บทที่ 13 จูบแรก?
กลิ่นน้ำซุปและขนมปังปิ้งร้อนๆ โชยเข้าจมูก ปกติแล้วอลิซมักจะหยิบอาหารเข้าปากด้วยมือทั้งสองข้าง แต่คีนอซได้สอนวิธีใช้จานและช้อนให้แล้ว เธอจำมันได้
เด็กสาวกินอย่างหิวโหย บางทีก็ลืมตัวใช้มือหยิบอาหารเข้าปากตามความเคยชิน แต่กระเพาะอาหารที่ยังปรับสภาพไม่ได้เต็มที่ จึงกินได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
เขาบอกให้เธอกินให้อิ่ม เธออิ่มแล้ว แต่...ยังเหลือซุปและของกินอีกตั้งเยอะ ถ้าหาก....ถ้าหากถูกปล้นกลางทางล่ะ?
เธอหยิบเนื้อแห้งและขนมขบเคี้ยวใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทเท่าที่จะมากได้ จากนั้นก็ล้างหน้าแปรงฟัน มุดเข้าไปใต้โต๊ะ นอนขดตัวอยู่ในห้องครัวนั้นเอง
เสียงฝีเท้าคนและม้าดังเข้ามาในความฝัน
เปลือกตาของอลิซกระพริบถี่ๆ ก่อนจะเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกที่แทรกอยู่ท่ามกลางเสียงเปาะแปะของหิมะ
มีเสียงคนซุบซิบกันอยู่ข้างนอก เบาจนเกือบจะไม่ได้ยิน
หรือว่าพวกเขากำลังจะเดินทาง?
แต่เจ้าชีวิตของเธอบอกว่าจะมาปลุกนี่นา หรือว่าเขาจะลืม?
ริมฝีปากของเธอเบะออก ครั้นคิดได้ว่าพวกเขาไม่ชอบคนร้องไห้ก็กลั้นมันไว้จนสุดความสามารถ บางที...บางทีเธออาจจะนอนนานเกินไป พวกเขาก็เลยไม่อยากรอ
เสียงล้อหมุนและเสียงลากเกวียนดังขึ้น เช่นเดียวกับเสียงซุบซิบหยุดลง คบไฟที่จุดไว้เมื่อหัวค่ำดับไปหมดแล้ว บ้านทั้งหลังจึงตกอยู่ในความมืด มือของเธอเปะป่ายไปทั่วเพื่อคลำทาง คิดจะวิ่งตามรถม้าคันนั้น
โครม!!
สะโพกของเธอชนเข้ากับโต๊ะ เสบียงที่ซุกซ่อนไว้ร่วงหล่นจากกระเป๋า ร่างผอมบางลนลานควานเก็บมันขึ้นมาในความมืด ก่อนจะเซถลาเพราะถูกฉุดกระชากอย่างแรง
อุ๊บ!
ริมฝีปากที่กำลังจะกรีดร้องถูกตะปบด้วยมือใหญ่ ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความกลัวสุดขีด ก่อนจะดิ้นอย่างสุดชีวิตด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่
“ชู่ว์!” มาร์ควิสเซซิลเอามือจุ๊ปากห้าม ในขณะที่อีกมือยังปิดปากของเด็กสาวไว้แน่น “อยู่นิ่งๆ”
อลิซตัวแข็งในบัดดล น้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจที่อีกฝ่ายไม่ใช่นักฆ่า เมื่อเขาบอกให้อยู่นิ่งๆ เธอก็ไม่กล้าขยับ
“มีพวกมันสองคนเดินกลับมาทางนี้ครับ” เสียงคีนอซดังอยู่ใกล้ๆ
“กลั้นหายใจไว้นะ” มาร์ควิสหนุ่มพูดขึ้น
คีนอซกลิ้งตัวไปหลบอยู่หลังตู้เหล็ก ขณะที่มาร์ควิสเซซิลกดศีรษะอลิซลงต่ำแล้วดันตัวเธอเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะไม้ตัวเดิม ก่อนที่เขาจะมุดเข้าไปด้วย
เพราะโต๊ะตัวเล็กเกินไป อลิซจึงถูกผลักให้นอนลงบนพื้น ตามด้วยมาร์ควิสหนุ่มที่โถมทับลงมา หน้าอกของเขาอยู่ตรงใบหน้าเธอ คางบึกบึนกดอยู่ตรงกระหม่อม
แม้จะไม่ได้ถูกเอามือปิดปาก ทว่าอลิซกลับรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกเพราะร่างสูงใหญ่ที่กดทับอยู่ด้านบน ใจนึกห่วงขนมที่แอบซุกซ่อนไว้ ป่านนี้คงตกเรี่ยราดไปแล้ว
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาแล้วหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางทิศตะวันออก เธอรีบกลั้นลมหายใจโดยอัตโนมัติ
“ก็บอกว่าอยู่บนรถม้า ไปกันได้แล้ว”
“ฉันได้ยินเสียงมาจากข้างใน” คนที่มาถึงก่อนยืนยัน
“หูฝาดกระมัง ข้างในรถม้านั่นมีคนจริงๆ เดี๋ยวก็คลาดสายตากันพอดี”
“ล่วงหน้าไปก่อน ฉันจะขึ้นไปดูให้แน่ใจ”
“เร็วเข้าล่ะ!” อีกคนสำทับ แล้ววิ่งตึกๆ ออกไป
แอ๊ด!
