บทที่ 12 ฉันคือเจ้าชีวิตเธอ
เจ้าชายได้แต่ครุ่นคิดเพียงลำพัง
นานแล้วที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด คงเพราะช่วงหนึ่งเดือนมานี้ต้องเดินทางตลอด ทำให้ร่างกายได้รับการกระทบกระเทือนมากกว่าปกติ ผลจากการบาดเจ็บในกะโหลกศีรษะส่งผลกระทบถึงดวงตาอย่างช่วยไม่ได้
ใครกันนะ...ที่โผล่เข้ามาขัดขวางงานของเขา
มาร์ควิสผู้โด่งดังจะใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่?
เป็นเหตุจงใจหรือว่าบังเอิญ? หรือใครต้องการส่งสาส์นสำคัญบางอย่าง? แต่นอกจากลอร์ดคาวารอนแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ?
หรือวันที่เขาถูกขุดออกมาจากหลุมศพจะมีผู้รู้เห็นคนอื่น?
จดหมายจากมาร์ควิสเซซิลอยู่ในมือของดยุคดาร์มิน ข้างกายผู้ทรงอำนาจสูงสุดในปราสาทหลังงามหรือในเมืองนี้คือเลดี้เกว็นและท่านเคาท์ดาโก้ ผู้เป็นบุตรสาวบุตรชายทั้งสองคน แต่ละคนรู้สึกผิดหวังเหมือนกัน เพียงแต่ความผิดหวังนั้นมีที่ไปที่มาต่างกันอยู่มาก
สตรีที่สวยที่สุดไม่อาจรั้งตัวมาร์ควิสผู้โด่งดังไว้ได้ เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น เรื่องนี้ทำให้เธอค่อนข้างผิดหวังอยู่ไม่น้อย เนื่องจากรู้มาว่าเขาเจตนามาที่นี่เพื่อพักผ่อนระยะยาว และเจตนาของเขาก็คือการมา “ดูตัว” เธอตามคำเชิญของบิดานั่นเอง
เขาสนใจเธอ...แน่นอน! เธอเข้าใจไม่ผิด ทว่ามันยังไม่ถึงขึ้นถูกใจ ชอบพอและตกหลุมรักอย่างที่เธอรู้สึก หรือว่าเธอจะวางมาดสูงส่งเกินไป เย่อหยิ่งเกินไป หรือเพราะผู้หญิงอายุยี่สิบห้าดูน่ากลัวอย่างที่คนอื่นพูดถึง เขาจึงไม่คิดจะสานต่อ
เคาท์ดาโก้เหลือบมองน้องสาวด้วยความขุ่นเคืองแล้วหันไปหาบิดา
“ไม่คิดว่ามาร์ควิสเซซิลจะขี้ขลาดกับเพียงแค่กระสุนนัดเดียว หรือว่าบุตรสาวของท่านจะไร้เสน่ห์จริงๆ บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำตัวสนิทสนมกับคริสให้มากนัก”
“ท่านพี่...คริสคือเพื่อนรักของน้องซ้ำยังเป็นคนเจ็บ จะพูดอะไรก็ให้เกียรติกันบ้าง” เกว็นตอกกลับพี่ชายเบาๆ
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคริส มาร์ควิสเซซิลไม่ใช่คนที่ต้องการอะไรแล้วจะไม่ได้”
คำพูดของบิดาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของเกว็นดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะความหมายของมันยิ่งตอกย้ำว่ามาร์ควิสหนุ่มไม่ได้ “ต้องการ” เธอที่สำคัญเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด ที่จะจากไปเพียงเพราะเห็นว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย ความจริงข้อนี้ทำให้จิตใจของเธอหดหู่มากทีเดียว
“อยากไปเปิดหูเปิดตาที่แคปตอลทาวน์บ้างไหมล่ะ?” ดยุคดาร์มินถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านพ่อ!”
เกว็นมองหน้าบิดาอย่างคาดไม่ถึง นี่ท่านเป็นอะไรไปจึงทำท่าราวกับอยากจะขายบุตรสาวเสียเหลือเกิน เธอมีค่าต่ำต้อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“แค่ไปเที่ยวต่างเมืองเท่านั้น ทำตกใจไปได้” ผู้เป็นพี่ชายทำเสียงเหนื่อยหน่ายรำคาญ
“ท่านพ่อ ลูกขอปฏิเสธค่ะ อย่าให้ลูกต้องทิ้งศักดิ์ศรีเพราะผู้ชายคนหนึ่งเลย” เธอโค้งให้บิดา ก่อนจะมองพี่ชายด้วยดวงตาแข็งกร้าวแสดงการต่อต้าน แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
สองบุรุษผู้สูงศักดิ์สบตากัน ฝ่ายบิดาถอนใจยาว แต่เคาท์ดาโก้กลับเก็บอาการฉุนเฉียวไว้ไม่ได้
“ท่านพ่อให้ท้ายหล่อนเกินไป ผู้หญิงหัวแข็งอย่างนี้ใครจะอยากได้ไปทำเมีย”
“แกเองก็อย่าเพิ่งลำพองใจ ถึงจะแต่งงานกับเลดี้มาร์กาเร็ตก็ใช่ว่าจะทำการใหญ่ได้สำเร็จ หากตระกูล เฟนนิ่งไม่สามารถซัพพอร์ตเราให้ไปสูงกว่านี้ได้ แกก็ต้องยอมเสียเมียไป”
“ท่านพ่อ!” ถึงคราวท่านเคาท์หนุ่มเอะอะบ้าง เพิ่งแต่งงานกับผู้หญิงที่รักมั่นมาได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ ใจคอบิดาจะให้เขากำจัดหล่อนทิ้งหรือ หึ! คนที่ต้องทุ่มเทให้หนักคือน้องสาวตัวดีนั่นต่างหาก ผู้หญิงฉลาดๆ ที่ไหนจะสนใจเรื่องงานมากกว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บ้าง เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครมาสอยลงจากคาน แล้วเสือผู้หญิงอย่างมาร์ควิสเซซิลมีหรือชายตาแล
“เรื่องเกว็นพ่อจะจัดการเอง แกรีบตามสืบเรื่องมือปืนให้เร็วที่สุด ฉันได้กลิ่นไม่สู้ดีนัก”
“ท่านพ่อเคยพูดว่ามาร์ควิสเซซิลมีศัตรูอยู่รอบทิศไม่ใช่หรือ?”
“ถึงจะใช่ฉันก็ไม่วางใจอยู่ดี ไม่ว่ามือปืนจะต้องการชีวิตเราคริส หรือมาร์ควิสเซซิล ก็อย่าได้ตัดประเด็น” ดยุคดาร์มินสำทับเสียงหนัก
“ครับ”
“อย่าลืมส่งคนตามไประวังอย่าให้พวกเขารู้ตัว”
“ครับ”
เมื่อเหลือตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง ดยุคดาร์มินก็เคลื่อนรถเข็นไปหยุดอยู่ริมหน้าต่าง มองหิมะที่โปรยปรายลงมาด้วยใจที่ขุ่นมัวเช่นเดียวกับท้องฟ้าสีหม่น เมื่ออะไรๆ ก็ไม่เป็นอย่างที่ใจคิด
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง มาร์ควิสเซซิลยืนพิงกรอบหน้าต่างห้องนอน มองฝ่าสนามสีเทาหม่นไปยังห้องเก็บฟืนหลังน้อยที่เหลือเพียงส่วนหลังคาโผล่ขึ้นมา ครั้นเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เขาก็หันกลับมามองสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในห้อง
ใช่แล้ว...นี่คือสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ เพราะนอกจากลูกตาดำขลับกลมโตที่กำลังจ้องเป๋งมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตายคู่นั้น อวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เหมือนถูกสต๊าฟไว้
เขาอายุสามสิบห้า พบเจอคนมาหลายประเภท มีทั้งเหล่าคนผู้กระหายอำนาจ คนวิกลจริต คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เหล่านี้ล้วนหล่อหลอมให้เขาแข็งแกร่งและกลายมาเป็นมาร์ควิสเซซิลในวันนี้
แต่...เพิ่งจะเคยอยู่กับเด็กปัญญาอ่อนเป็นครั้งแรก
อ้อ! เกือบลืม ไม่ได้ปัญญาอ่อนแต่สมองช้าเล็กน้อยเท่านั้น
คีนอซกำลังเตรียมม้า หลังจากทยอยขนสัมภาระที่จำเป็นไปไว้บนเกวียนเสร็จแล้ว รอจนดึกสงัดจึงจะออกเดินทาง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการถูกติดตาม
เขาชี้ไปยังถุงทะเลใบเล็กที่อยู่ตรงมุมห้อง
ลูกตากลมๆ สีดำเหลือบมองตาม
“คิดว่าจะแบกไหวไหม?”
ร่างในเสื้อโค้ทตัวเดิมพยักหน้าหงึก
“พูด...ไหวหรือไม่ไหว”
“ไหว”
แม้เสียงที่ผ่านริมฝีปากออกมาจะฟังดูแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจที่เธอมีการตอบสนองที่ดีขึ้น จากเดิมที่คิดว่าต้องรอให้เธอหยุดคิดเสียก่อนถึงจะได้คำตอบเหมือนเมื่อวันก่อน แต่ทฤษฎีการขู่ได้ผลกว่าการชมจริงๆ
จากนั้น เขาก็สั่งให้เธอไปแบกถุงทะเลถุงนั้นขึ้น ร่างผอมเกร็งเสียหลักไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามพยุงตัวยืนให้มั่นคง แล้วเขาก็สั่งให้เธอแบกมันขึ้นลงบันได
แม้ถุงทะเลถุงนั้นจะมีน้ำหนักไม่มาก แต่อลิซซึ่งสูงไม่ถึงหน้าอกของเขาซ้ำยังแทบจะเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกก็แบกจนหลังแอ่น เมื่อต้องเดินขึ้นเดินลงบันไดกว่าสิบขั้นอยู่หลายรอบ จึงเซไปเซมาจวนเจียนจะล้มอยู่หลายครั้ง
“เอาล่ะ! พอ” มาร์คควิสหนุ่มยกมือส่งสัญญาณให้หยุด มองร่างที่นั่งหอบลิ้นห้อยด้วยสายตาเหมือนกำลังประเมินสิ่งของเครื่องใช้บางอย่าง
โดยพื้นฐานเธอค่อนข้างจะคล่องแคล่วใช้ได้ เพียงแต่อดอยากหิวโซมานานจึงไม่มีเรี่ยวแรงเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม บาดแผลบนร่างกายบอกว่าเธอเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้ว คิดว่าเธอน่าจะสามารถเอาชีวิตรอดในการเดินทางครั้งนี้ได้เช่นกัน
“ฉันเป็นคนช่วยชีวิตเธอ เพราะฉะนั้น...ฉันจึงเป็นเจ้าของชีวิตเธอ ต่อไปนี้เธอจะต้องเชื่อฟังฉัน ฉันให้กิน เธอก็ต้องกิน ให้ทำอะไรก็ต้องทำ เข้าใจที่พูดไหม?”
“อือ...”
“ดี! เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนจะเดินทาง ลงไปหาอะไรกินในครัว กินให้อิ่มมากที่สุดแล้วนอนซะ ถึงเวลาแล้วฉันจะปลุก”
“อือ...”
อลิซยืดตัวขึ้นเกาะราวบันไดไว้แน่น เธอหอบจนซี่โครงบานและหายใจเกือบไม่ทัน ดังนั้นจึงตอบเขาได้เพียงส่งเสียงรับในลำคอ ก่อนจะแบกถุงทะเลกลับไปไว้ที่เดิมแล้วเดินลงไปยังห้องครัว
