บท
ตั้งค่า

บทที่ 14 มุ่งหน้าสู่แคปตอลทาวน์

“เราล่อพวกมันไปได้แล้ว รีบไปกันเถอะครับ”คีนอซปั้นหน้าขรึมเบรกอารมณ์เจ้านาย เดินไปหยิบถุงทะเลขึ้นมาสะพายหลัง ถุงทะเลมีทั้งหมดสามใบ นอกจากอาวุธที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวแล้ว ที่เหลือก็เป็นอุปกรณ์สำหรับเดินป่า ผ้าห่ม และเสบียงกรังสำหรับสามคนเท่านั้น

พวกเขาเตรียมม้าพันธุ์ดีไว้สองตัว คีนอซกระโดดขึ้นม้าแล้วดึงอลิซให้ขึ้นมานั่งซ้อนด้านหลัง สองมือกุมบังเหียนไว้อย่างมั่นคง ปล่อยให้ท่านมาร์ควิสผู้เย่อหยิ่งเป็นผู้นำทาง

“จับเสื้อเอาไว้แน่นๆ” เขาสั่งคนด้านหลัง ครั้นไม่เห็นว่าเธอจะทำตามจึงเอี้ยวหน้าหันกลับไปมอง

เจ้าเด็กทึ่มไม่ได้ขัดคำสั่ง หากแต่กำลังขยุ้มเสื้อโค้ทของตัวเองไว้แน่น

“ฮึ้ย....จะไปจับเสื้อตัวเองทำไมเล่า? เอ้า! กอดเอวฉันไว้แน่นๆ” เขาดึงมือเธอให้มากอดเอวของตัวเองอย่างขัดใจ นึกพาลไปถึงเจ้านายที่บอกแล้วว่าเด็กนี่ปัญญาอ่อนก็ไม่ฟัง

“ถึงคราวของนายบ้างล่ะ ฮ่าๆๆ” มาร์ควิสเซซิลควบม้าเหยาะๆ กลับมาเยาะเย้ยแล้วควบม้านำหน้าไป

“ห้ามหลับล่ะ ถ้าตกลงไปจะทิ้งไว้ในป่าจริงๆ ด้วย”

“มะ...ไม่หลับ...หรอก” อลิซที่ถูกขู่มาทั้งวันรีบขยับนั่งตัวตรง ออกแรงกอดเอวเขาไว้ให้แน่นสุดชีวิต

เมื่อม้าเริ่มขยับขา เธอก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วซุกหน้าเข้ากับแผ่นหลังกว้าง ดีแล้วที่นอนมาเต็มที่ ดีแล้วที่กินมาเต็มอิ่ม ดีแล้วที่ไม่วิ่งตามรถม้าคันนั้นไป

ไม่ต้องถูกล่ามโซ่ ไม่ต้องถูกเฆี่ยน ไม่ต้องอดข้าวอดน้ำ ที่สำคัญไม่ถูกตัดลิ้นควักลูกตา ดีที่สุดเลย

ม้าวิ่งได้ไม่เร็วนัก เพราะหิมะตกหนักตลอดทั้งวันทั้งคืน แม้ว่าตอนนี้จะซาลงบ้างแล้ว แต่ก็หนาวไปถึงกระดูก มาร์ควิสหนุ่มไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลย

อลิซเบิกตามองเงาตะคุ่มของทิวต้นสนสลับกับแผ่นหลังของเจ้านายคนที่สอง ลมที่ปะทะหน้าทำให้แสบตาไม่น้อย แต่เพราะกลัวว่าหากหลับตาแล้วอาจจะเผลอหลับ จึงตั้งใจเพ่งมองเงาตะคุ่มของต้นไม้ในความมืดอย่างสุดความสามารถ

แสงแห่งอรุณรุ่งกำลังจะโผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออก มาร์ควิสหนุ่มมองหาโพรงถ้ำที่พอจะซ่อนตัวได้ แล้วโบกมือให้คีนอซควบม้าตามเข้าไป

เขาให้คีนอซเอาม้าไปผูก ส่วนตัวเองหาที่เหมาะๆ สำหรับพักผ่อน โดยมีเจ้าเด็กทึ่มนั่งกอดถุงทะเลมองอยู่ห่างๆ

