บทที่ 24 หลอกล่อ
ร่างอรชรงดงามออกจากห้องไปแล้ว เคาท์หนุ่มวัยสามสิบก็ร้องชิออกมา ก่อนจะขยำจดหมายฉบับนั้นทิ้งลงในถังขยะ
“คิดจะฝากจดหมายให้ท่านพ่อหรือ คงอยากจะได้ความดีความชอบล่ะสิว่าทำให้มาร์ควิสนั่นมาง้อได้ หึ! ใครจะเอาไปให้ท่านพ่อดูกันเล่า ก็นี่มันจดหมายที่ฉันพิมพ์เองแท้ๆ เธอควรจะขอบใจฉันมากกว่าที่ทำให้ได้วิ่งไปหาผู้ชายถึงที่”
“คุณยังไม่ให้รางวัลฉันเลยนะคะ กว่าจะปลอมลายเซ็นของมาร์ควิสเซซิลได้ ใช้เวลาตั้งค่อนคืนแน่ะ” มาร์กาเร็ตอออ้อนฉอเลาะสามี ร้องหาความดีความชอบในแผนชั่ว
“โธ่...ที่รัก ผมต้องให้คุณอยู่แล้ว ยังไม่รวมกับจดหมายปลอมที่คุณพิมพ์ส่งไปให้มาร์ควิสเซซิลแทนจดหมายของเธอด้วย ได้สองเด้งเลยจ้ะที่รัก ว่าแต่คุณเขียนเนื้อความไปว่าอย่างไรบ้าง”
“ก็แค่คำเลี่ยนๆ ธรรมดาๆ น่ะค่ะอย่าสนใจเลย” แน่นอนว่าจดหมายตอบกลับฉบับจริงของเกว็นย่อมไปไม่ถึงมือผู้ส่ง เพราะเธอแอบสับเปลี่ยนจดหมายอีกฉบับให้กับเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว ทั้งมาร์ควิสหนุ่มและน้องสาวผู้โง่เขลาของเขาต่างก็ได้จดหมายง้องอนกันทั้งคู่
“ดีมากจ้ะ ระหว่างที่เกว็นไป ท่านพ่อก็เดินทางกลับมาพอดี คราวนี้เราสองคนต้องรีบทำคะแนนให้มาก ท่านพ่อจะได้เห็นความสามารถของเรา” เคาท์ดาโก้จูบแก้มภรรยาดังฟอดที่แผนการครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี
กับเกว็น น้องสาวหัวดื้อที่เก่งกว่าเขาทุกอย่าง วิธีการจะเอาชนะเธอนั้นไม่ยากเลย สำหรับผู้หญิงที่ชอบความท้าทายจะต้องใช้วิธียิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านพ่อก็จะมาว่าเขาไม่ได้
สถานีเมวิล
ลอร์ดคาวารอนส่งสัญญาณให้คณะผู้ติดตามที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนขึ้นไปประจำที่บนรถไฟที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบที่ชานชาลา เขาเลือกจองตู้นอนวีไอพีสองตู้สำหรับตนเองและเจ้าชาย เพราะคิดว่าอย่างไรเลดี้เกว็นก็ไม่มีวันลดตัวลงไปซื้อตั๋วสำหรับสามัญชนแน่
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
มีเรื่องเหนือความคาดหมายเล็กน้อยเมื่อเขาไม่เห็นผู้คุ้มกันของเธอ นอกจากหญิงรับใช้วัยสิบต้นๆ เพียงคนเดียว ซ้ำทั้งคู่ยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่ดูธรรมดาต่างจากทุกครั้งที่เคยเห็น ราวกับต้องการปกปิดตัวตนซึ่งไม่ได้เข้ากับนิสัยช่างโอ้อวดของเธอเลย
เป็นหลักฐานว่ายังจับเจ้ามือปืนนิรนามคนนั้นไม่ได้?
