉิบ! เด็กคนนี้โดนทารุณถึงขนาดไหนกัน
“แค่เอานิ้วหัวแม่มือแตะแท่นหมึกกับกระดาษก็เสร็จแล้ว เมื่อประทับเสร็จ เธอก็จะกลายเป็นลูกบุญธรรมของฉันตามกฎหมาย เธอจะได้รับการคุ้มครอง ไม่มีใครมาทำร้ายเธอได้อีก เป็นลูกของมาร์ควิสเซซิลเลยนะ” เขาทอดเสียงอ่อนโยนเหมือนตอนเอาขนมล่อเด็ก
“อยากกินขนมเยอะๆ เท่าไหร่ก็ได้ด้วยนะ” เขาเปลี่ยนสิ่งล่อใหม่เมื่ออีกฝ่ายยังไร้ปฏิกิริยา
“กินได้เยอะๆ เลยเหรอ?”
“ใช่ เธออยากกินอะไร อยากได้อะไร ฉันมีให้ทุกอย่าง แต่เธอต้องทำหน้าที่ลูกที่ดีด้วย” เอาล่ะ...เริ่มจะเข้าเค้าแล้ว
“หน้าที่อะไร? เลียมือเหรอ?”
“เปล่าๆ” ให้ตายสิน่า! เขาอยากเอามือทุบกะโหลกตัวเองนัก “ลูกที่ดีคือต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉันแต่เพียงผู้เดียว ต่อจากนี้จะมีคนเข้าหาเธอมากมาย เมื่อเธอเป็นลูกของฉันแล้ว พวกเขาจะหวังใช้ประโยชน์จากเธอโดยเฉพาะพวกผู้ชาย เอาเถอะ พูดไปเธอคงไม่เข้าใจ สรุปง่ายๆ คือ อย่าอยู่ตามลำพังกับผู้ชายคนไหนสองต่อสอง อย่าไปไหนกับใครโดยที่ฉันไม่อนุญาต อย่าให้พวกเขาถูกเนื้อต้องตัวเธอง่ายๆ จับมือก็ไม่ได้ จุมพิตหลังมือก็ไม่ได้ หรือหากเขาพูดจ้าโอ้โลมก็อย่าไปเชื่อ นั่นคือคำหลอกลวง นึกเสียว่าเธอเป็นลูกแกะ และคนพวกนั้นเป็นหมาป่า หมาป่าชอบกินลูกแกะ พูดแบบนี้เข้าใจไหม?”
“อลิซไม่กลัวหมาป่า” เด็กสาวสวนกลับมาดื้อๆ
“ไม่กลัว? ทำไมล่ะ? หมาป่าน่ากลัวออก เปลี่ยนก็ได้ เธอเป็นลูกแกะ ผู้ชายเป็นหมี หมีชอบกินลูกแกะ มันจะเอาขนมมาล่อให้แกะตายใจแล้วขย้ำกินเสีย เพราะฉะนั้นอย่าอยู่ใกล้หมี โอเครึยัง?”
“อือ...อลิซไม่ชอบหมี” เธอพยักหน้าหงึกหงักหยิบขนมที่ตกพื้นขึ้นมากินต่อ
“ดีมาก... เธอเป็นลูกฉัน เป็นของฉัน ฉันเป็นเจ้าของชีวิตเธอ ท่องไว้เท่านี้เป็นพอ”
มาร์ควิสหนุ่มถอนหายใจโล่งอก กว่าจะคุยกันรู้เรื่องเขาแทบจะกลั้นใจตายไปหลายรอบ เจ้าคีนอซจะหนีออกไปนั่งควบม้าก็สมควรแล้ว
ต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม เจ้าเด็กปัญญาอ่อนเห็นแก่กินเสียด้วย เรื่องนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด
หึๆๆ ไอ้พวกที่อยากได้มรดกของเขาจนตัวสั่น จะต้องพากันประเคนเพชรนิลจินดาเสื้อผ้าสวยๆ ให้เธอแน่ คิดถึงภาพบุรุษทั้งหลายหัวปั่นเพราะเด็กต๊องๆ คนหนึ่งแล้วกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
รถม้าวิ่งช้าๆ ผ่านหัวมุมถนนไปอีกราวสี่ร้อยเมตรแล้วก็จอดสนิท!
คีนอซเปิดม่านโผล่หน้าเข้ามา มองเด็กสาวที่นั่งเสมอกับมาร์ควิสหนุ่มอย่างไม่ชอบใจนัก
ท่านมาร์ควิสผู้สูงส่ง ใยไม่ถีบเจ้าเด็กบ๊องนี่ลงไปรวมกับถุงมือคู่นั้นนะ
“ถึงแล้วครับ”
“อืม...” มาร์ควิสเซซิลยิ้มกว้าง อยากเห็นเจ้าเด็กสมองทึ่มทำตาโตตอนเป็นปราสาทหลังมหึมาของเขาเต็มแก่ปฏิกิริยาของเธอจะเป็นแบบไหนกันนะ
“ลงมาเถอะอลิซ มาดูบ้านของเธอกัน” เขาลากเด็กสาวลงมาจากรถม้าอย่างทุลักทุเล ด้วยอีกฝ่ายมัวแต่วุ่นวายกับการติดกระดุมเสื้อโค้ทตัวเก่ง
แล้วเขาก็ต้องฉีกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงจังงังของเด็กสาวที่กำลังจ้องมองไปยังปลายยอดปราสาทหลังใหญ่ในอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ก่อนจะมีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นด้านหลังกำแพง
“ท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว! นายท่านกลับมาแล้ว!”
สำหรับคีนอซแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาในคฤหาสน์ช่างน่าขบขันยิ่งนัก
ภายใต้ปราสาทหลังโอ่อ่า ด้านบนคือเพดานที่มีโคมไฟคริสตัลส่องประกายวาววับสะท้อนบาดตา ม่านสีขาวทิ้งชายระย้าลู่ไปกับกำแพงซึ่งเบื้องหน้าคือบุรุษและสตรีในชุดเครื่องแบบของเมดที่ต่างก็พร้อมใจกันก้มศีรษะลงต่ำ ถัดจากนั้นขึ้นไปเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วยชายห้าคนกับหญิงอีกห้าคนกำลังเหลือบมองกันเลิกลัก
จะไม่ให้กลั้นหัวเราะอย่างไรไหว ก็นับแต่ทหารยามหน้ากำแพงตะโกนบอกต่อกันว่าท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว ผู้คนภายในคฤหาสน์ก็พากันออกมาต้อนรับอย่างแตกตื่น
นั่นเพราะเป็นการเดินทางกลับอย่างกะทันหัน ซ้ำยังเป็นครั้งแรกที่ท่านพาคนแปลกหน้ากลับมาด้วย
แถมคนแปลกหน้าคนนั้น ยังทำท่าพิลึกพิลั่น มุดตัวเข้าไปอยู่ในเสื้อโค้ทตัวยาวของท่านมาร์ควิส มีเพียงเท้าที่โผล่ออกมายามเจ้าตัวพยายามก้าวย่างให้สัมพันธ์กันกับจังหวะการเดินของคนข้างหน้าที่ก็เดินไม่ถนัดเช่นกัน
