8 ความรู้สึกกับใจที่เต้นแรง
ในที่สุดวิริญญาก็รู้สึกตัว ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคนที่ยืนรายล้อมอยู่ ซึ่งพากันถอนหายใจกันคนละเฮือกสองเฮือกอย่างโล่งใจ ดวงตากลมโตค่อยๆ ปรือขึ้น ภาพที่เธอเห็นคือทุกคนกำลังนั่งและยืนรุมล้อมเธออยู่ ก่อนที่เจ้าหญิงเคียร่าจะโผเข้ากอดร่างระหงอย่างดีใจ
“ไม่เป็นอะไรนะริญ เจ้าปลอดภัยแล้ว”
วิริญญามองไปรอบๆ ด้วยแววตางุนงง พลางพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่
“เจ้าคิดยังไงจึงพาเจ้าหญิงลงไปพายเรือเล่นในทะเลสาบตามลำพังเช่นนั้น” เทรีสถามขึ้น น้ำเสียงติดจะไม่พอใจนิดๆ แม้วิริญญาจะไม่ใช่คนชักชวนเจ้าหญิงไปพายเรือ แต่เธอก็ไม่คิดปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้เคียร่าต้องถูกมองว่าเป็นคนผิดคนถูกถามมองหน้านักรบหนุ่มนิ่งๆ แล้วตอบ
“ก็ฉันไม่คิดว่าจะมีปีศาจอยู่ในน้ำนี่”
“เพราะเจ้าประมาทและขาดความรอบคอบเช่นนี้ จึงทำให้เจ้าและเจ้าหญิงเคียร่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
เทรีสมองวิริญญาอย่างตำหนิ จนเจ้าหญิงเคียร่าต้องเอ่ยขึ้น
“ข้าเป็นคนชวนริญลงไปพายเรือเล่นเอง ไม่ใช่ความผิดของนางหรอกค่ะ ท่านอย่าตำหนินางเลยท่านเทรีส”
“ข้าต้องการให้นางมีความรอบคอบมากกว่านี้เจ้าหญิงเคียร่า เพราะนางคือเป้าหมายของพวกปีศาจ นางจึงต้องระมัดระวังตัวทุกย่างก้าว”
“ก็ฉันเพิ่งจะมาที่นี่ฉันจะตรัสไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าปีศาจมันจะโผล่ออกมาตอนไหน แล้วท่านก็เคยบอกด้วยว่าสายน้ำจะไม่ทำร้ายฉัน” หญิงสาวเถียงกลับทันควัน เพราะนึกหมั่นไส้ใบหน้านิ่งๆ และสายตาเหมือนกับกำลังตำหนิเธออยู่กลายๆ
“ใช่ สายน้ำจะไม่ทำร้ายเจ้า ข้าเคยบอกเจ้าเช่นนั้น แต่ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งอื่นที่อยู่ในน้ำ มันจะไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ด้วย” เทรีสพูด
“แล้วฉันผิดรึไง ท่านนั่นแหละที่ผิดเพราะท่านบอกฉันไม่หมด”
“ข้าไม่มีเวลาจะมาเถียงกับเจ้า จำเอาไว้ให้ดี หากเจ้าไม่มีความรอบคอบเช่นนี้ เจ้าจะตายก่อนได้กลับบ้าน และนับตั้งแต่วันนี้เจ้าจะต้องเข้าฝึกฝนวิธีใช้พลังแห่งน้ำกับท่านฟรานเชส จนกว่าเจ้าจะสามารถใช้พลังป้องกันตนเองได้ ระหว่างนั้นข้าขอห้ามเจ้าออกมาท่องเที่ยวนอกปราสาทอีกเป็นอันขาด”
เทรีสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะเดินไปที่ม้าของเขา แล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ควบม้าออกไปทันที
“ข้าว่าเรากลับปราสาทกันเถิด ริญจะได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวนางจะไม่สบาย” เจ้าชายซาบรีเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เจ้าหญิงเคียร่าจึงรีบประคองให้วิริญญาลุกขึ้นยืน แล้วทั้งหมดก็รีบกลับไปที่ปราสาททันที
เมื่อกลับมาถึงเจ้าหญิงเคียร่าก็ประคองวิริญญาเดินไปจนถึงห้องพักของหญิงสาว และนั่งอยู่ในห้องรอจนกระทั่งหญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เพื่อจะพาเธอเดินไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมๆ กัน
“เอ่อ...เจ้าหญิงเคียร่าคะ ฉันขอบคุณท่านจริงๆ ที่ท่านช่วยฉันเอาไว้” หญิงสาวเอ่ยขอบคุณจากใจจริง เธอคิดว่าเคียร่าคือคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้ตัวเธอตอนเป็นอันตรายมากที่สุด
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ไม่ใช่ข้าหรอกริญ เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าผู้ใดช่วยเจ้าขึ้นมา”
วิริญญานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ
“ไม่รู้ค่ะ ฉันหมดสติไปก่อน รู้สึกแต่ว่าเหมือนมีลมมาโอบล้อมตัวฉันเอาไว้ แล้วฉันก็ไม่รู้อะไรอีกเลย จนฟื้นขึ้นมานั่นแหละค่ะ”
“ผู้ที่ใช้สายลมเป็นอาวุธและป้องกันตัวได้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้น” เจ้าหญิงแห่งครีเซียยิ้มนิดๆ ก่อนจะเฉลย
“ท่านเทรีสเป็นผู้เข้าไปช่วยเจ้าขึ้นมา แล้วก็ช่วยเหลือจนเจ้าฟื้นคืนสติ”
“ช่วยเหลือจนฟื้นคืนสติ มะ...หมายความว่า...ยังไงคะ ช่วย...ช่วยแบบไหน”
วิริญญาถามด้วยน้ำเสียงแตกตื่นพลางเบิกตากว้าง เพราะพอจะรู้อยู่ว่าวิธีปฐมพยาบาลคนจมน้ำต้องใช้วิธีไหน ว่าแต่ที่อาณาจักรครีเซียเค้าใช้วิธีเหมือนกันหรือเปล่า เจ้าหญิงเคียร่านึกขำสีหน้าตื่นๆ ของวิริญญา ก่อนตอบว่า
“ท่านเทรีสประกบริมฝีปากตนเองกับริมฝีปากของเจ้า แล้วถ่ายพลังเข้าไปรักษาจนเจ้าฟื้นคืนสติ”
ใบหน้านวลเนียนของวิริญญากลายเป็นสีระเรื่อขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ในหัวก็นึกภาพที่เทรีสปฐมพยาบาลเธอ โดยมีคนอีกสี่คนยืนมองอยู่ คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็แทบไม่อยากจะเดินออกไปนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารมื้อกลางวัน หรือเผชิญหน้ากับใครอีกแล้ว โดยเฉพาะคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
“เทรีสนี่ท่านโกรธริญจริงๆ หรือ” ฮันส์ถามขึ้น เมื่อทั้งสามคนเดินออกมาจากวิหาร หลังจากที่เข้าไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้วิเศษฟรานเชสฟังเทรีสถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบ
“ใช่ เพราะนางไม่รอบคอบ แล้วยังดื้อรั้นอีกด้วย”
“นางทำเช่นนั้นก็เพราะไม่รู้ ท่านก็อย่าถือโทษโกรธนางเลยน่า” ฮันส์บอก
“หึๆ ยิ่งท่านโกรธนางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นห่วงนางมากเท่านั้นนะเทรีส” อาร์กอนพูดพลางลอบสังเกตเพื่อนไปด้วย
“ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องดูแลนาง เพราะข้าสัญญากับบิดาของนางเอาไว้ เท่านั้นจริงๆ” เทรีสเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะรีบเดินนำหน้าไป แต่อาร์กอนก็ยังไม่วายตะโกนตามหลังอย่างยั่วเย้า
“แต่ข้าเชื่อว่า แม้ท่านไม่ได้สัญญากับบิดาของนางเอาไว้ ท่านก็จะปกป้องและดูแลนางเป็นอย่างดี หรือมิใช่ล่ะเทรีส”
“อาร์กอน ท่านจะยั่วโมโหเทรีสไปเพื่ออะไร” ฮันส์เอ่ยเตือนอาร์กอน
“ฮันส์...ท่านก็เห็นแววตาของเทรีส ตอนที่ช่วยริญขึ้นมาจากน้ำมิใช่หรือ มันเต็มไปด้วยความห่วงใยและเป็นกังวล แววตาเช่นนี้ทั้งท่านและข้าไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว ท่านอย่าบอกนะว่าท่านดูไม่ออกว่าเทรีสกำลังรู้สึกอย่างไร”
“เฮ้อ! ข้ารู้สิ ก็เป็นสหายรักกันมาตั้งนานแล้วนี่”
ในที่สุดฮันส์ก็ถอนหายใจยาวเหยียดและพูดออกมาจนได้ อาร์กอนเลยหัวเราะออกมาเบาๆ พลางยกมือขึ้นตบบ่าเพื่อนรักแล้วเอ่ยขึ้น
“นั่นล่ะคือความจริง แล้วเราก็มาคอยดูกันว่าความจริงจะปรากฏเมื่อใด”
“ข้ากลัวว่ามันจะเป็นความจริงที่แสนเจ็บปวดน่ะสิ”
“หรืออาจจะเป็นความจริงที่แสนหวานก็ได้ อย่าคิดในแง่ร้ายนักสิฮันส์ หึๆๆ”
อาร์กอนพูดจบก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ส่วนฮันส์ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างหนักใจ
เทรีสทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ แล้วภาพเหตุการณ์ที่เขาช่วยวิริญญาขึ้นมาจากน้ำ ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของชายหนุ่มอีกจนได้
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนนุ่มของหญิงสาวที่ริมฝีปากเขาได้สัมผัส ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเพราะการช่วยชีวิตของหญิงสาวด้วยความจำเป็น และเขาจะพยายามสลัดมันทิ้งไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม แต่ยิ่งไม่อยากจดจำ ก็ยิ่งจำจนขึ้นใจและแม่นยำเสียเหลือเกิน
และที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาอยากจะโอบกอดร่างระหงนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน และอยากสัมผัสริมฝีปากนุ่มของหญิงสาวครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือเทรีส”
ชายหนุ่มพยายามเตือนสติตนเอง พลางยกมือขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา แล้วพึมพำเรียกชื่อเจ้าของริมฝีปากที่กำลังรบกวนจิตใจเขาอยู่
“วิริญญา”
เทรีสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะผุดลุกขึ้นจากเตียง แล้วเปิดประตูก้าวออกมาจากห้องพัก ชายหนุ่มคิดว่าบางทีการออกมาเดินอยู่ข้างนอก น่าจะดีกว่าการนอนคิดฟุ้งซ่านอยู่ภายในห้องพักตามลำพัง
วิริญญาก้าวเดินไปเรื่อยๆ ในอุทยานด้านหลังปราสาท ที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันแปลกตาซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน นี่ถ้าเอาไปปลูกที่บ้านได้ก็คงจะดีไม่น้อย หญิงสาวคิดในใจ แต่พอนึกถึงบ้าน เธอก็คิดถึงบิดากับคุณป้าของเธอ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
“เฮ้อ! คิดถึงบ้านจัง” หญิงสาวบ่นพึมพำออกมาเบาๆ พลางเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่มีลักษณะเป็นแผ่นหินสีแดงปูเรียงเอาไว้จนกระทั่งมาถึงธารน้ำตกที่ไหลลงมาจากยอดเขาด้านบนสุด เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำที่อยู่ด้านในสุดของอุทยานแห่งนี้ แล้ววิริญญาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังแว่วอยู่ไม่ไกล
“คู่ของเจ้าหายไปอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวขมวดคิ้วทันทีเพราะรู้สึกคุ้นกับน้ำเสียงนั้น เธอค่อยๆ ก้าวเท้าใกล้เข้าไปเรื่อยๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น จนกระทั่งชิดพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ กับธารน้ำตก แล้วก็เห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งยืนอยู่ในน้ำและหันหลังให้เธอ มีเพียงร่างกายท่อนบนที่เปลือยอยู่เท่านั้นที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา เขากำลังเอนตัววางคางของตัวเองอยู่บนสองมือ ซึ่งประสานกันวางอยู่บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งอีกที ผู้ชายที่มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าแบบนี้ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทรีส แต่ว่าเขากำลังคุยกับใครอยู่ ทำไมเธอไม่เห็นใครเลยนอกจากเขาคนเดียว
“ข้าเข้าใจเจ้าดี ว่าการพรากจากคนที่เรารักนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์แสนสาหัสยิ่งนัก ข้ารู้ดี...”