“ระหว่างที่เราอยู่บนรถไฟ มาร์ควิสเซซิลก็คงจะเดินทางไปถึงแคปตอลทาวน์พอดี เจ้าชายจะลงที่สถานีไหนพะยะค่ะ” เขาทูลถาม
เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ประทับนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขม้นมองทิวต้นสนที่เหมือนจะเคลื่อนไหวเพราะรถไฟกำลังเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา มิได้ทรงหันพระพักตร์ไปทางลอร์ดคาวารอนแม้แต่น้อย
“กีซ...ที่นั่นน่าจะปลอดภัย” กีซเป็นตำบลเล็กๆ ของแคปตอลทาวน์ ซึ่งมาร์ควิสหนุ่มผู้ปกครองนครแห่งนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก ทั้งกีซยังมีเนินเขาย่อมๆ มากมายเหมาะกับการซุกซ่อนตัวประกันคนสำคัญไว้มากที่สุด
“แล้วสาวใช้ของเธอล่ะพะยะค่ะ” การลักพาตัวผู้หญิงสองคนดูจะเป็นการกระทำที่เอิกเกริกเกินไป เฉพาะเลดี้เกว็นก็น่าจะรับมือยากพอสมควรแล้ว หากล่อให้ทั้งสองพลัดหลงกันก็ต้องทำให้แนบเนียน
ทว่าคำตอบของเจ้าชายกลับทำให้เขาถึงกับตัวแข็ง
“ทำให้หายไปซะ อย่าให้เหลือร่องรอย”
“พะ...พะยะค่ะ”
“ไปได้แล้ว” ทรงโบกพระหัตถ์ไล่ พระพักตร์หล่อเหลานิ่งเฉยไม่เปลี่ยน
“พะยะค่ะ กระหม่อมขอตัว”
ลอร์ดคาวารอนปิดประตูลงกลอนอย่างเงียบเชียบ ทั้งรู้สึกเย็นไปถึงไขสันหลัง แม้นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องสังหารคน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
เขาเป็นผู้หล่อหลอม เป็นครู เป็นพี่เลี้ยงของพระองค์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ กระทั่งขุดออกมาจากหลุมก็ทำมาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงความเหี้ยมเกรียมของพระองค์ ราวกับว่าพระองค์คืนพระชนม์ชีพมาแค่พระวรกาย ส่วนพระทัยนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆ
แม้พระองค์จะเป็นบุรุษผู้เงียบขรึม แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะสั่งฆ่าใครได้อย่างเลือดเย็น ในความเย็นชานั้นเคยมีความอ่อนโยนแฝงอยู่ สิ่งที่พระองค์ถูกกระทำในเหตุการณ์ลอบสังหารคงเป็นสิ่งเลวร้ายที่เปลี่ยนพระองค์เป็นคนละคน
อย่างไรก็ตาม ต่อให้ต้องฆ่าคนอีกกี่คน พวกเขาก็ต้องทำ เพื่อหยุดยั้งขบวนการชั่วร้ายของดยุคดาร์มิน ที่หากฝ่ายนั้นทำสำเร็จ ความหายนะจะเกิดขึ้นมากกว่าจำนวนคนที่พวกเขากำจัดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“เจ้าชาย...ถึงอย่างไรกระหม่อมก็ยังยืนอยู่ข้างพระองค์ ยังเชื่อในพระองค์เสมอ”
ฝ่ายมาร์ควิสเซซิลเดินทางมาถึงแล้ว
อลิซเปิดม่าน แล้วก็ปิดลงอย่างรวดเร็วใบหน้าของเธอตื่นตระหนก ดวงตากลมโตเบิกกว้างครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่จังหวะการหายใจก็ยังเต้นรัวจนต้องรีบเอามือกุมหน้าอก
เมือง! เมือง และเมือง!
