บท
ตั้งค่า

บทที่ 11 ให้อลิซไปด้วยนะ

“เจ้าเด็กอ่อนหัด ฉันผ่านโลกมากกว่านายตั้งเท่าไหร่ ทำไมจะดูไม่ออกว่าเด็กนี่มีปัญหาที่ตรงไหน ฉันก็แค่สนุกที่ได้แกล้งนายเล่น แต่ถึงยังไงเราก็ต้องพาเธอไปด้วย ส่วนเธอจะรอดไปถึงแคปตอลทาวน์หรือไม่ก็สุดแล้วแต่ดวง บางทีเราอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เราต้องเริ่มเก็บเสบียงที่จำเป็น ขนสัมภาระให้น้อยที่สุด นายเอาจดหมายลาไปให้ท่านดยุคแล้วหารถม้าสภาพดีกลับมาด้วย”

“ครับ” ท้ายสุดเมื่อผลักเด็กนั่นออกจากชีวิตไม่สำเร็จ คีนอซก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำเสียงอ่อย

มาร์ควิสหนุ่มลุกขึ้นยืน ยามยืดตัวเต็มความสูงเช่นนี้แล้ว คีนอซก็ดูตัวเล็กไปถนัดตา ไม่ต้องพูดถึงอลิซที่ยืนอยู่ตรงประตูจนร่างแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับแผ่นไม้

“อลิซ เธอจะไปกับฉันไหม?”

คำถามนั้นทำให้เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ อยู่หลายครั้ง คล้ายกำลังทำความเข้าใจ ผ่านไปสักพักจึงได้พยักหน้า

“ดี! แต่ฉันมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง หากภายในสามวันนี้เธอไม่ยอมพูด ฉันจะ...ส่งเธอให้ทางการ” เขาพูดทิ้งท้ายแล้วพยักหน้าให้คีนอซตามกลับออกไป

ท้องฟ้ามืดมิดไร้หมู่ดาว มีเพียงกองหิมะที่เริ่มจะกลายเป็นเนินย่อมๆ บนสนามหญ้า ไม่เกินสามวันห้องเก็บฟืนจะจมอยู่ใต้กองหิมะ แต่เขาคงไม่รอให้ถึงวันนั้น

แม้จะถูกใจในความสวยของเลดี้เกว็น แต่เขาก็ยังไม่พร้อมจะแต่งงาน ซึ่งหากผลการแข่งขันวันนี้จบลงด้วยชัยชนะของเขา ย่อมหนีไม่พ้นข่าวลือว่าเขาจะมาเป็นเขยของท่านดยุคในไม่ช้า เพราะจุดประสงค์หลักที่ท่านดยุคเชิญเขาให้เดินทางไกลมาร่วมงานแต่งงานของบุตรชาย ก็เพื่อให้พวกเขาได้พบกันนั่นเอง

พบแล้วอย่างไร?

เธอสวย มีเสน่ห์ ฉลาดกว่าผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยรู้จัก หากแต่งงานกันจริงๆ คู่ของเขาจะต้องเป็นคู่ที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด มั่งคั่งที่สุด มีอิทธิพลที่สุด

แต่...เขารู้ดี เมื่อใดที่มีข้อแม้ นั่นคือไม่อาจยอมรับได้อย่างสนิทใจ และเขาจะไม่ดันทุรังจนกว่าจะไม่มีคำว่าแต่

อลิซก็เหมือนกัน เขารู้เธอไม่ได้เป็นใบ้ และต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอไม่ยอมพูด อะไรบางอย่างที่ท้าทายความอยากรู้ของเขาอย่างยิ่งยวด

เมื่อเหลือเพียงเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนผนังห้อง อลิซก็วิ่งไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างแล้ววิ่งกลับไปนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้อง ดวงตากลมโตฉายชัดถึงความหวาดหวั่นขณะหวนคิดถึงคำขู่ของผู้ชายตัวโตคนนั้น

เขาบอกให้เธอพูด เธอพูดได้หรือ? พวกเขาจะไม่ตัดลิ้นของเธอเหมือนกับ

ฮือๆๆๆ

เธอกะพริบตาถี่ๆ เพื่อกลั้นน้ำตา ครั้นมันหยดผ่านร่องแก้มลงมาเธอก็ใช้หลังมือป้ายมันออกเบาๆ

คนตัวโตไม่ชอบให้เธอร้องไห้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ให้เธอใส่เสื้อโค้ทตัวนี้ ส่วนคนที่ตัวเล็กกว่าก็จะไม่ให้เธอกินอาหาร

ขอเพียงพวกเขาไม่ตัดลิ้นของเธอ ไม่เอาของแหลมทิ่มลงบนหน้าอกของเธอก็พอ

“อือ...”

