บทที่ 18 เล่นบทพ่อลูก
จากชนบทเดินทางอีกสามสิบไมล์สู่ตำบลเล็กๆ ที่การสัญจรและวิถีชีวิตของคนไม่ต่างกันเท่าใดนัก เป็นผลมาจากการที่หิมะยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ถนนหนทางเต็มไปด้วยรอยเท้าคน เพราะรถม้าไม่สามารถใช้การได้ ดังนั้น สามชีวิตที่เพิ่งจะกลายเป็นพ่อลูกบุญธรรมและพี่เลี้ยงจำเป็นจึงต้องหยุดพักที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เพื่อเตรียมเสบียงในการเดินทางต่อไป
อุปกรณ์เครื่องครัวถูกฝังไว้ในป่า เหลือเพียงสัมภาระที่จำเป็นเพราะต้องซื้อเครื่องนุ่งห่มและอาหารเพิ่มเติม พร้อมทั้งวางแผนเปลี่ยนเส้นทางและพาหนะกลับแคปตอลทาวน์ด้วยรถไฟที่สถานีอยู่ห่างจากที่นี่แค่สิบห้าไมล์เท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมาร์ควิสเซซิลผู้มีประสาทสัมผัสเป็นเลิศยังคงได้กลิ่นสุนัขป่า สุนัขที่ควรจะอยู่ในป่าลึกแต่กลับมีคนชุบเลี้ยงจนเชื่อง และอาจเป็นตัวเดียวกับที่เห็นในคืนวันออกจากบ้านพักของดยุคดาร์มิน
หลายคืนแล้วที่เขาแอบลุกออกไปสำรวจรอบๆ บริเวณที่ต้องนอนพัก ด้วยกลิ่นตัวของสัตว์จะแรงกว่ากลิ่นตัวมนุษย์ ถึงแม้หิมะจะกลบร่องรอยฝ่าเท้าแต่เขาก็แน่ใจว่าตนเองกำลังถูกตามจากบุคคลลึกลับที่อาจเป็นคนเดียวกับมือปืนนิรนามคนนั้นก็เป็นได้
ใครคนนั้นเอาแต่เฝ้าติดตามพวกเขามาเงียบๆ ทั้งไม่ปรากฏตัวและไม่คุกคาม บางครั้งกลับยังจะช่วยให้พวกเขาหลบคนของท่านดยุคดาร์มินได้อย่างราบรื่น
เขาเลือกเช่าที่พักเป็นบ้านหลังเล็กๆ และมีรั้วรอบขอบชิด ขายม้าและเกวียนไปเสีย เพราะหลังจากนี้จะเป็นการเดินเท้าในระยะทางสิบห้าไมล์ อย่างน้อยหมาป่าตัวนั้นก็ขึ้นรถไฟไม่ได้แน่ๆ
เขาเหลือบมองอลิซที่กำลังปูฟูกลงบนพื้นที่เป็นกระดานไม้ สังเกตเห็นว่าแก้มที่ตอบเข้าไปจนเกือบเห็นกระดูกเริ่มพองขึ้นมาดูมีน้ำมีเนื้อขึ้นเล็กน้อย ดวงตาก็สดใสกว่าเก่า มีแต่เสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยน โดยเฉพาะเสื้อโค้ทของเขา เอ้อ! ของเธอ ที่ส่งกลิ่นเหม็นตุๆ รบกวนประสาทสัมผัสของเขาแล้ว
นี่ยังเช้าอยู่ เธอก็ปูฟูกเตรียมนอนแล้ว นึกว่าตัวเองเป็นหมูหรือไง
เขาเลือกเสื้อกันหนาวตัวหนาออกจากถุงทะเลตัวหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปแตะไหล่บาง
“อลิซ...ออกไปข้างนอกกัน”
“ไปข้างนอก?” เธอเหลือบตาขึ้นมองเพดานแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าหงึกหงัก สองมือลนลานพับฟูกเก็บไว้ชิดผนังห้อง แล้วยัดข้าวของส่วนตัวกลับเข้าถุงทะเลตามเดิม
“ถุงทะเลเอาไว้ที่นี่ล่ะ จะถือไปให้หนักทำไม ถอดเสื้อโค้ทตัวนี้ไว้ แล้วใส่ตัวนี้แทนเอ้า!” เขาดึงถุงทะเลจากมือเธอไปวางไว้บนพื้น แล้วทำท่าจะถอดเสื้อเธอออก
“มะ...ไม่...ไม่ถอด” อลิซกระถดตัวหนี สองมือกุมเสื้อโค้ทไว้แน่น
“ไม่ถอดไม่ได้! ทั้งเปื้อนทั้งเหม็น” เขายังปลุกปล้ำที่จะถอดเสื้อโค้ทตัวนั้นให้ได้ ครั้นเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์เริ่มเบะปากน้ำตาคลอก็รีบลดเสียงลง
“นี่ๆ เห็นไหม เสื้อตัวใหม่เลยนะ ตั้งแต่ซื้อมายังไม่ได้ใส่เลย ยกให้อีกตัวเลยเอ้า!”
