บทที่ 21 พินัยกรรมเลือด
คีนอซถึงกับจุกพูดไม่ออก จริงอย่างที่นายท่านพูด เขาเดทกับพิสซิลล่าและมีโอกาสพบกันบ้าง แต่กลับไม่มีความคิดถึง ไม่มีความรู้สึกอยากเป็นเจ้าของหรือต้องการเธอเลย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องมาดูแลผู้หญิงอีกคนเสียหน่อย
“เอาล่ะ อลิซมานี่” เมื่อลูกน้องคนสนิทจนเกล้าด้วยเหตุผล เขาก็รีบกวักมือเรียกเธอ และพูดฝากฝังให้เธอไปอยู่กับคีนอซ ราวกับกำลังจะจากกันไปไกลก็ไม่ปาน
คีนอซมองเด็กสาวที่ยืนแหงนหน้าฟังนายท่านพล่ามด้วยความเคืองขุ่น ช่างเป็นพ่อลูกที่เหมาะกันเหลือเกิน คนหนึ่งล้นอีกคนก็ไม่เต็ม เป็นบาปกรรมอะไรของเขากันหนอ
ตู้นอนของเขาอยู่ห่างจากตู้นอนของมาร์ควิสหนุ่มแปดก้าวไม่ขาดไม่เกิน ในห้องมีฉากกั้นอ่างล้างหน้า ตู้เก็บของ และเตียงขนาดเล็กสองเตียงที่อยู่คนละฝั่ง เหลือพื้นที่ให้เดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากจะปลดทุกข์ทั้งเบาและหนัก จะต้องเดินออกไปใช้ห้องน้ำรวมที่ท้ายโบกี้
“เอาล่ะอลิซ ฉันต้องทำความเข้าใจกับเธอเสียก่อนนะว่า ฉันกับนายท่านไม่เหมือนกัน ถ้าไม่อยากถูกโยนออกจากรถไฟ ก็จงทำตัวดีๆ อย่าสร้างความรำคาญหรือเป็นภาระของฉัน เพราะฉันไม่ได้เพี้ยนแบบท่านมาร์ควิส เข้าใจไหม?”
“เพี้ยน แปลว่า น่ารำคาญเหรอ นายท่านบอกว่าเซซิลเพี้ยน แปลว่าเซซิลน่ารำคาญเหรอ?” เธอไม่เพียงไม่นำพาต่อน้ำเสียงแสดงความอดทนอดกลั้นของเขา กลับเอียงคอถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เซซิล? นี่เธอเรียกท่านมาร์ควิสห้วนๆ ได้ยังไง ท่านเป็นถึงราชนิกุลเชียวนะ” ใบหน้าของชายหนุ่มดำมืดลงอีกหลายส่วน
“เซซิลไม่เพี้ยนหรอก อลิซได้กินช็อกโกแลตร้อนด้วย เซซิลซื้อให้” นึกถึงช็อกโกแลตร้อนนุ่มละมุนลิ้นบนรถม้า เธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
คีนอซที่กำลังตั้งท่าจะถลึงตาได้แต่ตะลึงทำตัวไม่ถูกเมื่อได้เห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาจากเธอเป็นครั้งแรก
เจ้าเด็กนี่ยิ้มเป็นด้วย?
รอยยิ้มนั้นช่างสว่างเจิดจ้า ผิดกับความหม่นหมองที่ห่อหุ้มตัวเธออยู่ตลอดเวลา หรือที่ท่านมาร์ควิสรับเด็กนี่เป็นลูกบุญธรรมก็เพราะเห็นรอยยิ้มนี่?
หึ!
“ลืมเรื่องเพี้ยนๆ นั่นไปเสีย เอาเป็นว่า ระหว่างที่เธออยู่กับฉัน ห้าม! ร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ ห้าม! ออกจากห้องนี้โดยไม่ขออนุญาตฉันก่อน ห้าม! เอาของกินใส่กระเป๋าเพราะมันสกปรก ขอแค่นี้ทำได้ไหม?”