“ตอนนี้เช้าแล้ว ที่นี่ปลอดภัย เราจะออกเดินทางอีกครั้งตอนหัวค่ำ ถัดจากบริเวณนี้ไปอีกราวสิบเอ็ดไมล์น่าจะมีหมู่บ้านเล็กๆ พอให้เช่าที่พักดีๆ ได้ ตอนนี้ก็ผลัดกันเฝ้ายามไปก่อน เอาล่ะอลิซ เธอดูท่าจะไม่ไหวแล้ว นอนพักซะให้เต็มที่ ถึงเวลาแล้วฉันจะปลุกเอง” เขาอดสงสารไม่ได้เมื่อเห็นดวงตาแดงๆ ของเธอ จัดการดึงผ้ายางออกจากถุงทะเล คลี่ออกปูเป็นที่นอนพยักหน้าให้เธอพักผ่อนได้

อลิซคลานกระดึ๊บๆ เข้าไปตามคำสั่งของท่านเจ้าชีวิตแล้วล้มตัวลงนอน ครั้นพอหัวถึงหมอนก็หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย

ปวดตาจังเลย ง่วงด้วย อยากหลับเร็วๆ จัง แต่ก็หิวเหลือเกิน ทำไมเขาถึงไม่บอกให้กินอาหารเช้าก่อนนะเขาจะให้เธอกินหรือเปล่านะ

เสียงดังโครกครากจากตัวเด็กสาวทำให้เขากลั้นหัวเราะไม่อยู่ หากแต่ก็ทำทีนิ่งเฉยเพื่อรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ว่าจะกล้าหันมาขออาหารเขากินหรือไม่

คีนอซเดินเข้ามาหลังให้อาหารม้าเสร็จแล้ว เมื่อเห็นใบหน้ารื่นรมย์ของผู้เป็นนายเขาก็เลิกคิ้ว

สถานการณ์อย่างนี้ก็ยังหัวเราะได้อีก

“เรียบร้อยแล้วก็ก่อไฟต้มน้ำซุปร้อนๆ กินกันเถอะ อ้อ! ขอขนมปังทาเนยสักห้าถึงหกแผ่นรองท้องก่อนดีกว่า”

“ครับ”คีนอซหันไปค้นถุงทะเลกุกๆ กักๆ

ได้ยินชื่อเมนูอาหารเช้าพร้อมกับกลิ่นเนยที่โชยเข้าจมูก อลิซก็ลอบกลืนน้ำลายลงคอเงียบๆ แต่ไม่กล้าขยับตัวทำไมเขาถึงไม่บอกให้กินอาหารเช้าก่อนนะ เขาจะให้เธอกินหรือเปล่านะ

หิวจังเลย...แอบกินขนมในกระเป๋าดีหรือเปล่านะ? แต่เขาสั่งให้เธอนอนพักนี่ ทำไมเขาถึงไม่บอกให้กินอาหารเช้าก่อนนะเขาจะให้เธอกินหรือเปล่านะ

“อร่อยจริงๆ นายก็กินด้วยสิ” มาร์ควิสหนุ่มบอกอย่างเอื้อเฟื้อ

“ไม่ล่ะครับ ผมขอไปก่อไฟต้มน้ำซุปก่อน ท่านก็รู้ว่าผมไม่ถูกโรคกับขนมปังเท่าไหร่” คีนอซหยิบอุปกรณ์ทำครัวชิ้นเล็กๆ ออกมาทีละชิ้น ถึงแม้จะต้องรอนแรมอยู่กลางป่า แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้นอกจากเสบียงแห้งก็คือเครื่องยังชีพเหล่านี้ ซึ่งเปรียบเสมือนอาวุธคู่กายของเขา เพราะท่านเซซิลชื่นชอบการตั้งแคมป์เป็นที่สุด เขาเองก็ชื่นชอบการทำอาหารที่สุดเช่นกัน ไม่ว่าจะเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ จำเพาะต้องหอบหิ้วไปด้วยเสมอ

ผู้เป็นนายยักไหล่ เขารู้ว่าคีนอซจะไม่ยอมกินอะไรจนกว่าเขาจะกินอิ่มก่อน จึงแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง แต่ดูเจ้าเด็กทึ่มที่กำลังนอนกระสับกระส่ายตรงนั้นสิ น่าหัวเราะเป็นบ้า

เขากัดขนมปังทาเนยกินไปสองแผ่น ก่อนจะวางอีกสี่แผ่นที่เหลือไว้แล้วลุกเดินออกไปข้างนอก ปรายตามองพร้อมแกล้งพูดเสียงดังขณะก้าวข้ามร่างที่กำลังนอนขดตัวอยู่

