มนตรารัตติกาล

80.0K · จบแล้ว
วรนิษฐา
49
บท
1.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

หนึ่งมนุษย์ผูกใจรักกับหนึ่งมนุษย์หมาป่า! ใครเลยจะคิดว่านั่นคือความรักที่มั่นคงและหนักแน่น แต่...ทีปต์และโรสก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความแตกต่างของ 'เผ่าพันธุ์' ไม่ใช่อุปสรรคของความรัก แต่มันคือความแตกต่างที่ลงตัว

นิยายรักโรแมนติกจอมมารนักล่านักรบพระเอกเก่งเลือดร้อนดราม่า

บทที่ 1

เสียงการไล่ล่า

เสียงร้องขอชีวิต คราบเลือดและหยดน้ำตา

ภาพเหล่านั้นสะท้อนขึ้นในโสตประสาทของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่ถูกไล่ล่าจากลัทธินอกรีต คนเหล่านั้นหวังและคิดทำลายล้างสายเลือดที่แตกต่างไปจากพวกเขาให้สิ้นซาก สายเลือดที่เหล่าคนกลุ่มนั้นมองว่ามันสกปรก และตัดสินว่าไม่สมควรที่จะอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

เธอคือผู้มีสายเลือดพิเศษนั้น และกำลังตกเป็นฝ่ายที่ถูกล่า การล่ารุนแรงมากขึ้น...มากขึ้น คนรอบข้างต่างพากันหายไปทีละคนสองคน และนั่นทำให้ครอบครัวของเธอตัดสินใจที่จะหนีไปจากที่นี่ แม้จะยังไร้จุดหมาย แต่ก็ยังดีกว่ารอให้คนพวกนั้นมาฆ่า โดยไม่ทำอะไรเลย

โรสเฝ้าถามพ่อกับแม่ว่าครอบครัวทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ บ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่ เตียงนอนอุ่นๆ ที่เคยซุกตัวนอน กลับเปลี่ยนมาเป็นบ้านร้างและไม้กระดานแข็งๆ แต่กลับไม่มีใครให้คำตอบเธอได้

“พี่จ๋า หนูหิวจังเลย” เสียงที่ดังขึ้นข้างตัว ทำให้โรสหยุดคิดหาสาเหตุแล้วหันมาให้ความสนใจ น้องสาวตัวน้อย ที่ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบปีเท่านั้น

“งั้นนั่งรอพี่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่กลับมา”

“พี่จะกลับมาจริงๆ นะ” ฮันน่ากุมมือพี่สาวที่อายุห่างกับเธอสิบปีไว้แน่น เพราะพ่อก็พูดแบบนี้ก่อนจะออกไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา

“จริงสิ พี่สัญญาว่าพี่จะกลับมา”

“อื้อ”

“นั่นเจ้าจะไปไหนโรส” เสียงของผู้เป็นแม่ดังขึ้น เพราะเวลานี้เธอไม่อยากให้ลูกๆ ไปไหนทั้งนั้น นั่นเพราะข้างนอกล้วนอันตราย

“ฮันน่าหิวน่ะแม่ โรสก็เลยจะไปหาอะไรให้น้องกินเสียหน่อย”

“แต่พ่อเจ้าให้เรารออยู่ที่นี่ ห้ามออกไปจนกว่าพ่อจะกลับมา” ลูน่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเพราะเธอเป็นห่วงสามีจนนั่งไม่ติดที่ เมื่อครู่ก็ออกไปชะเง้อหาที่ด้านนอกมา แต่เพราะต้องรอ จึงไม่อาจออกไปตามได้อย่างที่ใจคิด

“โรสไปไม่นานหรอกจ้ะแม่”

“อย่าดื้อโรส เวลานี้เราต้องอยู่รวมกันถึงจะปลอดภัย”