“นายท่านก็อยากกินช็อกโกแลตร้อนเหมือนกันเหรอ?”
“ฮึ้ย!” ชายหนุ่มเอามือกุมขมับ นี่แค่...แค่ห้านาทีเท่านั้น ต้องทนอยู่กับเธอตลอดหนึ่งสัปดาห์ คนที่จะเป็นบ้าก่อนก็คือเขานี่แหละ
“เอาเถอะ นอนซะ กว่าจะถึงเวลาอาหารเย็นก็อีกสามชั่วโมง จำรหัสลับได้ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่อย่าเปิดประตูเด็ดขาด”
“อื้อ” อลิซรีบมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม เธอค่อนข้างเพลียและก็หิวนิดๆ หากได้ดื่มอะไรอุ่นๆ ก็คงจะดี
คีนอซล็อคประตูแล้วเดินตรงไปยังตู้นอนของมาร์ควิสเซซิล ซึ่งมิได้ทำกิจกรรมฟิทเจอริ่งกับอนงค์นางคนใด หากแต่กำลังนั่งเขียนอะไรบางอย่างลงในสมุดบันทึกประจำตัว
ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้หรือแม้กระทั่งอยู่ในสนามรบ มาร์ควิสเซซิลจะพกสมุดบันทึกเล่มนี้ไปด้วยเสมอ เขาใช้มันจดบันทึก เขียนจดหมาย หรือแม้กระทั่งทำนิติกรรมสำคัญๆ ก็จะใช้วิธีการเขียนด้วยลายมือ เพราะหากใช้เครื่องพิมพ์ดีด โอกาสที่จะถูกปลอมแปลงเอกสารย่อมมีสูงเช่นกัน
“ลูกสาวฉันนอนแล้วหรือ?” มาร์ควิสหนุ่มถามยิ้มๆ โดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา
“เขียนจดหมายถึงเลดี้เกว็นอยู่หรือครับ?” อีกฝ่ายไม่ตอบแถมยังจงใจถามไปคนละเรื่อง
“เลดี้เกว็น? ทำไมนายจึงคิดว่าฉันควรจะเขียนถึงเธอกันล่ะ?”
“อย่างน้อยท่านดยุคก็จะได้ไม่สงสัยว่าเราสงสัยพวกเขา”
“ดูนี่สิ” เขาโยนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งไปที่เตียง
คีนอซหยิบมันขึ้นมาอ่าน จากหน้าหนึ่งไปยังรายละเอียดของข่าว ใบหน้าที่ดูคร่ำเคร่งอยู่แล้วยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก
การก่ออาชญากรรมมีอยู่ทั่วไป มีคนตายเพราะถูกฆาตกรรมโดยเฉลี่ยวันละเจ็ดสิบสองคน แต่ศพที่เห็นอยู่นี้คือสองคนที่แอบตามรถม้าเปล่าๆ ของพวกเขา
ใครกันที่กล้าท้าทายดยุคดาร์มิน
“คิดว่าเป็นฝีมือใครครับ?”
“นั่นสิ...ใครกันที่ฆ่าคนของดยุคดาร์มิน คนที่ต้องการชีวิตเขา มือที่สามที่ช่วยพวกเรา หรือถูกฆ่าปิดปากเพื่อเบี่ยงประเด็น นายคิดว่ายังไง?”
