บท
ตั้งค่า

3

“คุณผิงเธอ... เธออาละวาดอีกแล้วค่ะ”

คุณหญิงปทุมบ่นขณะเดินออกมารับบุตรชาย “อาละวาดทุกวัน จนแม่ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย”

“เดี๋ยวผมขึ้นไปดูน้องเองครับ”

คนพูดเดินเลยขึ้นบันไดแล้วตรงไปยังห้องแรกขวามือ ยกมือเคาะประตูบอก แต่พอแว่วเสียงดังเหมือนมีของแตกดังขึ้นมาอีกครั้งจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปในทันที พอเห็นสภาพภายในห้องเท่านั้น ถามน้องสาวหน้าเครียด แต่น้ำเสียงแฝงความเป็นห่วงอย่างที่สุด

“ยัยผิง เป็นอะไร ทำไมเขวี้ยงข้าวของแบบนี้”

หญิงสาวร่างผอมบางในชุดกระโปรงสีขาวโผเข้าซบพี่ชาย สะอื้นฟ้อง “เขาแอบไปหานังเด็กนั่นอีกแล้วค่ะ”

“เฮ้อ...ทำไมไม่คุยกันดีดีล่ะว่าจะเอายังไง ทำกันถึงขนาดนั้นเลิกๆกันไปพี่ว่าก็ดีนะ ไม่ใช่มาอาละวาดเขวี้ยงข้าวเขวี้ยงของ อีกอย่าง...เราก็เพิ่งอาการดีขึ้นนี่ผิง อาละวาดมากๆเข้าได้โดนแอดมิทอีกนะ”

ภีมบอกพร้อมมองร่างบอบบางซีดเผือดของน้องสาวตั้งแต่ใบหน้าจนไปถึงลำตัว นึกไม่พอใจชายผู้เป็นน้องเขยยิ่งขึ้น เมื่อจำได้ว่าน้องสาวสุดหวงแท้งลูกคนแรกคราวก่อนนั่นเพราะมีปากเสียงกับสามีจนล้มและตกบันไดลงมา ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่นาน นี่เพิ่งออกมาก็ร่ำๆจะมีเรื่องอีกแล้ว

“ไม่นะคะ ผิงไม่อยากเลิกกับโต ผิงรักโตค่ะพี่ภีม ผิงรักโต”

“แล้วยังไง สามีเธอเขาหมดรักเธอแล้วรึไง ถึงได้ดอดไปคบกับสาวรุ่นขบเผาะนั่นน่ะ”

“ผิงไม่รู้ค่ะ บางทีเขาอาจแค่ทำประชดผิง”

“แล้วเขาจะทำประชดผิงเรื่องอะไร”

“พี่ภีม! พี่อย่าคาดคั้นอะไรกับผิงนักได้ไหมคะ แค่นี้ผิงก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็นอนพักผ่อนเสีย พี่จะให้เด็กๆมาเก็บข้าวของพวกนี้ แล้วอย่าอาละวาดอีกล่ะ เดี๋ยวพี่จะให้เด็กเอายามาให้”

ภีมออกจากห้องของน้องสาวแล้วลงมาห้องข้างล่างอีกครั้ง

“เป็นไงหมอภีม น้องเราเป็นอะไรอีกละคราวนี้”

“เรื่องเดิมนั่นแหละครับ”

คุณกานดาเดินวนไปมากระวนกระวาย ปากบอกอย่างเดือดดาล “แล้วจะเอายังไง เลิกๆกันไปก็ดี น้องเราก็ใช่ว่าจะสิ้นไร้ไม้ตอกนะหมอ”

“ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกแต่รักเขามากจนไม่ยอมเลิกน่ะสิครับ”

“นังเด็กนั่นก็เหลือรับ ผัวเขายังจะให้ท่าให้ทาง นี่หมอภีมรู้ไหมว่านังเด็กนั่นลูกใคร บ้านช่องมันอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้หน้าด้านนัก”

“ผมเจอตัวแล้วครับ เด็กคนที่เป็นเมียน้อยนายโต แล้วผมจะลองคุยกับเธอเองว่าจะยอมไปจากนายโตไหม แลกกับเงิน กับความสะดวกสบาย ผู้หญิงไม่มีอะไรเลยแบบนั้นมีหรือจะไม่เอา คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

คุณกานดามองตามหลังบุตรชายที่เดินขึ้นห้องไป โล่งใจไปเปลาะที่ภีมออกตัวช่วยขนาดนี้ ก่อนจะนึกถึงบุตรรักต่อภีมนั้นภายนอกอาจดูสุขุมนุ่มลึก เป็นสุภาพบุรุษเต็มขั้น แต่ท่านรู้ดีแก่หัวใจว่าบทจะร้ายนั้นบุตรสาวที่ว่าร้ายนักหนายังไม่ได้เสี้ยวของพี่ชายเลยสักนิด

“พิม เข้าไปออฟเครื่องห้องริมให้พี่ที”

คนสั่งที่เป็นนักกายภาพบำบัดคนหนึ่งบอกแล้วเดินเข้าไปรับคนไข้ใหม่ที่เพิ่งพ้นประตูของแผนกเข้ามา พิมพ์นาราจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูหน้าห้องตามสั่ง ก่อนยกมือขึ้นเคาะประตูสามสี่ทีค่อยเปิดออก พบว่าคนไข้ในห้องหลับอยู่ เธอยืนเก้ๆกังๆแล้วจึงพูดขึ้นตามที่ถูกฝึกมา

“ขอโทษนะคะ เครื่องหยุดแล้ว ขออนุญาตปิดเครื่องให้ค่ะ”

เธอบอกเสร็จ เดินเข้าไปที่เครื่องปิดปุ่มเครื่องรักษาชนิดหนึ่งที่เธอยังจำชื่อมันไม่ได้ และแล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อคนที่นอนอยู่คว้าหมับแขนเธอไว้แน่น ผงกหัวขึ้นถาม

“เพิ่งมาใหม่เหรอ หน้าตาสวยนี่เรา ชื่ออะไร”

พิมนาราค่อยๆบิดแขนออกอย่างสุภาพแต่ไม่หลุด ตกใจจนหน้าเริ่มถอดสี เธอไม่เคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อน จะว่าเป็นคนโลกสวยก็ว่าได้ คิดว่าชายคนนี้อาจแค่อยากคุยด้วยเพียงเท่านั้น แล้วต้องมาจับแขนเธอเอาไว้ทำไมกัน

“พิมค่ะ ขอโทษนะคะ ปล่อยแขนดิฉันเถอะค่ะ”

“เดี๋ยวซี้ คุยกันก่อน”

คนพูดผุดตัวลุกนั่ง แล้วทำท่าจะสาวแขนเรียวบอบบางเข้าไปหา ถ้าไม่มีเสียงเคาะประตูขัดตาทัพเอาไว้เสียก่อน

“มีอะไรกันเหรอครับ”

คนที่เปิดประตูเข้ามาคือพลพล หรือพี่พล ผู้จัดการแผนกนั่นเอง

“ไม่มีอะไร แค่ถามน้องเขาว่ามาใหม่เหรอ ชื่ออะไร แค่นั้นเอง”

“พิม ออกไปดูคนไข้ใหม่ข้างหน้าไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

“อะไรกัน! ผมยังคุยกับน้องเขาไม่ทันจบ ก็มาให้น้องไปที่อื่น ไม่มีมารยาทกันเลยนะ ทำแบบนี้ผมจะฟ้อง...” ชายคนนั้นแสดงท่าทีวางก้าม ใบหน้าเริ่มแดงขึ้นทุกที

แต่พี่พลก็ยังคงสั่งเธอ

“พิมออกไปก่อนไป”

พิมนาราหลุดออกจากสถานการณ์ชวนอึดอัดจนได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้จัดการแผนก แอบพ่นลมหายใจ คิดไม่ถึงว่าจะเจออะไรทำนองนี้ นี่มันในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ จนหมดเวลาช่วงเช้าจึงถูกไล่ให้ไปพัก เธอเดินเข้า

ห้องพนักงานที่ถูกจัดแยกเอาไว้

พี่วิเปิดประตูตามเข้ามาเช่นกัน พอเห็นว่าเป็นเธอเลยถามขึ้น

“เบรกเที่ยงรึบ่ายน่ะเรา”

พิมนาราตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“เที่ยงค่ะ”

“ห่ออะไรมากินละวันนี้”

“ผัดกระเพราค่ะ พี่วิละคะ”

“พี่โทรสั่งร้านป้าดำเอาไว้แล้ว ข้าวที่ห่อมาน่ะปิดฝาเลย แล้วลงไปกับพี่”

“แต่...พิมมีข้าวมาแล้วนะพี่วิ”

“อันนั้นน่ะเอาไว้กินเย็น วันนี้เราต้องอยู่ถึงสามทุ่มนี่นา ไปเร็วๆ เดี๋ยวมื้อนี้ พี่เลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะพี่วิ พิมเกรงใจ”

“ไปเถอะน่า เป็นเด็กใหม่ต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ จำที่พี่พลบอกได้ไหม ไปเร็ว”

ทั้งหมดที่มีพี่วิ พี่เหมียวและพี่จาที่เป็นผู้ช่วยอีกสองคนรวมถึงตัวเธอลงไปกินข้าวเที่ยงด้วยกัน โดยมีพี่วิเป็นเจ้ามือในที่สุด

รอลิฟต์ที่เคลื่อนตัวลงมาจากชั้นบนพอประตูลิฟต์เปิดออก สาวๆที่ยืนคุยกันอย่างสนุกสนานหุบปากเงียบทันทีราวกับมีใครมาถอดปลั๊กออก แล้วพากันยืนขาแข็งตัวแข็งไม่มีใครกล้าเดินเข้าลิฟต์เลยสักคน

พิมนาราที่ยืนหันหลังให้ประตูเลยหันกลับมามอง เมื่อประสานสายตากับคนด้านในพลันตกใจไม่แพ้พวกพี่ๆที่เห็นว่าใครอยู่ในนั้นก่อนหน้านี้แล้ว

ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิร์ตสีฟ้าอ่อน ส่งยิ้มสุภาพแต่น่าเกรงขามมาให้ ก่อนจะทักทายเธอเป็นคนแรก

“สวัสดีพิมนารา”

คนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหลังพิมนาราสบตากันแล้วขมุบขมิบส่งสัญญาณถาม

‘ผอ.รู้จักกับยัยพิมได้ไงอ่ะ’

ก่อนจะพากันเดินตัวลีบเข้าไปลิฟต์อย่างเลี่ยงไม่ได้

ภีมถามด้วยท่าทางสบายๆแบบเดียวกับน้ำเสียงของเขา “พักเที่ยงกันแล้วเหรอ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel