บทที่ 23 กลยุทธ์การเอาชีวิตรอด
โผล่ออกมาสิ! ฉันรู้ว่าแกกำลังมองอยู่
คีนอซเหลือบมองไปที่ประตู แต่ไม่ผ่อนแรงกดของมือ หวังให้คนในเงามืดปรากฏตัวแต่กลับ...ไม่มีวี่แวว
มือของเด็กสาวตกลงข้างตัวพร้อมๆ กับที่เธอหยุดการดิ้นรนเขาจึงได้ดึงหมอนออกมา ประตูบานนั้นไม่ได้ถูกเปิดออก มีเพียงเสียงหวูดของรถไฟที่ดังขึ้นเท่านั้น
เข้าเขตเมืองเคิร์ซแล้ว
ไม่มีใครเข้ามา แม้แต่กลิ่นสาบก็หายไป หรือว่าเขาเข้าใจผิดไปเอง?
เขาขว้างหมอนลงไปที่พื้นมองอลิซที่นอนแน่นิ่งอยู่แล้วใจหายวาบ นี่เขาถึงกับฆ่าเด็กคนหนึ่งเพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเองเชียวหรือ?
เมื่อเอาหลังมือจรดรูจมูกของเธอ เขาก็ชักมือกลับด้วยความตระหนก
เธอตายแล้ว!!
ไม่นะ! เขาไม่ได้กดน้ำหนักลงบนหมอนทั้งหมดเสียหน่อย ยังเหลือช่องว่างด้านซ้ายให้หายใจอยู่ ทำไมเด็กนี่ถึงได้...หรือว่าเขากะตำแหน่งพลาดไป?
ความรู้สึกผิดจู่โจมหัวใจของเขาอย่างรุนแรง ต่อให้ไม่ชอบขี้หน้าเธอแค่ไหน เขาก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดอยากให้เธอตาย เธอยังเป็นเด็ก เด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย
“อลิซ! อลิซ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เธอจะตายไม่ได้นะ” เขาลนลานดึงตัวเธอขึ้นมาพร้อมทั้งตบแก้มเธอเบาๆ พร้อมกับใช้นิ้วมือดึงริมฝีปากเธอออก แล้วก้มหน้าลงไปหมายจะผายปอดให้ออกซิเจน
“นะ...นายท่าน! อลิซแอบกินช็อกโกแลตไปชิ้นเดียวเองนะ”
เด็กสาวกระเด้งตัวขึ้นจากเตียง รีบบอกเขาเสียงสั่น คิดว่านายท่านหิวมากจนคิดจะแย่งมันจากปากของเธอ รีบแลบลิ้นเลียปากแผล็บๆ ทำลายหลักฐานที่แอบกินช็อกโกแลตก่อนเขาจะเข้ามา
“เธอ...ไม่ตาย...” คีนอซครางด้วยความโล่งอก ก่อนจะทำตาวาวเมื่อนึกขึ้นได้ “ก็แล้วทำไมไม่ลุกขึ้นมาล่ะ หา?”
“นะ...นายท่าน...ไม่ได้เคาะรหัสลับ อลิซเลยไม่กล้าลืมตา”
“อือ” เขาจุกขึ้นมากลางอก เขาเกือบจะฆ่าเธออยู่แล้ว แต่เธอกลับยังทำตามคำสั่งของเขาอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องเขาไม่ควรจะโมโห เธอไม่ตายก็ดีแล้ว
“ฉันตั้งใจทำร้ายเธอ ขอโทษนะ”
“แต่...นายท่านไม่มีของแหลมๆสักหน่อย” มือของเขาที่จับไหล่ของเธอสั่นเล็กน้อย เธอคิดว่าเขาคงจะหิวมากจริงๆ เพราะเธอก็หิวจนไส้กิ่วแล้วเหมือนกัน
“ไม่มีของแหลมก็ฆ่าได้ ทำไมถึงไม่ตะโกนให้คนช่วย ฉันเกือบจะฆ่าเธอไปแล้วนะ” เขาอดโมโหตัวเองขึ้นมาอีกไม่ได้
“ไม่... ไม่ตะโกน อลิซหิว ตะโกนไม่ไหว” เธอลูบท้องขึ้นลงอยู่หลายรอบ เธออยากดื่มอะไรร้อนๆ ตั้งแต่ยังไม่หลับ ขนาดฝันก็ยังฝันว่าได้กินของอร่อยๆ ช็อกโกแลตชิ้นเดียวไม่พอเลี้ยงพยาธิ เรื่องกินต่างหากที่ทำให้เธอตายได้
หวูดดดดดดด
