บทย่อ
‘อรพิมพ์’ ที่ต้องประสบภาวะซึมเศร้าและพร้อมจะฆ่าตัวตายอยู่ตลอดเวลาเหตุเพราะสามีตีตัวออกห่างไปหาเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อ 'พิมนารา' ภีม เป็นพี่ชายของ อรพิมพ์ เขาคือคุณหมอหนุ่มนักธุรกิจที่รักน้องมากเกินกว่าจะปล่อยให้ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นลอยนวลเสวยสุขบนความโศกเศร้าของอรพิมพ์ได้จึงคิดหาทางจัดการกับคนคู่นี้ ภีมดึงพิมนาราเข้ามาอยู่ในวงโคจรของเขาหลอกล่อและล่วงเกินร่างกายและจิตใจของพิมนารา ทั้งๆที่ภีมเองก็มี ‘พิมพา’อยู่ข้างกายของเขา แต่เมื่อความจริงปรากฏ กลับทำให้ภีมถึงกับหัวใจสลายร้าวรานจนไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะเข้าใจพิมนาราผิดไป แม้คิดกลับไปแก้ไขก็ดูเหมือนจะสายเกินไปเสียแล้ว เพราะพิมนาราหายไปอย่างลึกลับพร้อมกับร่างกายและหัวใจอันแสนบอบช้ำจากการกระทำของเขาเอง ที่สำคัญกว่านั้นคือเธอเอาลูกของเขาติดท้องไปด้วย!
1
“นิชาขอโทษค่ะหมอ นิชาทำไปเพราะ...เพราะ...รักหมอนะคะ”
เสียงหวานออดอ้อนของดาราสาวสวยอนาคตไกลที่กำลังโด่งดังถึงขีดสุดในตอนนี้ บอกกับร่างสูงสง่าที่ยืนหันหลังใส่เสื้อจนเรียบร้อยแล้วเลยหยิบเช็คเงินสดวางไว้ให้ตรงปลายเตียงนอน บอกเสียงเรียบดั่งมหาสมุทรยากจะหยั่งให้ถึงก้นบึ้งของจิตใจเขาว่า
“เราตกลงกันแต่แรกแล้วนิชา คุณล้ำเส้นเอง”
“โอเคค่ะ นิชายอม นิชาจะไม่งอแงอีกแล้ว นิชาสาบานเลยค่ะว่าจะไม่โพสต์ภาพในทำนองว่าไปไหนมาไหนกับหมออีก คนจะได้ไม่รู้ว่าเราคบกันไงคะ หมอให้โอกาสนิชานะคะ...นะ...นะ”
“เท่าที่ผมจำได้...เราไม่เคยคบกันเลยนะนิชา คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ภีมแค่นยิ้มบอกด้วยวาจาร้ายกาจ ค่อยเปิดประตูออกจากคอนโดส่วนตัวของเขาไป
เขาพอใจกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยเช่นนี้ ชอบแค่ความสวยชั่วครั้งชั่วคราวของผู้หญิงที่เต็มใจมอบให้ เสพย์จนพอแล้วก็หมดสนุกและเลิกรา ทางใครทางมัน นิสัยส่วนตัวที่เป็นคนขี้เบื่ออย่างไรก็ยังคงเป็นแบบนั้น แก้ไม่หายเสียที
แล้วยกโทรศัพท์ต่อสายหาผู้ช่วยส่วนตัวพอปลายสายรับจึงกรอกเสียงลงไปอย่างที่เคยทำทุกที
“จัดการปิดข่าวให้เรียบร้อย ขายห้องชุดนี้เลย เงินที่เหลือ...โอนให้เธอไป”
คุยสายสั่งงานจนจบ
ภีมเดินจนมาถึงรถหรูที่จอดอยู่ในชั้นเดียวกันพอดี เขาเปิดประตูขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยก่อนบิดคอซ้ายขวาไล่ความเมื่อยขบ
เช้านี้เขามีประชุมองค์กรทั้งวันเสียด้วยสิ