เสียงบานประตูเปิดออก ก่อนเสียงฝีเท้าจะมุ่งขึ้นไปยังชั้นสองของตัวบ้าน โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ใช้คบไฟใดๆ ทั้งสิ้น
เสียงฝีเท้าเดินวนอยู่บนชั้นสอง ไล่เรื่อยลงมาตามบันได มุ่งหน้ามายังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่าง
เสียงย่ำเท้ามาหยุดอยู่ในห้องครัว สองคนที่ปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้บ้างแล้วต่างก็มองไปยังเงาร่างตะคุ่มๆ ที่ยืนจังก้าเป็นจุดเดียวกัน แลเห็นอีกฝ่ายดึงปืนพกออกจากกระเป๋ากางเกง
เคร้ง!
เสียงที่ดังมาจากท้ายครัวทำให้ทุกคนตกใจ โชคดีที่ใบหน้าของอลิซนั้นฝังอยู่ในเสื้อโค้ทตัวหนาของมาร์ควิสหนุ่มซึ่งกระชับด้ามปืนในมือไว้เช่นกัน ทว่าร่างในเสื้อคลุมสีดำกลับวิ่งผ่านพวกเขาไป
ประตูด้านหลังถูกเปิดออก ลมหนาวพัดกรูเข้ามา สุนัขป่าสีขาวตัวหนึ่งกำลังวิ่งผ่านไปด้วยความตกใจ
“โธ่เอ๊ย! เสียเวลาเป็นบ้า”
ผู้บุกรุกสบถ แล้วปิดประตูดังปัง
รอจนเสียงวิ่งสวบสาบหายไปพักหนึ่ง คีนอซจึงได้จุดเทียนเล่มเล็ก และได้เห็นท่านมาร์ควิสของเขากำลังยันตัวขึ้นจากพื้น ใต้ร่างคืออลิซที่นอนตัวแข็งเหมือนศพ
เขาถอนหายใจเฮือก รู้อยู่แล้วว่าเจ้านายเป็นคนรักสะอาด แต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดใช้เด็กแทนพรมจนแบนแต๊ดแต๋แบบนั้นเขารีบเข้าไปช่วยยกขาโต๊ะด้านหนึ่งขึ้น เพื่อให้คนตัวโตขยับตัวได้ถนัด
มาร์ควิสหนุ่มลุกขึ้นพลางปัดฝุ่นตามเสื้อผ้า ทว่าอลิซยังคงนอนตาค้างอยู่บนพื้น
“เฮ้...ลุกได้แล้ว เราต้องรีบเดินทาง” เขาใช้หลังมือตบที่แก้มเธอเบาๆ
ร่างผอมบางไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง มีเพียงริมฝีปากที่เม้มแน่น ดวงตาที่มองขึ้นไปบนเพดาน เขารีบเอามืออังจมูกอีกฝ่ายทันที
“บ้าฉิบ! เธอไม่หายใจ”
“อะไรนะครับ?” คีนอซอุทานอย่างตระหนก
มาร์ควิสเซซิลใช้นิ้วเปิดปากเธอออก ก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปากตัวเองลงไป ผายปอดให้เธออย่างรวดเร็ว
“ฟื้นสิไอ้เด็กบ้า!” เขาถอนริมฝีปากออกมาพร้อมกับก่นด่าเธอไปด้วย ความรู้สึก ณ เวลานี้ยิ่งกว่าอยู่ในสนามรบ เป็นเพราะเขาทับเธอ ทับเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่อาจไม่ใช่แค่หายใจไม่ออก แต่ซี่โครงอาจจะหักไปแล้วก็ได้เขาก็แค่กลัวว่าเธอจะส่งเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจจะทับให้ตายเสียหน่อย
กำลังจะก้มลงไปผายปอดในจังหวะที่สอง ร่างผอมบางก็กระตุกเฮือก แพขนตาขยับเบาๆ แล้วก็นิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดครั้นมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของมาร์ควิสหนุ่ม ดวงตากลมโตก็มองเขาด้วยความฉงน ทั้งยังถามด้วยประโยคที่แสดงความเกรงอกเกรงใจ
“อะ..อนุญาต...ให้...หายใจ...ได้แล้วเหรอ?”