“ไม่...ไม่เอา...” เธอผลักเสื้อตัวใหม่ออกราวกับเป็นของที่น่าขยะแขยง
“โอเคๆ ฉันไม่เอาคืนหรอก แค่ถอดเอาไปซักให้สะอาดเฉยๆ ประเดี๋ยวซักเสร็จค่อยเอามาใส่ใหม่”มาร์ควิส หนุ่มกุมขมับปวดหัว
“ซัก...ไม่ได้ มันซักไม่ได้” เด็กสาวสะอึกสะอื้นมีน้ำตา มองหน้ามาร์ควิสหนุ่มด้วยสายตาตัดพ้อ
“ทำไมล่ะ?” เขาอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมเธอถึงได้หวงแหนมันนัก ถึงกับใส่ไม่ยอมถอดแม้แต่วินาทีเดียว ที่หนักกว่าก็คือ เธอทนดมกลิ่นของมันได้อย่างไรเขาหรือเหม็นจนแทบจะอาเจียนอยู่แล้ว
อลิซล้วงเข้าไปในเสื้อโค้ทและกระเป๋าเสื้อที่มีอยู่มากมาย ดึงกระดาษ กระป๋อง ซองขนม และอาหารแห้งที่เหลืออยู่ออกมากองไว้
มาร์ควิสเซซิลนิ่งอึ้งมองเศษอาหารแห้งและขนมที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และบางชิ้นน่าจะบูดหรือเน่าไปแล้วด้วย เดาว่าเธอคงหยิบติดมือมาจากบ้านพักของท่านดยุคด้วย มิน่า...บางคืนเขาถึงได้ยินเสียงแปลกๆ กลางดึก หะแรกคิดว่าเธอนอนกัดฟัน ที่แท้คงแอบกินของพวกนี้นี่เอง
“มันกินไม่ได้อีกแล้ว เอาไปให้บาร์ตันกินดีกว่า” เขาจับพวกมันโยนใส่ถุงดำขืนเธอยังกินต่อไปมีหวังได้เข้าสถานพยาบาลก่อนถึงแคปตอลทาวน์แน่ๆ
“คุณบาร์ตัน?”
“เจ้าบาร์ตันต่างหาก นั่น...เห็นไหม?” เขาชี้ไปยังเจ้าบาร์ตันซึ่งก็คือสุนัขของเจ้าของบ้านเช่าที่กำลังส่ายก้นกระดุ๊กกระดิ๊กหยอกล้อกับคีนอซอยู่ข้างนอก
“แต่...แต่...เซซิลบอกให้กินเยอะๆ”
เซซิล?
เขารู้สึกโหวงเหวงในใจอย่างประหลาดเมื่อเด็กสาวเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ชื่อที่แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ยังไม่กล้าเรียกโดยไม่มีฐานันดรศักดิ์นำหน้า ดี...ดี...ดีเหลือเกิน เรียกสุนัขว่า คุณบาร์ตัน แต่กลับเรียกชื่อเขาห้วนๆ
“ก็ได้...คุณบาร์ตันจะได้ไม่กินคีนอซ” เห็นสุนัขตัวใหญ่กำลังกระโจนใส่เจ้านายคนที่สอง อลิซก็ยินยอมยกอาหารทั้งหมดให้กับมันแต่โดยดี เธอกวาดเศษอาหารแห้งและขนมทั้งหมดมากองไว้ที่เดียวกันแล้วดึงมือของเขาออกมาพร้อมกับโกยเศษอาหารและขนมใส่มืออีกฝ่ายอย่างว่องไวครั้นเห็นว่ามันล้นมือหล่นลงมา เธอก็ยัดพวกมันใส่ในกระเป๋าเสื้อของเขาแทน
มาร์ควิสหนุ่มมองขยะอาหารในมือด้วยความรู้สึกขมขื่น ไหนจะเสื้อโค้ทตัวสวยสนนราคาประเมินมิได้ ทั้งเนยทั้งนมและเศษขนมเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด เจ้าเด็กปัญญาอ่อนยังริบังอาจส่งยิ้มยิงฟันให้เขาอย่างดีใจ
เสื้อโค้ทสองตัวจำต้องถูกทิ้งไว้ให้คีนอซซัก ส่วนตัวเขาต้องหิ้วเจ้าเด็กนี่เขาไปในตัวเมืองด้วย ถึงอย่างไรก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะรับเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม จำต้องทำให้เธอดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาบ้าง
รถม้าเช่าใช้เวลาวิ่งเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงตัวเมืองที่ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีร้านค้าพอให้จับจ่ายใช้สอย เขานัดเวลากับคนขับรถม้าไว้ในอีกสองชั่วโมง จากนั้นก็เอาเธอไปทิ้งไว้ที่ร้านตัดผมแห่งหนึ่งทั้งกำชับว่าให้สระผมและตัดผมหยักศกที่พันกันยุ่งเหยิงนั่นให้ดูเป็นผู้เป็นคนให้ได้
“เซซิล...จะไปไหน?” อลิซคว้าชายเสื้อของเขามากำไว้แน่นเมื่อถูกทิ้งไว้ที่ร้านคนเดียว เพียงมองไปเห็นกรรไกรและมีดที่อยู่บนที่วางอุปกรณ์ ความกลัวก็จู่โจมจนแทบร้องไห้
“จะไปดูแผนที่ตรงแยกตรงโน้นสักหน่อย ประเดี๋ยวจะกลับมา” เขาแกะมือของเธอออกอย่างเบามือ ทั้งรีบปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่พยายามอ่อนโยนอย่างที่สุดแล้วเพื่อไม่ให้เธองอแงจนเป็นที่ผิดสังเกต ด้วยเมืองเล็กๆ อย่างนี้ คนต่างถิ่นจะเป็นที่จดจำได้ง่าย
“สาวน้อย...มาตรงนี้ดีกว่านะ จะตัดให้สวยจน...เอ่อ...เอ่อ...” เจ้าของร้านซึ่งเป็นหญิงวัยสี่สิบปลายๆ อึกอัก ด้วยเห็นท่าทางเด็กสาวดูขลาดกลัว ส่วนบุรุษหนุ่มรูปหล่อร่างสูงก็ดูกล้ำกลืนฝืนทน มองด้วยสายตาแล้วหากไม่เป็นอากับหลาน ก็น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันเพราะดูอายุห่างกันมาก ทั้งต้องแกล้งถามให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ทิ้งเด็กสาวไว้ให้เป็นภาระของทางการ ซึ่งต้องดูแลเด็กเร่ร่อนจนสถานสงเคราะห์ไม่มีที่จะให้ซุกหัวนอนแล้ว
“พ่อ ฉันเป็นพ่อของเธอ” เขารีบบอกด้วยใบหน้าเก้อเขินนิดๆ ทั้งยังขยิบตาส่งสัญญาณให้เธอโดยที่ไม่แน่ใจว่าคนที่ต้องท่องรหัสเคาะประตูทั้งคืนจะเข้าใจหรือเปล่า
พ่อ...น่ะหรือ? ขนาดพูดเองยังจั๊กจี้
“จ้ะ! ฉันจะทำให้เธอสวยจนพ่อตะลึงทีเดียว”