นึกแล้วยิ้มให้กับตนเองที่ใช้ชีวิตคุ้มเกินคุ้ม
เจ็ดวันในหนึ่งสัปดาห์เขาทำงานทุกวัน แต่ละวันหมดกับการทำงานไปถึงสองส่วนสามของเวลาเต็มวัน แทบจะนับเวลาพักผ่อนได้ว่าไม่มากเท่าไรนัก
เขาจึงต้องผ่อนคลายตามอย่างที่ใจต้องการ อาจเป็นปาร์ตี้ส่วนตัวริมสระที่ไหนสักที่ หรือหมดไปกับสาวสวยประวัติดีสะอาดสะอ้านสักคน
ที่สำคัญต้องไม่ผูกพันธุ์ ไม่ผูกมัดนั่นคือข้อตกลงข้อเดียวของเขา
แล้วออกรถตรงดิ่งสู่จุดหมายเบื้องหน้า
สายตาคมเหลือบมองสายเรียกเข้าจากดาราสาวที่เพิ่งสลัดทิ้งเมื่อครู่ นิชายังพยายามโทรเข้ามาจึงทำให้เขาเสียการควบคุมรถที่ขับลัดเลาะเข้าซอยทางลัดหนีรถติดในช่วงเช้าสู่ที่หมาย จนรถเขวเกือบออกนอกเลนจะชนคน
แต่พอมองผ่านกระจกมองหลังเห็นเป็นหญิงสาวคนหนึ่งริมถนนกำลังก้มหน้ากับจอโทรศัพท์ไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นอะไรเลยเปลี่ยนใจ
นึกค่อนที่คนยุคนี้ให้ความสำคัญกับมันมากจนเกินพอดี และหญิงสาวคนนั้นก็คงเป็นอีกคนที่เป็นหนึ่งในสังคมก้มหน้า
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่แคร์ หยิบโทรศัพท์ปิดเครื่องโยนทิ้งไปที่เบาะหลังทันทีแล้วขับรถต่อไป
“ขับรถอะไรแบบนี้เนี่ย จะชนคนอื่นเขาอยู่แล้ว”
พิมนาราบ่นงึมงำไล่หลังรถที่เกือบเฉี่ยวชนเธอเมื่อครู่ พร้อมกับเอาโทรศัพท์ใส่เข้าไปในกระเป๋าดังเดิม
เมื่อครู่เธอตกใจที่กระเป๋าสั่นไม่พอยังตกใจที่เกือบโดนรถหรูคันเมื่อครู่เฉี่ยวเข้าให้อีก ก่อนจะส่ายหัวอย่างระอา พวกคนรวยคงไม่สนใจสินะว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้ใครเดือดร้อนบ้าง มือยังคงควานในกระเป๋าใบย่อมแล้วก็เจอเข้ากับโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่ณภัทรแอบเอามาใส่ไว้ตอนไหนก็ไม่รู้
บอกแล้วว่าอย่าซื้ออะไรให้ ไม่เคยฟังคำเธอบ้างเลย
เพิ่งหกโมงสี่สิบห้าเท่านั้น ที่พิมพ์นาราออกจากบ้านเช่าในซอย เธอกำลังจะรอขึ้นรถประจำทางเพื่อไปยังโรงพยาบาลเอกชนมีชื่อ ซึ่งเปิดให้บริการไม่นานมานี้และรับสมัครพนักงานเพิ่มอีกหลายอัตรา
หญิงสาวเพิ่งเรียนในระดับปริญญาตรีได้แค่ปีเดียว ก็ต้องออกเนื่องจากสูญเสียบิดาที่เป็นเสาหลักของครอบครัวไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ส่วนมารดาของเธอนั้นร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก เงินประกันชีวิตที่ได้รับจากการสูญเสียบิดา ส่วนใหญ่หมดไปกับค่ารักษาพยาบาลที่ค่อนข้างสูงของมารดา
เธอจึงตัดใจออกจากมหาวิทยาลัย โดยบอกคนเป็นแม่ว่าแค่ดร็อปเอาไว้ก่อนเพราะขี้เกียจเรียน แล้วเตร่หางานอยู่นานโขจึงได้ในที่สุด