เสียงเทรีสพูดขึ้นอีกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นุ่มนวล แบบที่วิริญญาไม่เคยได้ยินมาก่อน นับตั้งแต่เธอพบกับเขาวันแรก เพราะเทรีสมักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์กับเธอเสมอ แล้วใครกันที่ทำให้เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนได้ขนาดนี้
ความสงสัยใคร่รู้ทำให้หญิงสาวพยายามขยับตัวใกล้เข้าไปอีกนิด เพราะอยากเห็นว่าเทรีสกำลังคุยกับใครอยู่กันแน่ และเพราะสายตามัวแต่จับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวไม่ทันได้ดูว่าตัวเองกำลังก้าวขาลงไปในน้ำ และเมื่อเท้าสัมผัสกับก้อนหินซึ่งมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่เต็มไปหมด ร่างระหงก็เซแซ่ดๆ ทำท่าจะล้มไม่ล้มแหล่
“ว้าย!” วิริญญาร้องออกมาด้วยความตกใจ แล้วร่างของเธอก็เสียหลักล้มลงในน้ำ
เทรีสหันขวับกลับมามองทางด้านหลังอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้อง เขาพุ่งตัวมายังต้นกำเนิดของเสียงอย่างรวดเร็วพอมาถึงก็เห็นรอยยิ้มแหยๆ ของคนที่กำลังนั่งแช่อยู่ในน้ำในสภาพเปียกปอนไปทั้งตัว สายตาสองคู่ประสานกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เทรีสจะเรียกชื่อหญิงสาวออกมา
“วิริญญา”
“แหะๆ ใช่แล้ว ฉันเอง” เจ้าของชื่อบอกอย่างเก้อๆ พลางดันตัวลุกขึ้นยืน ซึ่งจุดที่เธอยืนนั้นน้ำไม่ลึกเท่าที่เท
รีสยืนอยู่ ตอนนี้เขากับเธอยืนห่างกันพอสมควร เธอจึงไม่แน่ใจว่าตั้งแต่เอวของชายหนุ่มลงไปมีอะไรปกปิดอยู่หรือไม่ ดวงตากลมโตจึงไม่กล้ามองต่ำลงกว่าใบหน้าของเขา เพราะแค่ท่อนบนเปล่าเปลือยที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ก็ทำให้หญิงสาวหัวใจเต้นรัว ใบหน้าร้อนวูบวาบผสมปนเปกันไปหมด เทรีสมองหน้าอีกฝ่ายอย่างจับผิด ก่อนจะถามเสียงเข้ม
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
“ก็...ฉัน...เดินเล่น...มาเรื่อยๆ จน...มาถึงที่นี่น่ะค่ะ” หญิงสาวอ้อมแอ้มตอบโดยไม่ยอมสบตาเขา
“แล้วเพราะเหตุใดเจ้าจึงตกน้ำ” คราวนี้เทรีสยกมือขึ้นกอดอก แล้วถามวิริญญาด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
“ก็...” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด หาคำตอบให้ตัวเองรอดพ้นจากสายตาจับผิดของเขา
“ตอบตามตรง อย่าได้คิดพูดปดโดยเด็ดขาด เจ้าก็รู้ว่าข้าสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของเจ้าได้”
เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาคิดหาคำตอบให้เปลืองสมองอีกแล้ว ทำไมเธอถึงลืมไปได้ว่าเหล่านักรบแห่งครีเซียสามารถหยั่งรู้ความนึกคิดของคนที่อยู่ใกล้ๆ ได้
“เฮ้อ! ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าท่านกำลังคุยอยู่กับใคร ก็เลยเดินไม่ทันระวังตัว จนลื่นตกน้ำก็เท่านั้นแหละ”
พอได้รู้คำตอบนักรบหนุ่มก็ถอนหายใจเบาๆ พลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นด้วย”
“โห! แรงนะท่านนักรบ ทำไมท่านต้องว่าฉันแบบนั้นด้วย ก็ท่านอยากทำตัวให้ฉันสงสัยทำไมล่ะ” วิริญญาโวยวายใหญ่ นึกโมโหที่เขามาหาว่าเธอชอบสอดรู้สอดเห็น
“ก็หรือไม่จริงล่ะ เพราะเจ้าสอดรู้สอดเห็น เจ้าจึงตกลงมาในน้ำเช่นนี้”
“โอเคๆ ฉันสอดรู้สอดเห็นก็ได้ แล้วตกลงท่านกำลังคุยกับใครกันล่ะ ไม่เห็นจะมีใครเลยหรือท่านพูดอยู่คนเดียว”
หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ บริเวณ แต่ก็ไม่เห็นมีใครสักคน นอกจากนกตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่กำลังเกาะอยู่บนก้อนหิน และเอียงคอมองเธอกับเทรีสอยู่อย่างสนใจ พอเห็นว่านกจ้องอยู่หญิงสาวก็จ้องกลับ ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก
“เฮ้ อย่าบอกนะว่าเมื่อกี๊ท่านคุยกับนกตัวนั้นน่ะ”
วิริญญาถามพลางชี้มือไปที่นกน้อยตัวนั้น แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเทรีสพยักหน้ารับ
“หา! คุยกับนกเนี่ยนะ นี่ท่านคุยกับนกรู้เรื่องจริงๆ เหรอ หรือว่าท่านแค่พูดอยู่ฝ่ายเดียว” หญิงสาวถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนถูกถามนึกขำกับท่าทางของเธอ หากแต่พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้และตีหน้าขรึมต่อไป
“ข้าพูดคุยกับนกตัวนั้นจริงๆ และนกตัวนั้นก็คุยกับข้าด้วย ข้าไม่ได้พูดอยู่เพียงฝ่ายเดียว”
“สุดยอดมหัศจรรย์แฟนตาซีเลย อ่านใจคนได้ แถมยังพูดคุยกับนกได้อีก” วิริญญาพูดออกมาอย่างทึ่งจัด พลางมองสำรวจใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของนักรบหนุ่มอย่างอัศจรรย์ใจ
เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องทะเลลึกก็กำลังมองใบหน้านวลเนียนของหญิงสาว ไล่ตั้งแต่หน้าผากเกลี้ยงเกลา ดวงตาดำขลับ คิ้วเรียวสวย จมูกโด่งรั้นลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ซึ่งเขารู้ดีว่าอ่อนนุ่มและน่าสัมผัสแค่ไหน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ พลางพูด
“เอาล่ะ เจ้าก็รู้แล้วว่าเมื่อครู่ข้าคุยกับใคร ดังนั้นตอนนี้เจ้าควรจะรีบขึ้นจากน้ำ แล้วกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะไม่สบาย”
“ค่ะ เฮ้อ! วันนี้โชคไม่ดีกับน้ำเลยแฮะ” วิริญญาบ่นพึมพำ พลางเดินขึ้นจากน้ำอย่างว่องไว
“โอ๊ย! เจ็บ....” หญิงสาวร้องอุทานออกมาเบาๆ พลางนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวดที่ข้อเท้า ทำให้เธอประคองตัวไม่ได้เสียหลักเซถลาทันที วิริญญาคงจะใบหน้าทิ่มลงน้ำไปอีกรอบแล้ว ถ้าหากว่าเทรีสไม่โผเข้ามารับตัวเธอเอาไว้เสียก่อนดังนั้นแทนที่ใบหน้าของเธอจะทิ่มลงน้ำ มันจึงทิ่มเข้าไปในแผ่นอกกว้างของชายหนุ่มแทน
นักรบหนุ่มสะดุ้งสุดตัวทันที เมื่อทั้งจมูกและริมฝีปากของวิริญญาทิ่มเข้ามาชนกับแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่าของเขาเต็มรัก แขนแข็งแรงจึงโอบกอดร่างของหญิงสาวเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างลืมตัว
วิริญญาใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเช่นกัน เมื่อรู้สึกตัวว่าเธอกำลังถูกผู้ชายคนหนึ่งโอบกอดอยู่ทั้งตัวอย่างแนบชิด และสิ่งที่เธอคิดมันก็เป็นจริงจนได้ เมื่อร่างกายของเธอสัมผัสได้ถึงร่างกายที่อุดมไปด้วยมัดกล้ามแทบจะทุกส่วนที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆ ปกปิดเอาไว้