มีคนเดินยั้วเยี้ยเต็มถนน มีรถม้าวิ่งกันขวักไขว่ ผู้คนเหล่านั้นส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์งดงาม ที่สำคัญ พวกเขากำลังจ้องมองมาที่รถม้าคันนี้เป็นตาเดียวกัน
เหล่าบุรุษต่างพากันโค้งคำนับทั้งตะโกนเรียกชื่อมาร์ควิสเซซิลอย่างบ้าคลั่ง ยังไม่เท่าสตรีนับร้อยที่ในมือมีดอกไม้ พวกหล่อนทั้งหลายต่างทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือทั้งยังแข่งกันกรีดร้องโหยหวน
อลิซยกสองมือปิดหู ก่อนจะเอาใบหน้าแนบช่องประตูแอบมองอยู่ข้างใน
อะ...อะไรกัน ทำไมที่นี่ถึงได้น่ากลัวอย่างนี้ น่ากลัวกว่าคุกที่เธอถูกขังตอนนั้นตั้งเยอะ น่ากลัวเหลือเกิน
“ท่านมาร์ควิส! กรี๊ด! ท่านมาร์ควิสกลับมาแล้ว” สตรีผู้งดงามคนหนึ่งวิ่งถลาเข้ามาใกล้รถม้าที่หยุดชะงัก พร้อมกับดอกไม้ในมือ แล้วก็วิ่งปิดหน้ากลับไปมือเปล่า เท้ากระทืบเร่าปากก็ร้องกรี๊ดๆ ไม่หยุด
น่ากลัว...เธอคนนั้นต้องโดนตัดลิ้นแน่
“ท่านมาร์ควิส! รับหัวใจของข้าน้อยไว้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
อลิซมองเหล่าอนงค์นางนับสิบที่วิ่งกรูเข้ามาพร้อมกับแอ่นหน้าอกอันล้นทะลักไปข้างหน้า ก่อนที่มือยาวๆ ของมาร์ควิสหนุ่มจะยื่นออกไป ปล่อยให้พวกเธอจรดริมฝีปากลงไปบนหลังมือของเขา
หลังมือที่สวมถุงมือ?
ไม่นาน รถม้าก็เคลื่อนตัวอีกครั้ง เธอรีบกระถดตัวเข้าไปชิดผนังเมื่อม่านประตูเปิดออก พร้อมๆ กับร่างสูงใหญ่ของมาร์ควิสหนุ่มก้าวเข้ามา
เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ เพราะร่างกายสูงใหญ่กว่า อีกร่างจึงถูกเบียดจนแทบจะตกที่นั่ง เขาไม่นำพาต่อสิ่งใด ทั้งยังกางแขนกางขาอย่างสบายอารมณ์
ใช่แล้ว...เขากำลังอารมณ์ดี ได้กลับมาบ้าน ได้เห็นประชาชนที่รักใคร่คลั่งไคล้ออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น มองไปทางไหนก็เห็นแต่สิ่งสวยงาม อีกไม่กี่ไมล์ก็จะถึงปราสาทที่ตั้งอยู่นอกเมืองแล้ว เขาจึงปล่อยให้คีนอซรับหน้าที่ไม้กันสุนัขอยู่ข้างนอกแทน
เพราะหน้าตาบอกบุญไม่รับของหมอนั่น เป็นกำแพงป้องกันการเข้าถึงตัวเขาของสาวๆ ได้เป็นอย่างดี กลับไปถึงปราสาทแล้วจะเปิดตัวอลิซให้โลกตะลึงไปเลย
“เป็นยังไงบ้าง นี่แหละบ้านเมืองของฉัน ตื่นเต้นไหม?” เขายังยิ้มพรายขณะหันไปมองคนข้างตัว
อลิซเอาหน้าซุกกับผ้าม่านหน้าต่าง ไม่ตอบคำถามของเขา
“ดูสาวๆ พวกนั้นสิ แต่ละคนต่างก็หวังตำแหน่งมาร์ควิเนสกันทั้งนั้น หากฉันต้องเลือกใครสักคน ก็คงจะเป็นการทำร้ายจิตใจพวกเธอไม่น้อย เธอว่าไหมล่ะ?” เขาถอดถุงมือทิ้งลงบนพื้น ดึงผ้าม่านออกจากใบหน้าของเธอ แต่อีกฝ่ายไม่ยอม จึงเกิดการยื้อแย่งกันเล็กน้อย
สุดท้ายคนตัวเล็กกว่าก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผ้าม่านถูกตลบม้วนขึ้นไป ปล่อยให้ไอหิมะปลิวผ่านเข้ามา อลิซจึงต้องเอนตัวไปทางเขาอย่างช่วยไม่ได้