“ปลอดภัยจากคนพวกนั้นที่พยายามฆ่าเราน่ะเหรอคะ จนถึงตอนนี้โรสก็ยังไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรผิด คนพวกนั้นถึงได้ตามฆ่าเราทั้งครอบครัวแบบนี้” จากที่พยายามควบคุมอารมณ์ แต่เวลานี้โรสกลับสติแตก ก่อนจะมารู้สึกผิดที่ตะคอกใส่แม่แบบนั้น

ลูน่าถอนหายใจออกมาหนักๆ นั่นเพราะอยากอธิบายถึงเหตุผลของการหนีครั้งนี้ให้ลูกสาวคนโตรับฟังเหลือเกิน แต่จำต้องเก็บไว้ตามคำสั่งของสามี

“โรสขอโทษค่ะแม่ โรสไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกใส่แม่แบบนั้น”

“แม่ไม่โกรธลูกหรอกจ้ะ ส่วนเรื่องที่ลูกสงสัย อีกไม่นานลูกก็จะรู้คำตอบเอง”

“ค่ะ แต่ตอนนี้ฮันน่าหิวมาก โรสขอไปหาอะไรให้น้องกินรองท้องหน่อย สัญญาว่าจะรีบกลับมาก่อนพ่อนะคะ” เอ่ยจบโรสก็ออกจากที่พักไปด้วยท่าทางระแวดระวัง โดยไม่ฟังคำคัดค้านของแม่ คว้าฮู้ดมาสวมปกปิดหน้าตาและหิมะที่กำลังโปรยปราย ขณะเดินไปนั้น ก็พยายามมองหาอะไรก็ได้ ที่จะนำไปประทังความหิวให้แก่น้องสาวและแม่ที่รออยู่

หญิงสาวเป็นคนตัวเล็ก สูงแค่ร้อยหกสิบกว่าๆ เดินฝ่าหิมะอันขาวโพลน จนร่างกายเย็นราวกับน้ำแข็ง เพื่อมองหาบ้านหรือร้านค้าสักร้าน แต่รอบข้างตอนนี้กลับเจอเพียงความว่างเปล่า กระทั่งจมูกของเธอได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยมา

“ทางนั้น” เมื่อจับทิศทางได้ เท้าเล็กๆ จึงรีบเดินตรงไปทันที ยิ่งเข้าใกล้ ความหิวก็ยิ่งจู่โจมโรสมากขึ้น

เสียงผิวปากดังขึ้นจากเจ้าของเนื้อย่างอย่างคนอารมณ์ดี หนาวๆ แบบนี้ ได้กินสเต๊กหอมๆ อร่อยๆ ร่างกายคงอุ่นขึ้นเป็นกองแน่ๆ

ทีปต์ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกา คิดแบบนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้น เขาคงไม่ยืนทนต่อความหนาวเพื่อย่างเนื้ออยู่นอกตัวบ้านแบบนี้แน่ เพราะใครมาเห็นคงหาว่าเขาบ้า แต่กลิ่นหอมของเนื้อก็ช่วยไล่ความหนาวเหน็บได้เป็นอย่างดีทีเดียว

เมื่ออาทิตย์ก่อน เขาง่วนอยู่แต่กับงานที่อังกฤษ พอเคลียร์งานที่นั่นเสร็จ ก็ต้องบินมาทำงานต่อที่อเมริกา ชีวิตส่วนใหญ่เขาเป็นเสียอย่างนี้ ในสมองคิดแต่เรื่องงานถึงได้ถูกทิ้ง คิดแล้วทีปต์ก็ยิ้มเย้ยให้โชคชะตาของตัวเอง พร้อมๆ กับมองเนื้อที่กำลังย่างอยู่บนเตาถ่าน

“มีเดียมนะเอ็ง ไม่เอาเวลดัน” เสียงทุ้มเอ่ยย้ำ สั่งตัวเองที่ยืนย่างเนื้อให้สุกตามแบบที่ต้องการ เวลดันคือเนื้อที่สุกเกินไปสำหรับเขา ส่วนมีเดียมคือเนื้อที่สุกในแบบที่ชอบ สุกระดับกลาง ที่เนื้อข้างในยังคงมีสีชมพู เวลาเคี้ยวจะมีความหวานของเนื้อที่พร้อมจะละลายในปากผสมกับความหอมจากตัวเนื้อและถ่านขณะย่าง เนื้อชิ้นนี้ต่อให้เอาอะไรมาแลกเขาก็ไม่ยอม

กระทั่งเนื้อสุกได้ที่ เขาจึงนำมาวางไว้ข้างเตาแล้วเดินกลับเข้าไปหยิบจานในบ้าน หวังจะเอามาใส่เนื้อที่ชวนกินนี้ แต่ทว่าพอเดินกลับมา

“ฉิบหาย! เนื้อย่างหาย” ฉิบหายไม่พอ เนื้อที่อุตส่าห์ยืนฝ่าความหนาวย่างจนจะได้กินอยู่แล้ว กลับมาอันตรธานหายไปด้วย

ทีปต์มองหาเนื้อใต้โต๊ะ หวังว่ามันจะหล่นอยู่บนพื้นหรือที่ไหนสักแห่ง แต่กลับไม่พบ เขาจึงเริ่มหมุนหา รอบๆ ตัวจนชักจะเวียนหัว กระทั่งมองเห็นฝีเท้าเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนหิมะ

“หน็อย! เล่นกับใครไม่เล่น เจอกันแน่ไอ้หัวขโมย” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คว้าปืนติดมือมาเป็นอาวุธ ก่อนจะเดินตามรอยเท้าที่เห็นบนหิมะไปทันที

ที่นี่คือหมู่บ้านที่อยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควร นั่นเพราะทีปต์ต้องการหลบหนีความวุ่นวาย จึงเลือกที่จะซื้อบ้านที่นี่ บ้านที่เต็มไปด้วยหิมะในหน้าหนาว หน้าร้อนก็จะมีผลไม้ป่าอร่อยๆ ขึ้นเต็มหลังบ้าน โดยเฉพาะเบอร์รี่ที่บางครั้งก็มีหมีตัวโตออกมาแย่งกิน

แต่อยู่ๆ เขากลับได้ยินเสียงเบรกของรถดังสนั่น จึงเลิกตามหัวขโมยแล้วรีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“เฮ้! เจสัน เกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มเอ่ยถามเพื่อนบ้านที่สนิทสนมด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ไม่ได้แตกต่างไปจากต้นฉบับ

“ฉันเห็นคนวิ่งตัดหน้ารถก็เลยเบรก แต่ถนนมันลื่น รถก็เลยเป็นอย่างที่เห็น” อย่างที่เห็นคือรถเอสยูวีชนเข้ากับต้นไม้จนกระโปรงหน้ารถพัง

“มีคนวิ่งตัดหน้ารถนายเหรอ” ทีปต์คิ้วขมวด ส่วนเจ้าของรถที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร นอกเสียจากจุกเล็กน้อยเพราะหน้าอกอัดกระแทกเข้ากับถุงลมนิรภัย ก็เดินมาชี้ร่องรอยหน้ารถที่ยังพอมีให้เห็น

“ใช่…นี่ไงรอยชน แต่พอลงมาดูกลับไม่มีใครนี่สิ”

“เดี๋ยวฉันช่วยหาอีกแรง เพราะถ้าบาดเจ็บ จะได้รีบพาไปโรงพยาบาล”

“ก็ดีเหมือนกัน” เจสันเห็นด้วย ทีปต์จึงเดินหาร่องรอยของคนที่ถูกเจสันชน พยายามคิดว่าคนถูกชนอาจกลิ้งไปตามหิมะแล้วถูกหิมะทับหรือเปล่า แต่มองดูรอบๆ กลับไม่พบสิ่งผิดปกติ นอกเสียจากรอยกลิ้งของอะไรสักอย่าง แต่มันกลับหายไปตรงโคนต้นไม้ใหญ่