คืนนั้น ในห้องเก็บฟืนที่มีเพียงแสงตะเกียงวับแวม หิมะที่ห่อหุ้มทุกอย่างไว้ภายใต้ความเหน็บหนาว ร่างเล็กๆ ใต้ผ่าห่มยังคงพยายามไม่หยุดทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับมีเพียงเสียงครางฮึมฮัมในลำคอเท่านั้น

“มีคนลงมือชิงตัดหน้าเรางั้นหรือ?”

เสียงทรงอำนาจดังขึ้นในความมืด

แม้ผู้พูดจะมิได้บันดาลโทสะ ทว่าน้ำเสียงแหบห้าวทรงอำนาจกลับทำให้บรรดาบุรุษร่างสูงใหญ่ชุดดำที่ยืนอย่างเคารพนบนอบอยู่หน้าม่านเหงื่อตกกันถ้วนหน้า

“คะ...ครับ ฝีมือมันเหนือชั้นมาก สามารถจัดการคนของเราได้อย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน ฝ่ายนั้นเองก็ไม่รู้เช่นกัน”

“แน่ใจหรือว่าไม่ใช่คนของฝ่ายนั้น?” น้ำเสียงนั้นยังคงฟังดูเหมือนผู้พูดไม่ได้ใส่อารมณ์ ทว่าบรรยากาศกลับเย็นยะเยือกลงเรื่อยๆ

“แต่ว่ามันจงใจยิงคุณคริสนะครับ” ลูกสมุนคนหนึ่งรีบบอกด้วยน้ำเสียงแตกตื่น

“จงใจ? หึ! มันคนเดียวฆ่าพวกแกไปสามในพริบตา จะมีทางยิงคนที่อยู่บนหลังม้าพลาดรึ! ยังไม่เข้าใจอีกว่ามันแกล้งยิงเฉียดๆ เพื่อทำให้ฝ่ายนั้นระวังตัว อย่างพวกแกนี่สมควรตายจริงๆ”

บุรุษอีกคนที่ยื่นกอดอกเผชิญหน้ากับเหล่านักฆ่าอยู่หน้าม่าน ดูดไปป์เข้าไปจนสุดปอดแล้วพ่นออกมาอย่างฉุนเฉียว อุตส่าห์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าครั้งนี้พลาดไม่ได้ จึงได้ส่งคนไปถึงเจ็ดคน ไม่คาดว่าจะมีมือมืดโผล่ออกมาจัดการคนของเขาไปถึงสามคน ทั้งยังสามารถลากศพไปทิ้งลงในหุบเขาได้อย่างเงียบเชียบ ทำให้อีกสี่คนที่เหลือต้องถอนกำลังกลับโดยด่วนโดยที่แผนอุบัติเหตุยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ

“ตั้งทีมใหม่แล้วรอฟังคำสั่ง” เสียงทุ้มต่ำพูดเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย

“ครับท่าน” เขาผงกศีรษะรับคำสั่งอย่างนอบน้อม

“ท่าน! ท่านลอร์ดคาวารอน! ได้โปรด...ไว้ชีวิตพวกเราด้วย”บุรุษทั้งสี่คนคลานเข้าไปเกาะแข้งเกาะขาร่างสูงใหญ่ที่ใบหน้าเริ่มขมึงถึงเหมือนยักษ์ ก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วคนชุดดำอีกนับสิบคนก็เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง

ครั้นมือสังหารทั้งสี่ถูกนำตัวออกไป ลอร์ดแฟลงคลิน คาวารอน บุรุษร่างสูงใหญ่วัยสี่สิบเศษก็หันกลับไปหาผู้ที่นั่งอยู่หลังม่าน พร้อมทั้งคุกเข่าลงก้มหน้าสำนึกผิด

บุรุษที่นั่งอยู่ไม่ขยับเขยื้อนเพียงแต่ผินหน้ามาเล็กน้อย เผยให้เห็นเสี้ยวหน้าคมได้สัดส่วน จมูกโด่งเป็นสันงดงาม ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ใต้คางมีรอยแผลเป็นเล็กๆ รอยหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียงของเขาออกจะแหบห้าว และแม้จะนั่งอยู่บนรถเข็นทว่าทั่วทั้งร่างกลับแผ่รัศมีแห่งอำนาจกดดันออกมาขุมหนึ่ง

ยามนิ้วเรียวยาวขาวซีดเกาะขอบเก้าอี้เตรียมจะขยับตัว ลอร์ดคาวารอนก็รีบถลันเข้าไปประคองด้วยความตกใจ

บุรุษผู้มีกลิ่นอายสูงศักดิ์ปัดมือเขาออก พร้อมทั้งดึงฮู้ดสีทองลงจากศีรษะ เผยให้เห็นเส้นผมสีดำสลวยที่ยาวสยายลงไปจนถึงกลางหลัง คิ้วเข้มขมวดเป็นปมเช่นเดียวกับดวงตาคมหม่นเศร้าที่ฉายชัดถึงความสมเพชตัวเองออกมา

“เจ้าว่าข้าเหมือนคนพิการมากเลยหรือ?”

“เจ้าชายอเล็กซานเดอร์” ยามนี้บุรุษตัวสูงใหญ่หน้าตาดุดันกลับก้มศีรษะลงแทบฝ่าเท้าของเจ้าของนามเจ้าชายเล็กซานเดอร์แม้แต่คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป“กระหม่อมไม่บังอาจคิดเช่นนั้น ได้โปรดอย่าทรงเคืองพระทัย”

“อเล็กซานเดอร์ตายไปแล้ว ลืมไปแล้วหรือ?”

“กระหม่อมขออภัย ท่านแองกัส” ลอร์ดคาวารอนรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกใหม่ เพื่อมิให้บุคคลผู้สูงศักดิ์โกรธกริ้วจนกระทบกระเทือนถึงพระวรกาย

“ข้าอยากอยู่คนเดียว”

“พะยะค่ะ” เขาจำต้องล่าถอยออกไปอย่างช้าๆ

เมื่อได้ยินเสียงลูกบิดประตูและสิ้นสัมผัสถึงลมหายใจของผู้อื่น เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากรถเข็น มือของเขาควานไปด้านขวาเพื่อจับราวหน้าต่าง ก่อนจะพยุงตัวเองให้เดินกะโผลกกะเผลกไปทีละก้าวๆ

เขาได้กลิ่นของหิมะ กลิ่นชื้นของต้นหญ้าที่ถูกทับถมอยู่ใต้พื้นสีขาว รู้สึกถึงละอองอันเย็นเฉียบที่โปรยปรายลงมาจากฟ้า แต่แม้จะพยายามเขม้นตามองเท่าไหร่ก็เห็นแต่ภาพอันพร่ามัว

ชีวิตหลังผ่านความตายมาได้อย่างฉิวเฉียด ลอร์ดแฟลงคลิน คาวารอน คือผู้ที่พาเขาออกมาจากหลุมฝังศพ ทิ้งไว้เพียงพระนามที่สลักลงบนป้ายชื่อให้บุคคลรุ่นหลังๆ มาวางดอกไม้เพื่อแสดงความระลึกถึงพอเป็นพิธีเท่านั้น

เขาปัดปอยผมไปด้านหลัง ยามสัมผัสกับเส้นผมนุ่มลื่น เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ไฉนมันจึงได้ยาวเร็วนัก

ครั้นคลำไปจนถึงรอยนูนบนหนังศีรษะรอยหนึ่ง นิ้วเรียวยาวก็หยุดชะงัก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดท่วมใบหน้า

ก่อนจะครางออกมาด้วยความเจ็บปวด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel