บทที่ 4
แม้จะกลัวอันตรายจากทุกๆ คนในหมู่บ้าน แต่โรสก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เธอไม่อยากนอนรออยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย นั่นเพราะใจห่วงพ่อ แม่และน้องสาวมาก มากกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้ทั้งสามไปอยู่ที่ไหน
แม้จะยังคงสับสน ไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงกลายเป็นหมาป่า และไม่รู้ว่าตอนนี้ เธอจะต้องทำยังไง ถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ตามที
“พ่อ แม่ ฮันน่า” เสียงตะโกนของโรสดังขึ้นทั่วผืนป่า ก่อนจะรีบวิ่งจากไป พร้อมๆ กับการสอดส่องมองหาครอบครัวไปด้วย แม้เรี่ยวแรงที่มีจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไป แต่ถึงอย่างนั้นโรสก็ฝืนที่จะไปต่อ
กระทั่งเดินลัดเลาะผ่านกำแพงรั้วที่ทอดยาวมาได้ ก็ต้องหยุดชะงัก นั่นเพราะสายตามองไปเห็นบางอย่างเข้า เงาไกลๆ นั่น ช่างเหมือนพ่อ แม่และน้องสาวเสียเหลือเกิน
โรสรวบรวมแรงที่มีแล้วออกวิ่งไปหาเงาที่สะท้อนกับดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังคล้อยต่ำอย่างมีความหวัง แต่ทว่าเมื่อมาถึง หัวใจเธอกลับหล่นวูบ นั่นเพราะนี่หาใช่คนในครอบครัวที่เฝ้าตามหาแต่อย่างใด
“นั่นหมาป่านี่”
“ใช่จริงๆ ด้วย” เสียงชายที่ยืนทะมึนเอ่ยเห็นด้วย เมื่อหันมาเห็นโรสเข้า
“ขนมันสวยและต้องนุ่มมากแน่ๆ เราต้องจับมันไปถลกหนังแล้วขายให้พ่อค้า” หญิงคนเดิมที่เอ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นโรสในร่างหมาป่า
“แต่พี่ว่า จับมันไปให้พ่อเฒ่าทำพิธีบูชายัญดีกว่า” ความคิดของชายคนนี้ช่างน่ากลัวสำหรับโรส แต่สำหรับคนทั้งคู่กลับปกติ นั่นเพราะครอบครัวพวกเขานับถือลัทธินอกรีต ที่นิยมจับหมาป่ามา บูชายัญหรือไม่ก็ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
นั่นเพราะเชื่อว่า หมาป่าคือปีศาจ คือสัตว์อันตรายจากนรก ในคืนพระจันทร์เต็มดวง หมาป่าที่โตเต็มที่จะพากันกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งมนุษย์แล้วออกฆ่าทุกคนที่พบเจอ พวกเขาจึงต้องชิงฆ่าหมาป่าทุกตัวที่พบเจอเสียก่อน
“เอาสิ จัดการเลย” เอ่ยจบทั้งคู่ก็ตรงไปหาโรส ยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ให้เธอหนีไปไหนได้ ส่วนเด็กหญิง นั้นทำหน้าที่ยืนส่งเสียงเชียร์พ่อและแม่อยู่ข้างๆ
แม้จะยังเด็ก แต่เธอก็ถูกปลูกฝังเรื่องหมาป่ามาตั้งแต่แรกเกิด แม้จะย้ายที่อยู่มาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ แต่ก็ไม่ทิ้งลัทธิความเชื่อที่นับถือ
“ออกไปให้พ้น” โรสเอ่ยไล่ แต่คนทั้งสามกลับฟังไม่ออก ได้ยินแค่เสียงขู่คำรามเท่านั้น
“อย่ากลัวไปเลย เจ็บแค่แป๊บเดียวเองเจ้าหมาป่าตัวน้อย” ชายคนนั้นยื่นมือไปหาโรส แม้คำพูดนั้นจะฟังดูดี แต่แววตากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
โรสได้แต่ส่งเสียงขู่เพื่อไล่อีกครั้ง และเมื่อไม่ฟัง จึงกัดมือชายตรงหน้าไปเสียสุดแรง
“โอ๊ย! มันกัดฉัน”
“หน็อย...ไอ้หมาบ้า อยากตายนักใช่ไหม ได้เลย” เมื่อเห็นสามีถูกกัด ผู้หญิงคนดังกล่าวจึงรีบคว้าท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาเป็นอาวุธ และไม่ลืมที่จะส่งให้ผู้เป็นสามี
จากนั้นทั้งคู่ก็ผลัดกันตีหมาป่าตรงหน้าอย่างไม่เบามือ โรสเจ็บจนต้องร้องออกมา แต่พวกเขากลับไม่สงสารและยิ่งตีเธอมากขึ้น เพื่อให้ตายจะได้ถลกหนังไปขาย