“มีกระสุนฝังอยู่ที่ศีรษะหนึ่งนัด ลำตัวอีกศพละสามนัด ฆาตกรอาจโกรธแค้นผู้ตายถึงได้ยิงซ้ำที่ศีรษะ”
“หรือไม่ก็อาจจะตายตั้งแต่ถูกยิงหัว ส่วนอีกสามนัดเป็นการอำพรางคดี ฉันจะรอดูว่าท่านดยุคจะงัดลูกไม้ไหนออกมาเล่นอีก”
“ท่านมักจะใจอ่อนกับผู้หญิงเสมอ”
“ใคร...เลดี้เกว็น? ไม่นี่! นายก็เห็นว่าฉันไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับเธอ ถึงได้รีบเผ่นออกมานี่ไงเล่า” ดยุคดาร์มินคือเพื่อนสนิทของเขาก็จริง แต่ในสายสัมพันธ์นั้นมันไม่มีอะไรที่เป็นจริง
“หมายถึงอลิซต่างหาก เด็กนั่นเรียกท่านว่าเซซิลเฉยๆ แถมยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นลูกสาวบุญธรรมของท่านด้วย ได้โปรดพิจารณาใหม่เถิดครับ”
“นายบอกฉันช้าไปเสียแล้ว นี่ฉันเขียนพินัยกรรมยกสมบัติเกือบทั้งหมดให้อลิซไปแล้วนะนี่”
“อะ...อะไรนะครับ!?” คีนอซอุทานราวกับจะสิ้นสตินี่นายท่านเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม ถึงได้ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ “ชีวิตของท่านแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยิ่งท่านยกทรัพย์สมบัติให้กับเธอไป พวกเขาก็จะสังหารท่านได้ง่ายขึ้น เจ้าเด็กนั่นไม่มีวันรักษามันไว้ได้แน่”
มาร์ควิสหนุ่มเห็นลูกน้องคนสนิทหน้าดำคล้ำเขียวก็อดขำไม่ได้ ในโลกนี้หากไม่ใช่คีนอซ เขาก็ไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย หมอนี่ห่วงเขายิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก
เขายื่นสมุดบันทึกให้ชายหนุ่ม ฮัมเพลงเบาๆ ขณะอีกฝ่ายกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดกวาดสายตาไล่อ่านทีละบรรทัด ครั้นอ่านจบแล้ว เขาก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
“นี่ท่าน...?”
“ข้าพเจ้า มาร์ควิสเซซิล อองเตส เซซิล ที่ 3 ได้กระทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นบนรถไฟ ณ วันที่ xx xxxxxxโดยมีพยานคือ นายคีนอซ ฟัลโก้ เดลฟัส คนสนิทส่วนตัวเป็นพยาน ทั้งนี้ ขอแจกแจงรายละเอียดของทรัพย์สินส่วนบุคคล หาก ดังนี้
พินัยกรรมฉบับที่ 1
ข้อที่หนึ่ง คฤหาสน์และที่ดินจำนวน 3,448 เอเคอร์ในแคปตอลทาวน์ ตามกรรมสิทธิ์เลขที่ 213/15 มอบให้กับ อลิซ อองเตส เซซิล บุตรบุญธรรม ทันทีที่เธออายุครบ 20ปี
ข้อที่สอง มูลนิธิและสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งหมด มอบให้กับ นายคีนอซ ฟัลโก้ เดลฟัส โดยให้ธนาคารจ่ายเงินค่าดำเนินการทั้งหมดให้แก่ผู้รับกรรมสิทธิ์เป็นรายเดือนๆ ละ 1 ล้านดอลลาร์ ภายใน 3 วันก่อนวันสุดท้ายของเดือน ทันทีที่เจ้าของพินัยกรรมถึงแก่กรรม
ข้อที่สาม ธุรกิจรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด ให้โอนมอบให้แก่ อลิซ อองเตส เซซิล ทันทีที่เธอจดทะเบียนสมรส
ข้อที่สี่ เงินสดในธนาคารทั้งหมด แบ่งออกเป็น 3 ส่วน 40% เป็นของอลิซ อองเตส เซซิล 30% มอบให้ คริสติน่า คินกินส์ 30% มอบให้องค์กรการกุศล และ 10% มอบให้นายคีนอซ ฟัลโก้ เดลฟัส ใช้เป็นค่าดำเนินการและอื่นๆทันทีที่เจ้าของพินัยกรรมถึงแก่กรรม
สำหรับทรัพย์สินส่วนกลางและทรัพย์สินอื่นของต้นตระกูลที่ยังไม่ได้เปิดพินัยกรรมอย่างเป็นทางการ มอบให้กับคริสติน่า คินกินส์ ทั้งหมดทันทีที่พินัยกรรมถูกเปิดเผย
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
