
บทย่อ
“จงตามหาทายาทผู้มีพลังแห่งน้ำให้พบ และจงกำจัดมันผู้นั้นให้สิ้นซาก” ร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่หลังม่านไหมสีทองบนบัลลังก์สีทองเหนือยกพื้นสูง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาหากแต่ทรงอำนาจ กับบรรดาคนชุดดำที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสีเงินครึ่งใบหน้าซึ่งยืนอยู่เบื้องล่างหลายสิบคน เหล่าบุคคลในชุดดำพากันก้มศีรษะลงพลางพูดอย่างพร้อมเพรียงกัน “น้อมรับบัญชาขอรับท่านอีเลียส” “ดีมากจงไปกำจัดมันโดยเร็วที่สุด ข้าจะได้ครอบครองอาณาจักรครีเซีย ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะก้องกังวานดุจเสียงของระฆังที่เหมือนจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเขาผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นเจ้าชีวิตและอยู่เหนือทุกคนในอาณาจักรครีเซีย
1 ผู้มาเยือน
“คุณพ่อขา คุณป้าขา ริญกลับมาแล้วค่ะ”
เสียงแจ้วๆ ที่ดังมาจากข้างล่าง ทำให้สตรีวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งห่อขนมใส่ไส้อยู่บนชานเรือน โดยมีเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งคอยช่วยอยู่ข้างๆ ต้องหันมาพยักหน้ากับบุรุษหนุ่มใหญ่ ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้โยก พลางส่ายหน้าแล้วพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเจือความเอ็นดูว่า
“ตาภพมาแล้วลูกสาวเรา เสียงมาก่อนตัวตามเคย อย่างกับเด็กๆ แน่ะ ขนาดโตจนเรียนจบทำงานแล้วนะ”
ปภพยิ้มในคำพูดพี่สาวพลางหันไปมองที่บันได ก็เห็นร่างระหงของลูกสาวกำลังหอบแฟ้มงานพะรุงพะรังก้าวพ้นบันไดเรือนขึ้นมาพอดี
“สวัสดีค่ะคุณป้า สวัสดีค่ะคุณพ่อ” วิริญญาพนมมือไหว้ผู้เป็นป้ากับบิดา พลางทรุดตัวลงนั่งพับเพียบบนพื้นเรือน
“วันนี้กลับมาถึงเร็วนี่ลูก รถไม่ติดหรือไง” ปภพถามลูกสาว
“ค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวตอบยิ้มๆ
“ดีแล้วล่ะที่ริญกลับมาถึงบ้านเร็ว ถ้ากลับมาถึงค่ำๆ มืดๆ ป้าก็เป็นห่วง” คุณปราณีพูดด้วยน้ำเสียงบอกความสบายใจอย่างยิ่ง จนหลานสาวต้องหันไปสบตากับผู้เป็นบิดายิ้มๆ เพราะเป็นที่รู้กันดีสำหรับทุกคนในบ้าน ว่าป้าของเธอนั้นหวงหลานสาวมากมายแค่ไหน
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว วิริญญาก็ออกมานั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกับบิดาและคุณป้า พอจบมื้อค่ำปราณีก็ขอตัวไปสวดมนต์อยู่ในห้องพระ สองพ่อลูกจึงนั่งคุยกันอยู่เพียงลำพังตรงชานเรือนนอกตัวบ้าน
“เร็วจริงๆ เลยนะ เผลอแป๊บเดียวลูกสาวพ่อก็โตเป็นสาวแล้ว เรียนจบทำงานแล้วด้วย เฮ้อ! พ่อรู้สึกว่า ตัวเองแก่ขึ้นเป็นกองเลยนะเนี่ย” หนุ่มใหญ่พูดยิ้มๆ พลางจิบน้ำมะตูมแช่เย็นที่ลูกสาวเอามาให้ดื่ม วิริญญาหัวเราะเบาๆ ในคำพูดของบิดา พลางตั้งหน้าตั้งตาจ้องใบหน้าของท่านอย่างเอาจริงเอาจัง
“อ้าว! อยู่ดีๆ มานั่งจ้องหน้าพ่อทำไมกัน” ปภพถามด้วยความสงสัย