“คีนอซ! ฉันอิ่มแล้วจะออกไปเดินสำรวจข้างนอกหน่อย ขนมปังยังเหลืออีกสี่ชิ้น ถ้าอลิซตื่นแล้วนายก็บอกให้เธอกินให้หมดก็แล้วกัน”

อลิซที่กำลังพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ในใจลืมตาโพลงด้วยความดีใจ มองแผ่นหลังกว้างของมาร์ควิสหนุ่มด้วยความซาบซึ้ง เขาจะให้เธอกินแล้ว แถมยังเหลือขนมปังให้ตั้งสี่แผ่น อย่างนี้เธอก็ไม่ต้องควักเอาเสบียงที่แอบตุนไว้ออกมากิน

เด็กสาวหลับตาลงอย่างเป็นสุข ด้วยคิดว่าจะต้องรีบนอน นอนตื่นแล้วจะได้กินอาหารเช้าเสียที หวังว่าเธอจะไม่หลับนานเกินไป

“เด็กโง่เอ๊ย!” มาร์ควิสเซซิลโคลงศีรษะอย่างระอาปนขำนิดๆ เด็กนั่น...ไม่ได้ปัญญาอ่อน ไม่ได้ปัญญาอ่อนจริงๆเล้ย!

X

เจ้าชายอเล็กซานเดอร์คลี่กระดาษโน้ตเล็กๆ ออกอ่าน แววตาพร่ามัวแสดงความพอใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นเครื่องหมายกากบาทสีแดงอย่างที่ใจแอบคาดหวัง ก่อนจะหมุนล้อรถเข็นกลับไปยังโต๊ะไม้ตัวใหญ่ หย่อนกระดาษใบนั้นลงไปในตะเกียงเจ้าพายุ ปล่อยให้เปลวไฟเผากระดาษจนมอดไหม้เหลือแต่เถ้า

“คาล์ค”

“ครับ...ท่านแองกัส”

ทันทีที่น้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยเรียก ลอร์ดคาวารอนก็ก้าวออกมาจากฉากไม้ ก้มลงคุกเข่าอย่างคารพนบน้อมอยู่ตรงนั้น มิได้ก้าวล่วงเข้าไปในบริเวณส่วนตัวของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ทั้งยังขานรับและเรียกชื่อของกันและกันด้วยนามแฝงซึ่งเป็นชื่อเล่นของพวกเขาที่น้อยคนนักจะเคยได้ยิน

“มาร์ควิสเซซิลออกจากเมืองไปแล้ว”

“ดูเหมือนเขาจะเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของดยุคดาร์มิน?” ลอร์ดคาวารอนตั้งข้อสันนิษฐาน กึ่งโล่งใจกึ่งหนักใจที่มาร์ควิสผู้อื้อฉาว ไม่ได้อยู่ในขบวนการล้มล้างราชบัลลังก์ด้วย

“แต่เป็นหมากตัวสำคัญมาก นับกันตามจริง เขามีศักดิ์เป็นอาของเรา หากไม่เพราะมีมารดาเป็นสามัญชน ป่านนี้คงกุมอำนาจในพระราชวังไปแล้ว ที่ดยุคดาร์มินต้องการตัวมาเป็นบุตรเขยคงเพราะต้องการอำนาจทางทหาร แต่ดูเหมือนแผนการดูตัวจะไม่ค่อยเป็นผลนัก”

“หมายความว่ามือสังหารเมื่อวันก่อนอยู่ฝ่ายเราอย่างนั้นหรือครับ?” ลอร์ดคาวารอนสรุปตามความเข้าใจ ด้วยแม้จะส่งคนไปตามสืบเรื่องมือปืนลึกลับคนนั้น ก็ไม่ปรากฏวี่แววอันใดที่พอจะไขความกระจ่างได้เลย ทั้งการกระทำของอีกฝ่าย แม้จะเป็นการขัดขวางไม่ให้พวกเขาลอบสังหารท่านดยุคได้สำเร็จ แต่ก็ทำให้มาร์ควิสเซซิลเห็นพิรุธจากเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งยังไม่ยอมก่อสัมพันธ์กับเลดี้เกว็นอีกด้วย

“อาจใช่หรือไม่ใช่”

เจ้าชายเอล็กซานเดอร์เดินออกมาในลักษณะตัวเอียงเล็กน้อยเพราะขาข้างหนึ่งยังไม่หายดี กระนั้นก็ไม่อาจทำให้รัศมีอันสูงศักดิ์หม่นหมองลงได้เลย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel