2
ทันทีที่เห็นชายหนุ่มคนพูดชัดเจน เธอสะดุดลมหายใจ สะดุดสายตา หัวใจเต้นระรัวเร็วแรง ทั้งยังจ้องชายคนนั้นแน่นิ่งราวกับถูกสะกด
ปากได้รูปสวยสีชมพูอ่อนของเขาขยับพูดอย่างคนใจเย็น ยิ่งขยับพูดยิ่งน่ามอง สายตาคมคู่นั้นสีดำเข้มดูจริงจังน่าเกรงขามแต่กลับดูขี้เล่นอยู่ในที ท่วงท่าการเดินเหินดูสุภาพมีมารยาทแต่ก็ดูมีอำนาจราวกับราชสีห์ในป่าใหญ่
มองอยู่อย่างนั้นจนเพลินไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรเมื่อคนอื่นๆพากันหันมามองที่เธอกันเกือบหมดทั้งห้องโถง
แล้วหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็สะกิดบอก “ผอ.ถามเธอแน่ะ”
หัวใจของพิมนาราสั่นไหวกระตุกวูบวาบ ใบหน้าร้อนฉ่าราวกับถูกนาบด้วยไฟ เธอตะกุกตะกักถามกลับไปอย่างประหม่าเต็มที
“คะ อะไรนะคะ”
คนถามยิ้มแล้วทวนคำถามให้อีกครั้ง “ผมถามว่าทำไมถึงขึ้นมาช้าครับ”
“ดิฉัน เอ่อ…” เธอไม่กล้าบอกว่าไปทำธุระให้ผู้จัดการแผนกมา จึงตอบแบบอึกๆอักๆอยู่อย่างนั้น “ดิฉัน…เอ่อ...คือ...ดิฉัน…”
“โอเค ไม่เป็นไร...เอาละครับทุกคน พวกเราพักเบรคกันสิบห้านาทีพอไหม แล้วสิบโมงห้าสิบห้าเราเจอกันอีกครั้งก่อนมื้อเที่ยง เชิญครับ”
พนักงานทุกคนยกเว้นชายคนนั้นรวมกลุ่มกันร้องเพลงปลุกใจอะไรสักอย่างอย่างอย่างที่เธอตามไม่ทัน ก่อนแยกย้ายกันไปจัดการกับอาหารเบรคที่มีชา กาแฟและขนมปังกินแบบง่ายๆที่โต๊ะยาวทางด้านหน้าห้องโถง คนที่สะกิดเธอก่อนหน้านี้หันมาถามเมื่อหยิบอาหารเบรคของตนเองแล้ว
“ชื่ออะไรน่ะ”
“เราเหรอ พิมจ้ะ เธอล่ะ”
“เราชื่อสา สุริสา อยู่ห้องยา เพิ่งเข้ามาทำงานเหรอ”
“อืม...จ้ะ”
สาวห้องยาวางของเบรกที่กัดไปได้ครึ่งชิ้นลงบนถาดในมือทันที ตาเบิกโต ใบหน้าที่แต่งเอาไว้อย่างดีออกสีแดงระเรื่อนิดๆ พยายามออกเสียงทั้งๆที่ปากไม่ขยับด้วยความชำนาญ
“แอ๊...ผอ.มา”
ชายร่างสูงสง่าในชุดเสื้อโปโลกางเกงยีนสีเข้ม รองเท้าหนังสีน้ำตาลดูเข้าชุดกันราวกับดารานักแสดง เดินทักทายมาเรื่อยๆจนมาหยุดตรงที่เธอและสุริสา
“พิมนารา...เหรอ”
เสียงอบอุ่นพึมพำคล้ายถามชื่อเธอพร้อมมองแผ่นป้ายที่เขียนชื่อจริงห้อยตรงคอ เจ้าของชื่อขาแข็งยืนนิ่งราวกับถูกตะปูตอกเท้ากับพื้น ฝืนยิ้มด้วยความประหม่าเหลือกำลังรับคำแผ่วเบา
“ค่ะ”
เสียงเข้มของคนตรงหน้ายังคงถามต่อ เหมือนเธอจะคิดมากเกินไปว่าเขารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“นามสกุลอะไร”
และเธอก็ตอบออกไปแทบจะทันทีแบบไม่ต้องคิด มันจึงดูตลกเหมือนเล่นถามตอบแข่งกับเวลาอย่างไรอย่างนั้น
“อมรารัตน์ค่ะ”
ตาคมสีเข้มแปรเปลี่ยนไปเพียงครู่ ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าให้ เขาเดินเลยไปยังพนักงานคนอื่น พิมนาราพ่นลมหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก สุริสาที่ถือขนมไว้ในมือยืนข้างๆพึมพำแบบเพ้อๆ
“หมอภีมหล่อเนอะ”
พิมนาราที่มีโอกาสได้ยกเครื่องดื่มในแก้วขึ้นจิบ ย้อนถามด้วยความอยากรู้ “หมอเหรอ”
“อื้ม เป็นหมอ แต่เพิ่งลงมาบริหารงานที่นี่ปีนี้ปีแรก หลังจากที่ทำให้สาขาอื่นทะลุเป้ามาหมดแล้ว” สุริสาเล่าอย่างคล่องแคล่วแบบท่าทีของตนเอง
“เป็นหมอ แล้วก็ เป็นนักธุรกิจรูปหล่อในคนเดียวกัน อะไรจะเพอร์เฟคขนาดนี้เนี่ย...”
“...อือ”
พิมนาราครางรับอย่างเห็นด้วย แอบชำเลืองหมอในหัวข้อสนทนาที่กำลังยืนคุยกับพนักงานคนอื่นๆอย่างเป็นกันเองไม่ถือตัวเลยสักนิด
“ไม่น่าเชื่อนะว่าจะเจ้าชู้ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ ดูอบอุ่นแบบนี้ แถมยังมีแฟนเป็นหมอเหมือนกัน ชื่อหมอพา จะเจ้าชู้ได้ยังไง เราคนหนึ่งละไม่เชื่อเด็ดขาด” คนเล่าเล่าต่ออย่างกับเป็นคนในครอบครัว แถมยังแสดงตัวเข้าข้างอย่างออกหน้าออกตาจนคนฟังอย่างเธอคล้อยตามไปด้วย
เสียงทุ้มละมุนหูนั่นยังวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของเธออยู่เลย
ก่อนจะดึงสติเข้าไปในห้องโถงเพื่อทำกิจกรรมที่เหลือต่อ จวบจนหมดวัน พิมนาราจึงได้ลงมาที่แผนกอีกครั้ง เป็นเวลาเลิกงานพอดี ก่อนกลับเธอต้องไปทำความเข้าใจกับกฎระเบียบของที่นี่เพิ่มเติมในส่วยที่ยังไม่รู้ละเอียด รวมถึงคำศัพท์ทางแพทย์อย่างง่ายและจดตารางเวรเดือนนี้ทั้งเดือน ค่อยออกมาเมื่อเลยหกโมงเย็นไปไม่กี่นาทีแล้วจึงแวะซื้อของกินสองสามอย่างที่ป้ายรถเมล์ก่อนกลับ
พอเปิดประตูเข้ามาก็เห็นณภัทรวางสายลงส่งยิ้มมาให้ที่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน
“อ้าวพี่โต มาตั้งแต่เมื่อไรคะ”
ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวสะอาดตอบพร้อมเดินมารับของจากเธอ
“สักพักแล้วล่ะ”
“แม่ละคะ”
“อยู่ในบ้านนู่นแน่ะ ได้ยินว่าเย็นนี้จะทำของโปรดให้คนกินจุ ฉลองทำงานวันแรก”
“จริงน่ะ...พิมก็ซื้อกับข้าวมาแล้วนะ งั้นไปค่ะ เราเข้าบ้านกันเถอะ พิมหิวจะตายอยู่แล้ว”พิมนาราชะงักแล้วนึกขึ้นได้ หันมาพูดหน้าตาบึ้งตึง “อ้อ... พิมบอกแล้วไงว่าอย่าซื้ออะไรให้พิมอีก โทรศัพท์นี่รุ่นใหม่ล่าสุดเลยไม่ใช่เหรอคะ”
“พี่อยากให้ มีอะไรหรือเปล่า”ณภัทรว่าแล้วยักคิ้วให้ข้างหนึ่งอย่างกวนๆ
“เฮ๊อะ! แล้วอย่ามาบ่นนะถ้าพิมจะขอเครื่องเพชรสักชุด รถสักคัน บ้านหรูๆสักหลังน่ะค่ะ”
“เยอะนะเราน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ
พิมนารายิ้มสดใสตอบกลับเช่นกันก่อนควงแขนชายหนุ่มเดินเข้าบ้านไป
ณภัทรและเธอรู้จักกันได้วันนี้ครบสี่ปีแล้ว หลังจากบังเอิญพบกันเพราะอีกฝ่ายไปพบเพื่อนที่เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนของเธอหลังจากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา
ณภัทรแต่งงานแล้วกับลูกสาวคนเล็กของเศรษฐีมีชื่อเสียงตระกูลหนึ่ง ท่าทางไม่มีความสุขนักเพราะถูกบ้านนั้นดูถูกอยู่ตลอดเวลา หาว่าไปเกาะลูกสาวเขากิน จริงเท็จแค่ไหนเธอไม่ถามให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจและไม่สมควรจะถามอีกด้วย ค่อยลงมือกินมื้อเย็นด้วยกันสามคนพร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุขทั่วใบหน้าแบบทุกที
เพล้ง!
เสียงเครื่องแก้วปาใส่ผนังดังลั่นบ้าน จนคนที่เพิ่งมาถึงขมวดคิ้วมุ่น
“ใครเป็นอะไรอีกล่ะ”
คนรับใช้ที่ยืนตาลีตาเหลือกอึกอักตอบ
“คุณผิงเธอ... เธออาละวาดอีกแล้วค่ะ”