“ก็ริญกำลังดูว่าคุณพ่อแก่ตรงไหนค่ะ คุณพ่อของริญยังรูปหล่อแล้วก็สมาร์ทอยู่เลย ไม่เห็นจะแก่ซักนิด นี่ถ้าคุณพ่อเดินไปกับริญคงจะไม่มีใครคิดว่าเป็นพ่อลูกกันแน่ๆ เลยค่ะ” ดวงตากลมโตเป็นประกายพลางยิ้มให้บิดา
“เอาแล้วมั้ยล่ะ เราพูดอย่างนี้พ่อเลยไม่กล้าไปไหนกับริญพอดี เดี๋ยวใครมาเห็นหาว่าพ่อเลี้ยงอีหนูล่ะยุ่งเลย”
ปภพพูดพลางหัวเราะเบาๆ ลูกสาวของเขาช่างเอาอกเอาใจจริงๆ
“เอ...ใครที่คุณพ่อว่านี่ใครคะ สาวๆ รึเปล่า” หญิงสาวถามยิ้มๆ พลางแกล้งขมวดคิ้วจับผิดผู้เป็นบิดา
“นี่ยัยตัวดี พูดอย่างนี้ใส่ความผู้พิพากษานะเนี่ย พ่อมีสาวๆ ที่ไหนกัน” ปภพโต้คารมกับลูกสาวอย่างอารมณ์ดี แต่อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งมองผู้เป็นบิดาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้าคุณพ่อจะมีใคร ริญก็ไม่ว่านะคะ”
ปภพหุบยิ้มทันที เขาพินิจใบหน้าเนียนใสของผู้เป็นลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอื้อมมือมาลูบผมเธออย่างทะนุถนอม แล้วยิ้มอ่อนโยนก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พ่อไม่เคยคิดว่าตัวเองเหงาเลยซักครั้ง แล้วก็ไม่เคยคิดอยากจะแต่งงานใหม่ด้วย พ่ออยากให้ลูกรู้ว่าพ่อรักคุณแม่ของลูกคนเดียว ไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่คุณแม่ของริญได้ ทุกวันนี้พ่อก็ไม่ได้อยู่คนเดียว พ่อมีริญกับคุณป้าอีกตั้งสองคน แค่นี้พ่อก็มีความสุขมากแล้ว”
คำพูดของบิดาทำให้วิริญญาถึงกับยิ้มไม่หุบ ที่บิดาของเธอยังรักมารดาไม่เสื่อมคลาย แม้ว่าท่านจะล่วงลับไปนานแล้วก็ตาม
เมื่อคุยกับบิดาได้ครู่หนึ่ง หญิงสาวก็ต้องกลับเข้ามาสะสางงานที่เธอขนมาทำที่บ้าน ทำไปได้พักใหญ่ก็รู้สึกเมื่อยล้า มือเรียวจึงยื่นไปปิดแฟ้มงานและโคมไฟบนโต๊ะ แล้วลุกขึ้นเดินไปที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปลดกิ๊บตัวใหญ่ที่หนีบผมยาวสลวยออก ก่อนจะหยิบแปรงขึ้นมาแปรงผมเบาๆ มองเงาของตนเองในกระจก แล้วก็อดที่จะคิดถึงเรื่องที่พูดคุยกับบิดาเมื่อตอนหัวค่ำไม่ได้
วิริญญายืนมองภาพสะท้อนของตนเองในกระจกเงา เธอเห็นหญิงสาวรูปร่างระหง ใบหน้าเรียวสวยรูปไข่ ในกรอบผมสีดำยาวสลวย ดวงตาคมสวยดำขลับ จมูกโด่งรั้นนิดๆ รับกับริมฝีปากเรียวบางสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ พลางยิ้มให้กับคนในกระจกราวกับว่าคนในนั้นมีตัวตน
วิริญญาไม่เคยเห็นหน้ามารดาเลยตั้งแต่จำความได้ เพราะท่านเสียชีวิตหลังจากที่คลอดเธอได้ไม่นาน รูปถ่ายของท่านก็ไม่มี หญิงสาวจำได้ว่าเมื่อตอนเด็กๆ เธอเคยถามบิดากับคุณป้าอยู่หลายครั้ง ว่าแม่ของเธอหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เธอก็ได้รับคำตอบเพียงกว้างๆ ว่า ท่านทั้งสวย ใจดีและเก่งมาก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอรับรู้เกี่ยวกับมารดาเพียงเท่านี้ วิริญญาก็ได้แต่จินตนาการเอาเองมาตลอด แต่มันก็เป็นได้เพียงแค่เงารางๆ เท่านั้น จนกระทั่งวันนี้ที่บิดาพูดกับเธอเมื่อตอนหัวค่ำ