เสียงหวูดยาวของรถไฟพร้อมๆ กับที่ความเร็วชะลอลงและเสียงอึกทึกจากด้านนอกทำให้รู้ว่าถึงสถานีเคิร์ซแล้ว ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะดึงมือตัวเองออกจากไหล่บอบบาง ประตูก็เปิดผลัวะเข้ามาเสียก่อน
“อ้าว! เกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นนายพาอลิซออกมาสักที” มาร์ควิสหนุ่มมองหน้าทั้งสองคนสลับกัน คนหนึ่งหน้าเครียด อีกคนทำหน้าเด๋อด๋า เขาทำเป็นไม่เห็นมือของชายหนุ่มที่วางอยู่บนบ่าทั้งสองข้างของเด็กสาว และหมอนหนุนที่ตกอยู่บนพื้น
“เซซิลก็ไม่เคาะประตู” อลิซรีบฟ้อง แต่ไม่รู้ว่าฟ้องใคร
“นายเองก็ขี้ลืมเหมือนกันเลยนี่” เจ้านายใหญ่แกล้งรับสมอ้างว่าเด็กสาวฟ้องตัวเอง ประโยคที่ว่า “ก็ไม่เคาะประตู” ของเธอเพียงประโยคเดียวก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนเขาจะมาถึง
จ๊อกๆๆ
เสียงท้องร้องส่งสัญญาณเตือนอีกครั้ง
“อลิซ ไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาดเลยนะ เดี๋ยวฉันจะพาไปกินของอร่อยๆ” มาร์ควิสหนุ่มรีบเอาของกินมาล่อ มองดูเด็กสาวที่ทำหน้าดีใจขณะวิ่งเข้าไปหลังม่าน ได้ยินเสียงซู่ๆ ของน้ำก็รู้ว่าเธอทำตามคำสั่งแล้ว
คีนอซเดินไหล่ตกเข้าไปหาผู้เป็นนาย สารภาพผิดกับอีกฝ่ายด้วยแววตาอันเจ็บปวด
“กระผมเกือบจะฆ่าเธอ”
“บ้าน่า นายลืมกลยุทธ์กลั้นลมหายใจของเธอไปแล้วรึ” เขาตบบ่าลูกน้องเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“แต่...แต่กระผมจงใจจริงๆ” น้ำเสียงของคีนอซยังดูอ่อนแรง ใช่ว่าเขาไม่เคยฆ่าใคร แต่นั่นเพื่อป้องกันตัว ป้องกันเจ้านาย เป็นผู้ร้าย ไม่ใช่เด็กสาวตัวเล็กๆ แบบนี้
มาร์ควิสเซซิลกระเถิบเข้าไปใกล้ลูกน้องหนุ่ม พร้อมกับพูดเสียงเบาทว่าหนักแน่น
“นายไม่ได้จงใจเสียหน่อย คีนอซ...เด็กนั่นไม่ใช่เด็กธรรมดา เธอผ่านเรื่องเลวร้ายมามากกว่าพวกเราเสียอีก เธอรู้วิธีเอาตัวรอด เธอรู้ว่าใครต้องการชีวิตของเธอ ถ้าหากว่านายต้องการฆ่าเธอจริงๆ เธอไม่ยอมให้นายทำสำเร็จแน่ เข้าใจที่พูดไหม? อ้อ! ที่ต้องพูดให้ถูกคือ เด็กนั่น...สามารถแยกออกได้ว่าใครมีหรือไม่มีกลิ่นอายสังหาร มันน่าสนใจไหมล่ะ”
คีนอซตัวแข็งไปในบัดดล แล้วก็นึกโกรธตัวเองที่วู่วามเกินไป เขายังห่างชั้นกับนายท่านนัก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็คิดไม่ออก ในขณะที่เขามัวแต่ตั้งแง่อคติกับเธอ นายท่านกลับสังเกตและมองเห็นพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวของเธอได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซ้ำยังใช้สิ่งนั้นให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างชาญฉลาด
เด็กสาวแง้มผ้าม่านโผล่หน้าออกมาในสภาพเส้นผมและใบหน้าเปียกชื้น ชี้หน้าตัวเองพลางมองหน้า มาร์ควิสหนุ่มสลับกับคีนอซด้วยสายตาที่เป็นคำถาม
“เซซิล...นายท่าน...อลิซ...สะอาดหรือยัง?
มาร์ควิสเซซิลมองไปยังอ่างล้างหน้าและกระจกบานใหญ่ที่ติดผนังด้านหลังของเธอแล้วยิ้มแบบกัดฟัน
“สะอาดแล้ว สะอาดมาก เซซิล...นายท่าน...อืม...ดี! ดี”
ถึงวันเดินทางแล้ว แต่เกว็น ซิมมอนส์ ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องจดหมายกับพ่อของเธอ
แม้ท่านดยุคจะเกษียณราชการแล้ว แต่เขามีเพื่อนรุ่นเดียวกันมากมายที่ต้องพบปะพูดคุย โดยเฉพาะเหล่าขุนนางและสมาชิกสภาในพื้นที่ ทำให้เธอเองที่ต้องสะสางงานก่อนเดินทางไม่อาจหาเวลาว่างบอกกล่าวอย่างเป็นกิจจะลักษณะได้
ด้วยเหตุนี้ เคาท์ดาโก้ผู้เป็นพี่ชายจึงรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลตระกูลซิมมอนส์แทนบิดาโดยปริยาย เขาอ่านจดหมายที่น้องสาวนำมาให้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ข้างภรรยา
“มาร์ควิสเซซิลคงจะสำนึกผิดจริงๆ ถึงได้ส่งจดหมายมาง้อ แต่ฉันก็ยังไม่วางใจในสถานการณ์ตอนนี้นัก”
“นั่นเป็นปัญหาของพวกท่าน ฉันไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ทำไมต้องกลัวด้วย” เธอจะไม่ยอมให้ลูกกระสุนไร้ที่มาเหล่านั้นมาขัดขวางความต้องการของเธอเด็ดขาด
“มันก็จริง แต่ท่านพ่อต้องกริ้วแน่ หากฉันปล่อยให้เธอไปแคปตอลทาวน์คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหนกัน ฉันจะให้เฟย์ติดตามไปด้วย ยิ่งยกขบวนไปอย่างเอิกเกริกก็ยิ่งจะตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายไม่ใช่หรือ?”
“นั่นสิ!” ผู้เป็นพี่ชายดีดนิ้วเปาะ มองหน้าน้องสาวด้วยแววตานับถือ ขัดกับคำพูดที่แอบเสียดสีอยู่ลึกๆ “เธอนี่ฉลาดจริงๆ หากแต่งตัวธรรมดาคงไม่มีใครรู้ว่าเธอคือเกว็น ซิมมอนส์แน่นอน แต่อย่าลืมเธอไม่เคยเดินทางไกลแบบนี้นะ”
“ฉันจะออกเดินทางคืนนี้แล้ว ฝากบอกท่านพ่อด้วยก็แล้วกัน ถึงแคปตอลทาวน์แล้วฉันจะส่งโทรเลขมาหา” เกว็นปรายตามองคู่ข้าวใหม่ปลามันด้วยแววตาเย่อหยิ่ง ขยับตัวเตรียมที่จะเดินออกจากห้อง เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว การจะไปไหนมาไหนไม่จำเป็นต้องรายงานบิดาอีก แต่นี่จะเป็นการเดินทางไกลครั้งแรก และเป็นการเดินทางที่สำคัญ อย่างน้อยก็ควรให้ท่านรับทราบ ไม่คิดว่าจะถูกพี่ชายขัดขวาง
เธอกับพี่ไม่ลงรอยกันแต่ไหนแต่ไร บ่อยครั้งที่เขามักจะมองเธอด้วยความอิจฉายามท่านพ่อเอ่ยปากชมเชยหรือให้ของรางวัล ทั้งๆ ที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง อย่างไรเสียทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่แล้ว
“ถ้าเธอยืนยันแบบนั้นฉันก็คงห้ามไม่ได้ ขอให้เธอเดินทางโดยสวัสดิภาพก็แล้วกัน แล้วฉันจะเรียนท่านพ่อให้อย่างไม่มีตกหล่น”
“ขอบคุณ”