หลังจากส่งใบสมัครทางอินเตอร์เน็ตไม่กี่วัน ฝ่ายบุคคลก็โทรศัพท์ตามให้ไปสัมภาษณ์งาน เธอลงสมัครในตำแหน่งผู้ช่วยเหลือทั่วไปที่ดูเหมือนจะไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษาอะไรมากมายนัก แล้วเธอก็ถูกจัดให้เป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในแผนก PM&R
ทันทีที่มาถึง พิมนาราเดินเข้าไปในตึกสูงกลางเมืองอันเป็นที่ตั้งของที่ทำงานเธอเข้าลิฟต์ของพนักงานกดเลขชั้นที่สิบสองเพื่อไปที่แผนกของเธอ ไฟหลายดวงยังคงปิดมืด เพราะยังไม่ถึงเวลาให้บริการ
พลันเสียงเสียงหนึ่งก็ดังทะลุแทรกเสียงของเครื่องปรับอากาศจนทำให้พิมนาราสะดุ้งตกใจ
“เด็กใหม่ใช่ไหม”
พิมนาราเหลียวซ้ายแลขวามองซ้ายขวาหาต้นตอของเสียงจนพบ ก่อนผุดรอยยิ้มนอบน้อมตอบรับ “ค่ะ”
หญิงสาวหน้าตาท่าทางดูดีคนที่ทักเธอ กำลังบรรจงแต่งหน้าอ่อนๆตรงกระจกเงาภายในห้องของพนักงาน ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองผูกมิตร
“กินข้าวเช้ามารึยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“นั่งก่อนสิ ชื่ออะไรล่ะเราน่ะ”
“พิมค่ะ”
“พี่ชื่อวิ เอ๊ะ! วันนี้มีประชุมองค์กร ผู้บริหารพบพนักงานด้วยนี่นา ไปดูชื่อที่เคาน์เตอร์ไป ว่ามีชื่อของเรารึเปล่า”
พิมนารายิ้มค่อยลุกจากเก้าอี้ที่เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งได้ไม่ถึงนาทีเดินย้อนกลับไปยังที่ที่อีกฝ่ายบอก
ที่นี่ค่อนข้างเข้มงวดเธอคิด ก่อนจะรู้สึกเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงวันก่อน เธอต้องผ่านการตรวจร่างกายและอบรมพนักงานใหม่อยู่สามวัน พอเริ่มงานวันแรกก็ต้องขึ้นประชุมองค์กร เพื่อฟังผู้บริหารพ
พนักงาน ที่มักจัดขึ้นทุกๆสามเดือนตามคำบอกเล่าของพี่วิ
และเพราะต้องวิ่งไปมาถ่ายเอกสารให้ผู้จัดการแผนก จึงทำให้เธอขึ้นห้องประชุมสายกว่าคนอื่น จนกลายเป็นเป้าสายตาขณะเดินเข้าไปในนั้น
ชายที่ยืนตรงด้านหน้าสุดถือเลเซอร์พอยเตอร์ เขาเงียบแล้วมองจนเธอหาที่นั่งนั่งลงได้จึงเริ่มพูดต่อไป แต่หญิงสาวไม่มีเวลาพิศมองชายคนนั้น เธอหยิบเอกสารที่ได้รับแจกก่อนเข้าห้องเปิดดูคร่าวๆ
“อย่างที่ผมบอกพวกเราทุกคน ว่าสามเดือนต่อจากนี้ เราต้องช่วยกัน เพื่อยอด เพื่อโบนัสปลายปีนี้นะครับ”
พิมนาราได้ยินประโยคดังกล่าวนั้นแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองคนพูด
ทันทีที่เห็นชายหนุ่มคนพูดชัดเจน เธอสะดุดลมหายใจ สะดุดสายตา หัวใจเต้นระรัวเร็วแรง ทั้งยังจ้องชายคนนั้นแน่นิ่งราวกับถูกสะกด