“ริญอยากรู้ใช่มั้ยว่าคุณแม่หน้าตาเป็นยังไง” หญิงสาวมองบิดาด้วยความสนใจ แววตาเป็นประกายอย่างอยากรู้
“ริญเดินไปที่หน้ากระจกนะลูก ผู้หญิงในกระจกนั่นแหละคือคุณแม่ของริญ ตอนนี้ริญเหมือนกับคุณแม่ ตอนที่พบกับพ่อเป็นครั้งแรกเลยนะลูก ต่างกันแค่สีผมกับสีตาเท่านั้น”
เธอไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับมารดามากเท่านี้มาก่อน แม้จะเป็นเพียงเงาในกระจก แต่มันกลับทำให้วิริญญารู้สึกเหมือนว่าท่านมีตัวตนอยู่จริง เธอไล่สายตามองตัวเองในกระจก ก่อนจะมาหยุดสายตาที่สร้อยคอที่เธอใส่อยู่ มือเรียวยกขึ้นแตะจี้รูปหยดน้ำสีขาวอมชมพู ที่มีถุงตาข่ายทองคำถักทออย่างวิจิตรห่อหุ้มเอาไว้ แลดูสวยน่ารักแปลกตา
เธอสวมจี้อันนี้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่บิดามอบกล่องกำมะหยี่ขนาดเล็กสีน้ำเงินเข้มให้เป็นของขวัญในวันเกิดอายุครบยี่สิบปีเต็มของเธอเมื่อสองปีก่อน พร้อมกับบอกว่า
“นี่เป็นของขวัญที่คุณแม่ของริญฝากให้พ่อเก็บเอาไว้มอบให้ลูก เมื่อลูกอายุครบยี่สิบปีเต็ม”
หาดจอมเทียนในวันหยุดสุดสัปดาห์ คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่พากันมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ และหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าของร่างระหง ที่ตอนนี้นั่งอยู่บนชายหาดพลางทอดสายตามองดูกลุ่มเพื่อนร่วมงาน ที่กำลังเล่นน้ำอยู่อย่างสนุกสนานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เนื่องจากว่าบริษัทของวิริญญาจัดสัมมนาที่นี่ เมื่อเสร็จสิ้นการสัมมนาพนักงานจึงพากันลงมาเล่นน้ำผ่อนคลายความเครียด
“บ้าจัง! แดดออกอยู่ดีๆ ฝนฟ้าก็เทลงมาซะอย่างนั้น อากาศเมืองไทยนี่ปรวนแปรชะมัดเลย”
เสียงเพื่อนชายคนหนึ่งบ่นพึมพำ ในขณะที่ทุกคนกำลังกุลีกุจอเก็บข้าวของเพื่อกลับโรงแรมที่พัก เมื่ออยู่ดีๆ ฝนก็เทลงมาชนิดไม่ลืมหูลืมตา ลมที่เคยพัดเอื่อยก็โหมกระหน่ำแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย พาคลื่นลูกมหึมาซัดเข้าฝั่งจนหลายคนต้องหนีกันอุตลุด
เมื่อช่วยกันเก็บของเสร็จ วิริญญากับเพื่อนๆ ก็พากันวิ่งเลียบชายหาดไปหาที่หลบฝน แต่วิ่งมาได้เพียงครู่เดียวคนทั้งกลุ่มก็มีอันต้องชะงัก เมื่อสาวใหญ่คนหนึ่งวิ่งร้องไห้เข้ามาขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วยค่ะ! ลูกของพี่ถูกคลื่นซัดออกไปกลางทะเล” คนเป็นแม่ร้องไห้ปิ่มใจจะขาด
ทั้งหมดหันไปมองในทะเล แล้วก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งตะเกียกตะกายว่ายเข้าไปหาห่วงยางที่ลอยอยู่ คลื่นในทะเลก็เริ่มสูงขึ้น ร่างของเด็กชายก็ค่อยๆ ห่างออกจากฝั่งไปเรื่อยๆ
“ตายแล้ว! ใครรีบไปตามเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาเร็ว”
วิริญญาได้ยินเสียงเกศราเพื่อนสาวคนสนิทร้องสั่ง ขณะที่เพื่อนชายอีกสามคนพากันทิ้งข้าวของในมือ วิ่งลงไปในทะเลเพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กน้อยที่ลอยเท้งเต้งอยู่ท่ามกลางคลื่นลมที่กระโชกแรง หญิงสาวมองเพื่อนที่กำลังพยายามว่ายน้ำฝ่าคลื่นลมทะเลออกไปอย่างเอาใจช่วย ทั้งคลื่นลมและฝนก็ดูเหมือนจะทำให้ทุกคนช่วยเด็กน้อยได้ยากลำบากขึ้น