กระทั่งมองเห็นช่องว่างที่จะหนี โรสกัดฟันแล้วออกวิ่งสุดกำลัง จนเตลิดเข้าป่าไปอย่างไม่กลัว
“อย่าตามไป ในป่าอันตราย”
“แต่อีกแค่นิดเดียว เราก็จะจับหมาป่าตัวนั้นได้อยู่แล้วนะ รีบตามไปเถอะ” ผู้เป็นภรรยาแย้ง นั่นเพราะหากจับหมาป่าได้ พวกเธอจะได้รับคำชมจากผู้เฒ่า ผู้ซึ่งเป็นแกนนำในการไล่ล่าหมาป่า รวมทั้งยังได้หน้าได้ตาและที่สำคัญคือได้เงินทองมาใช้ จึงไม่อยากปล่อยมันไปโดยง่าย
“ไม่ได้เด็ดขาด”
“ถ้าพี่กลัว ก็รอฉันอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันไปคนเดียว แล้วอย่ามาขอส่วนแบ่งแล้วกัน” เอ่ยจบก็เดินดุ่มๆ เข้าป่า
“เออ...ถ้าเก่งนักก็ไปเลย ตายเสียได้ก็ดี”
“ฉัน…ไม่ไปแล้วก็ได้” จากที่กำลังจะเดินเข้าป่า เธอจำต้องหยุดแล้วเดินกลับไปหาสามี ที่ตอนนี้เดินย้อนกลับไปหาลูกสาวที่ยืนรออยู่ด้วยความเร็ว
หมาป่าตัวน้อยวิ่งหนีความตายด้วยความสั่นเทาอย่างหวาดกลัว ยิ่งวิ่งเข้าไปในป่าลึกเท่าไหร่ ทุกอย่างรอบข้างก็มีแต่ความน่ากลัวมากเท่านั้น
“พ่อ แม่ ฮันน่า อยู่ที่ไหนกัน ช่วยโรสด้วย” โรสตะโกนหาครอบครัวอย่างเจ็บปวด บวกกับแผลฟกช้ำที่เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกายทำให้เธอหมดแรงลงไปทุกที...ทุกที
สำหรับแผลแค่นี้ มันยังเจ็บน้อยกว่าแผลที่เกิดขึ้นในหัวใจเธอมากนัก แผลที่อยู่ๆ ก็กรีดฝังลงมาในขณะที่เธออยู่ในร่างของหมาป่าหาใช่ร่างของมนุษย์อย่างที่ควรจะเป็น
ผ่านมาสามวันแล้วที่ทีปต์ไม่เห็นหมาป่าตัวน้อยสีขาวตัวนั้นอีกเลย ชายหนุ่มยังคงรอให้มันกลับมาเสมอ ถึงขนาดลงทุนทำช่องตรงกำแพงบ้านไว้ให้มันมุดเข้ามา ไหนจะหมั่นเปลี่ยนนมในถ้วยให้อีก
นั่นเพราะเคยทำแผล เคยเอานมอุ่นๆ ให้กิน แม้จะแค่ครั้งเดียว แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าตอนนี้มันหายไปอยู่เสียทีไหน จะบาดเจ็บหรือได้กินอะไรหรือยัง แต่สุดท้ายก็เลิกที่จะรอ เพราะคิดในแง่ดีว่าตอนนี้มันอาจพบกับครอบครัวของมันแล้วก็เป็นได้
ทีปต์หยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน นั่นเพราะค่ำนี้เขามีนัดกับคนสำคัญ ที่อยู่ๆ ก็บอกว่าจะแวะมาหา กระทั่งถึงเวลานัด ชายหนุ่มก็มายืนรอรับอยู่ที่หน้าบ้าน
“ลมอะไรหอบปู่มาถึงที่นี่ครับ” ทีปต์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ นั่นเพราะเขายังไม่ได้บอกปู่ว่าอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ ร่างสูงเดินไปรับชายชราวัยเจ็ดสิบกว่าจากบอดี้การ์ด แต่ทว่าปู่ของเขานั้นก็ยังคงแข็งแรง ไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่วราวกับหนุ่มๆ
“ปู่จะแวะมาหาหลานชาย ต้องมีลมอะไรหอบมาด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“ผมก็แค่แปลกใจ” คนเป็นหลานแอบยิ้ม ด้วยธุรกิจที่ทำ ส่งผลให้ทีปต์ต้องบินไปทำงานแทบจะทุกมุมโลก แต่ก็เลือกที่จะกลับมาที่นี่บ่อยสุด รองจากเมืองไทยเลยก็ว่าได้
แม้จะมีบ้านของผู้เป็นพ่อที่สหรัฐอเมริกา แต่เขากลับไม่ค่อยชอบความวุ่นวายของที่นั่น กลับเลือกที่จะซื้อบ้านด้วยเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงที่นี่แทน นั่นเพราะรู้สึกว่ามีใครหรืออะไรสักอย่าง กำลังรอให้เขามา ซึ่งทีปต์เองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าคืออะไร
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทีปต์มาอยู่ที่นี่เพราะจะได้อยู่ใกล้ปู่ ซึ่งปู่ของเขานั้นได้ย้ายรกรากจากสหรัฐอเมริกามาอยู่ที่อังกฤษได้หลายสิบปีแล้ว