วิริญญาแทบจะหยุดหายใจ ดวงตากลมโตปิดสนิทไม่กล้าก้มลงเลยแม้แต่นิด เพราะกลัวว่าจะไปเห็นในสิ่งที่ไม่สมควร หญิงสาวเลยได้แต่ซุกใบหน้าอยู่ในอกแกร่ง พยายามปรับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด
ร่างสองร่างยืนแนบชิดกัน รับรู้ถึงการเต้นของหัวใจกันและกันท่ามกลางความเงียบ เมื่อปรับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอยู่พักใหญ่จนตั้งสติได้ วิริญญาจึงเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
“อ่ะ...เอ่อ...ขอบคุณมากเทรีส...แต่...ท่านช่วยปล่อยฉันก่อนได้มั้ยคะ”
เสียงของหญิงสาวในอ้อมกอดทำให้เทรีสรู้สึกตัว ชายหนุ่มจึงรีบคลายอ้อมแขนที่โอบกอดร่างของหญิงสาวออกทันที
“ข้อขออภัย แต่เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าเดินไหว”
เทรีสกล่าวคำขอโทษหญิงสาว แล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย และอ่อนโยนจนหญิงสาวรู้สึกได้จนต้องเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้ววิริญญาก็พบว่าไม่ใช่แค่น้ำเสียงของเขาเท่านั้นที่อ่อนโยน หากแต่ขณะนี้นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องทะเลลึกของเขา ก็กำลังมองเธออย่างอ่อนโยนเช่นกัน
“ฉัน...คิดว่าน่าจะได้ค่ะ” หญิงสาวตอบ
“แต่เจ้าเจ็บขา คงไม่สามารถเดินกลับไปยังห้องพักของเจ้าได้หรอก ข้าจะอุ้มเจ้าไปส่งยังห้องพักเอง”
ชายหนุ่มบอก วิริญญารีบร้องปฏิเสธเสียงดังลั่นขึ้นมาทันที
“ไม่ต้อง!”
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธ” เทรีสถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ท่าน...ก็ท่านยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย จะเดินขึ้นมาจากน้ำทั้งอย่างนี้หรอ”
วิริญญาตอบโดยไม่ยอมมองหน้าชายหนุ่ม ใบหน้าเนียนแดงก่ำเพราะความเขิน ทำให้เทรีสถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของคนตรงหน้า
“หากเจ้าไม่สะดวกใจข้าจะสวมเสื้อผ้าก่อนก็ได้”
“อย่าเพิ่งนะ ให้ฉันหันหน้าหนีไปทางอื่นก่อน ท่านค่อยเดินกลับไปใส่เสื้อผ้า ฉันยังไม่อยากเป็นตากุ้งยิง”
วิริญญาบอกชายหนุ่ม พร้อมทั้งพยายามจะหมุนตัวหันหลังให้เขา เทรีสมองหญิงสาวยิ้มๆ พลางยกมือขึ้นโบก เพียงวูบเดียวเสื้อผ้าที่กองอยู่บนก้อนหินก็มาอยู่บนตัวของชายหนุ่มเรียบร้อย เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จ เทรีสก็ช้อนอุ้มร่างของหญิงสาวขึ้นมาทันที
“อุ๊ย! ท่านสวมเสื้อผ้าแล้วเหรอ”
หญิงสาวถามขณะที่ยังคงหลับตาปี๋ เทรีสก้มลงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองอย่างขบขัน ก่อนตอบ
“หากเจ้ายังจำวิธีที่ฮันส์เปลี่ยนชุดให้เจ้าได้ เจ้าก็น่าจะเข้าใจว่า เหตุใดข้าจึงไม่ต้องใช้เวลาเปลี่ยนชุดนานนัก”
“ฮะ” วิริญญาลืมตาขึ้นทันที เมื่อฟังชายหนุ่มพูดจบประโยค แล้วดวงตากลมโตก็ประสานกับดวงตาของชายหนุ่มที่กำลังมองเธออยู่พอดี นัยน์ตาสีน้ำเงินเหมือนมีอำนาจสะกดเธอเอาไว้ และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็หยุดนิ่งอยู่ ณ วินาทีนั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงดำเนินต่อไปก็คือ เสียงหัวใจของเธอกับเขาที่ยังดังอยู่ใกล้ๆ กัน