เป็นครั้งแรกที่มาร์ควิสเซซิลจะร้องไห้ก็ร้องไม่ได้ จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ด้วยลืมเสียสนิทว่าเจ้าเด็กซื่อบื้อที่เกือบตายไปเมื่อครู่ ไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็น “เด็กสมองช้า” คนหนึ่ง ซึ่งต้องได้รับการบำบัดโดยด่วน
เจ้าเด็กนี่! ทำให้เขาตกใจจนแทบสิ้นสติ ด้วยนึกว่าตนเองกลายเป็นฆาตกรในคราบพ่อพระ ครั้นหันไปมองหน้าคีนอซ หมอนั่นก็ทำเพียงยักไหล่พร้อมกับก้มหน้าซ่อนยิ้ม เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ก็ใครล่ะ ดึงดันจะกระเตงเจ้าเด็กสมองทึ่มไปด้วย
ว่าแต่...เจ้าเด็กนี่อึดไม่เบาเลยทีเดียว ที่สามารถกลั้นลมหายใจได้นานถึงขนาดนั้น ขนาดทหารที่ฝึกหนักอย่างเขายังทำไม่ได้เลย หากขุนให้อ้วนแข็งแรงกว่านี้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อเขาได้ในภายหน้า
ยัง...ยังไม่หมด...ตั้งแต่เจ้าเด็กนี้โผล่มา ก็มีเรื่องให้ประหลาดใจตลอด ไหนจะมือปืนนิรนาม ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมปริปากพูดราวกับกลัวอะไรบางอย่าง แล้วยังจะสุนัขป่าตัวนั้น?
สุนัขป่าตัวเดียว...โผล่เข้ามาในจังหวะคับขันราวกับถูกฝึกมาอย่างดี บังเอิญไปหน่อยกระมัง
เพราะความไม่ชอบมาพากล ทำให้เขาต้องวางแผนล่อเสือออกจากถ้ำ ด้วยการส่งจดหมายไปลาท่านดยุค และคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของเขาก็มีเพียงเพื่อนสนิทต่างวัยคนนี้เท่านั้น
คนที่แอบสะกดรอยเขา จะเป็นคนของใครกันนะ คนที่ต้องการชีวิตเขา หรือคนของท่านดยุค?
“ท่าน...หึๆๆๆ” คีนอซหัวเราะจนไหล่ไหว ขำจนพูดไม่ออก
“มีอะไรน่าขำนักหนา?” เขาชักสีหน้าใส่ลูกน้องคนสนิท
“ท่านเสียจูบแรกให้กับเธอไปแล้ว ดีใจด้วยนะครับ”
“นาย!?” มาร์ควิสหนุ่มถลึงตาอย่างกราดเกรี้ยว เขารึตกใจแทบตายแต่อีกฝ่ายกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก ครั้นหันกลับไปมองอลิซที่ทำหน้าเหรอหราดวงตากลมโตบ้องแบ๊วไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ยิ่งหัวเสีย
