ตอนที่3 ติดค้าง
“มองฉันพอหรือยัง” เสียงราบเรียบของเวหาดังขึ้นโดยที่สายตากำลังมองแก้วเหล้าในมือที่เขาหมุนวนอยู่
“ทำไมบอสถึงมากินเหล้าที่นี่คะ” ณิลินน์ปรับสายตาของตัวเองหลังจากถูกจับได้ก่อนจะตั้งคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบกับเขาอีกครั้ง
“เธอเคยรู้สึกผิดหรือติดค้างต่อใครไหม” อีกครั้งที่เธอไม่ได้คำตอบจากเขาแต่กลับได้คำถามกลับมาแทน และมันก็เป็นแบบนี้เกือบทุกครั้งเวลาที่เธอมีคำถามอะไรกับเขาที่นอกเหนือจากเรื่องงาน นอกจากเธอไม่ได้คำตอบแล้วเธอยังต้องเป็นฝ่ายถูกถามกลับมาอีกครั้ง
เพียงแต่คำถามนี้ของเขา…
“ไม่ค่ะ” ณิลินน์ตอบกลับไปอย่างไม่เสียเวลาคิดเพราะเธอไม่อยากคิด ไม่อยากคิดถึงอะไรที่เธอเฝ้าบอกให้ตัวเองลืมมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“เป็นเธอนี่ดีจริงๆ นะ” เวหาพูดขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองหน้าณิลินน์ด้วยสายตาเรียบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใด
“.....” ณิลินน์มองสบตากับเขาด้วยความรู้สึกสับสน ดวงหน้าของเขาไม่มีส่วนไหนเลยที่เธอรู้จัก ชื่อนามสกุลของเขาก็ไม่มีอะไรเลยที่เธอรู้จัก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอเผลอตัวลอบมอบหน้าเขาบ่อยๆ ก็คือดวงตาของเขา ดวงตาที่เธอเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่มองเท่าไหร่ก็มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักเขา
“หน้าฉันเป็นยังไง” ไม่พูดเปล่าแต่ใบหน้าหล่อเหลากลับขยับยื่นมาใกล้เธอจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของเขาหลังจากพ่นคำถามออกมา
“เปล่าค่ะ...”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมองฉันด้วยสายตาแบบนี้” ไม่ปล่อยให้เธอปฏิเสธแล้วจะลุกหนีไปอย่างที่หวัง ฝ่ามือใหญ่รั้งแขนเล็กของเธอไว้ก่อนจะถามย้ำออกมาถึงสิ่งที่เขารู้มาตลอดว่าหนึ่งเดือนที่ทำงานด้วยกันมาถูกเธอลอบมองกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง และมองด้วยสายตาแบบนี้ตลอด
“ขอโทษค่ะ” ณิลินน์ที่ถูกจับได้ก็เอ่ยขอโทษออกไปอย่างเสียหน้าไม่น้อย
“หน้าฉันมีอะไรอย่างนั้นเหรอ ทุกครั้งที่เธออยู่ต่อหน้าฉันถึงเอาแต่มองไม่หยุด” เวหายังไม่ปล่อยและถามเธอออกไปเพื่อเอาคำตอบ
“ฉันก็แค่รู้สึกเหมือนเคยรู้จักบอสมาก่อน” แล้วเธอก็ตัดสินใจพูดสิ่งที่รู้สึกออกไป
“อย่างนั้นเหรอ...”
“งั้นลองดูดีๆ แล้วตอบมาสิว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อนจริงหรือเปล่า” อีกครั้งที่ใบหน้าหล่อขยับยื่นหน้าของเขาไปใกล้เธอมากกว่าเดิมแล้วพูดขึ้นมองหน้าเธออย่างไม่ละสายตา
“มะ...ไม่เคยค่ะ” ณิลินน์มองเขากลับเล็กน้อยก็เบือนหน้าปฏิเสธออกมาทันที
และนี่คือสิ่งที่เธอก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน กล้ามองเขาแค่ตอนที่เขาไม่มองเธอ พอเขาสบตากับเธอ เธอกลับกล้ามองเพียงครู่เดียวเท่านั้นทั้งที่ปกติเธอก็ไม่ใช่คนจะหลบสายตาใครง่ายๆ
ทำไมถึงได้รู้สึกกลัวแบบนี้ด้วยนะ
“คิดดูดีๆ ก่อนสิ ฉันอาจจะเป็นคนที่เธอเคยรู้จักจริงๆ ก็ได้” แต่เวหากลับไม่ยอมขยับออกแล้วพูดให้ราวกับกดดันเธออยู่
“บอสหมายความว่ายังไงคะ” ณิลินน์ได้ยินคำพูดแปลกๆ ของเขาก็หันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้งแล้วถามอย่างไม่เข้าใจและอยากรู้ว่าเขากำลังสื่ออะไรในคำพูดหรือเปล่า
“ไม่ได้หมายความว่ายังไง แค่กำลังบอกให้เธอมองหน้าฉันแล้วคิดให้ดี เผื่อจะคิดออกว่าใช่หรือไม่ใช่” เวหาตอบออกไปในความหมายของเขาที่ไม่ได้สื่ออะไรไปมากกว่านี้เลยสักนิด
“ไม่หรอกค่ะ ฉันน่าจะคิดมากไป” ณิลินน์ได้ยินคำพูดของเขาก็รู้ว่าเธอคิดมากไปก่อนจะตอบย้ำออกไปอีกครั้งว่าไม่รู้จักเขาจริงๆ
“แบบนั้นก็ได้” ครั้งนี้เขายอมผละออกแล้วพูดขึ้นสั้นๆ
“.....” แต่คำพูดของเขากลับทำให้ณิลินน์หรี่ตามองเขาอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดที่มันฟังดูแปลกหูไม่น้อย คำพูดที่ไม่คิดว่าคนทั่วไปจะใช้เป็นประโยคสนทนากันราวกับคนละเรื่องเดียวกัน
ครืดด! เสียงโทรศัพท์ของณิลินน์ดังขึ้นจากการสั่นสะเทือนบนโต๊ะกลางทำให้เธอละสายตาจากเวหาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาดูหน้าจอแล้วเดินเข้าห้องนอนของตัวเองไปรับสายที่เธอไม่ได้ติดต่อหาตั้งแต่ออกจากบ้านมา
“อืม”
(กลับมาขอโทษพ่อเถอะ) เสียงปลายสายไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่ชายของเธอเอง
“ขอโทษแล้วยังไงล่ะ พี่นนท์คิดว่าตอนนี้พ่อจะสนใจเรื่องของลินน์หรือไง” เธอย้อนถามพี่ชายกลับไปอย่างที่ต่างก็รู้จักพ่อตัวเองดีเพราะหากพ่อสนใจเธอจริงคงจะให้ใครติดต่อหาเธอตั้งแต่แรกๆ แล้ว แต่การปล่อยผ่านมาเป็นเดือนแล้วพึ่งติดต่อมา เธอเดาได้เลยว่า...
(รู้ไหมว่าตอนนี้บริษัทกำลังแย่ ถ้ายังแก้ไขอะไรไม่ได้ในเร็วๆ นี้อาจจะถูกยื่นฟ้องล้มละลาย) ปลายสายถามเธอขึ้น
“รู้สิ ถ้าไม่รู้ลินน์จะยอมถูกพ่อบีบให้แต่งงานแบบนั้นเหรอ” เพราะเธอรู้ดีว่าบริษัทถึงขั้นวิกฤตแล้วจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักกันเลยสักนิด คนที่เอาแต่มองเธอด้วยสายตาที่ชวนสะอิดสะเอียนไม่ปกปิดความอยากครอบครองร่างกายของเธอเลยสักนิด
(อย่างน้อยก็กลับมาขอโทษพ่อสักหน่อยเถอะ ลินน์ก็รู้ว่าทุกอย่างที่พ่อทำก็เพื่อทุกคน) ปลายสายยังคงพูดเหมือนเดิมไม่หยุด
“ลินน์ไม่กลับ เพราะลินน์รู้ว่าถ้ากลับไปชีวิตลินน์จะเป็นยังไง...”
“ลินน์เคยเชื่อใจพี่นนท์ที่สุด แต่พี่นนท์อย่ากลายเป็นผู้ชายเหมือนพ่อได้ไหม อย่าให้ลินน์ต้องหมดหวังกับพี่ไปอีกคน” ณิลินน์ตอบอย่างเด็ดขาดก่อนจะพูดความรู้สึกของตัวเองที่ยังมีหวังอันริบหรี่ต่อพี่ชายและวางสายไปทันที
กลับไปเหรอ งานแต่งที่ถูกประจานคลิปแบบนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะแร่ไปขายให้ใครถูกๆ ก็คงไม่มีใครเอา กลับไปขอโทษพ่อในขณะที่ครอบครัวอาจจะล้มละลายภายในไม่กี่เดือนนี้ แบบนั้นไม่เท่ากับว่ากลับไปให้พ่อบีบบังคับให้เธอไปอยู่กับใครสักคนเพื่อแลกกับเงินมาหมุนหรอกเหรอ
ผู้ชายที่เคยอบอุ่นและรักครอบครัวอย่างพ่อของเธอ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวและธุรกิจกลับเหมือนปีศาจตนหนึ่งที่ละทิ้งความเป็นพ่อและขายลูกสาวได้อย่างใจดำ และตอนนี้เพื่อรักษาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่พี่ชายเธอก็กำลังจะกลายเป็นเหมือนพ่อ หลอกล่อให้เธอกลับไปเพื่อเป็นสินค้าแลกเงินอย่างไร้ทางเลือกอีกครั้ง
เธอไม่อยากเห็นแก่ตัวแบบนี้เลยสักนิด แต่สุดท้ายณิลินน์ก็ตัดสินใจปิดกั้นเบอร์ของครอบครัวเธอทุกคน ปิดกั้นอย่างที่เธอเองก็รู้สึกผิดและเสียใจไม่น้อยเหมือนกัน
“เอาแก้วมาดื่มด้วยกันสิ” หลังจากเธอปรับอารมณ์ของตัวเองเสร็จก็เดินออกมาข้างนอกอีกครั้งผู้เป็นเจ้านายที่เหมือนรู้ใจก็พูดขึ้น
และมันก็ทำให้ณิลินน์เลือกจะเดินไปหยิบแก้วมาอีกใบก่อนจะชงเหล้าตรงหน้าดื่มอย่างรู้สึกอัดอั้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เธอได้ตัดสินใจทำอย่างเห็นแก่ตัว