ในใจก็ภาวนาให้เด็กน้อยรอดปลอดภัย พลางหันกลับมามองคนเป็นแม่ ที่ตอนนี้ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดอยู่บนพื้นทราย ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำด้วยความสงสารจับใจ วิริญญากำมือแน่นด้วยความอึดอัด ในหัวก็คิดหาหนทางที่จะช่วยเหลือสารพัด ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
“ริญ! นั่นเธอจะไปไหน”
เกศราร้องถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นเพื่อนวิ่งพรวดพราดออกไปที่ชายหาดมือก็รีบรั้งเพื่อนเอาไว้ แต่พอวิริญญาหันกลับมาหญิงสาวก็ต้องชะงัก เมื่อประกายแสงจากจี้ห้อยคอของเพื่อนวูบมาเข้าตา
“ฉันจะลงไปช่วยเด็ก” ร่างระหงหันมาบอก ก่อนสะบัดมือเพื่อนออกแล้ววิ่งลงทะเลไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนรักที่ดังอยู่ข้างหลัง ตอนนี้เธอรู้แค่ว่าต้องช่วยเด็กน้อยคนนั้นให้ได้ หญิงสาวไม่รู้ว่าตัวเองว่ายน้ำมาไกลขนาดไหน แต่เธอก็เริ่มใจชื้นเมื่อเห็นร่างของเด็กชายลอยอยู่ไม่ไกล แล้วในที่สุดมือเรียวบางก็คว้าห่วงยางที่เด็กชายเกาะอยู่เอาไว้ได้ ก่อนจะค่อยๆ ว่ายน้ำดึงห่วงยางกลับเข้าฝั่ง วิริญญาว่ายน้ำมาได้ครึ่งทางเรือของเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็
มาถึง ทั้งคู่เลยได้รับการช่วยเหลือให้ขึ้นไปนั่งบนเรือ ก่อนที่เรือกู้ภัยจะพาทั้งสองกลับเข้าฝั่ง
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยลูกพี่ ขอบคุณทุกคนเลย”
สาวใหญ่อุ้มลูกชายในสภาพอ่อนระโหยโรยแรงไว้ในอ้อมกอด เอ่ยขอบคุณทุกคนทั้งน้ำตา ก่อนจะขอตัวพาลูกชายไปหาหมอ ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายกลับห้องพักด้วยสภาพที่เปียกมะลอกมะแลกกันทุกคน
วิริญญาเดินรั้งท้ายตามเพื่อนไป พลางรู้สึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเหนื่อยล้ากับการที่ต้องว่ายน้ำท่ามกลางคลื่นลมแบบนั้น แล้วยังใช้เวลาแค่อึดใจเดียวที่ต้องว่ายไปหาเด็กน้อย ขณะที่เพื่อนผู้ชายนั้น ต้องใช้พลังมากมายในการว่ายน้ำ แต่ก็ไม่สามารถฝ่าพลังของทั้งลมทั้งฝนและคลื่นลูกมหึมาไปถึงตัวเด็กได้เลย
หญิงสาวคิดเล่นๆ ว่าคงเป็นเพราะพลังของความห่วงใยที่มีมากกว่าความกลัว ก็เลยทำให้เธอช่วยเด็กน้อยไว้ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าดีใจของคนเป็นแม่ด้วยแล้ว ก็คงทำให้ความเหน็ดเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง วิริญญายิ้มให้กับตัวเองก่อนจะเดินเข้าที่พัก
เมื่อชายหาดปราศจากผู้คน เสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นประสานกับเสียงคำรามและสายฝน
“ในที่สุดข้าก็พบแล้ว ทายาทผู้สืบทอดพลังแห่งน้ำ”
เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดีที่ปภพเลิกทำงานที่เอากลับมาทำที่บ้าน ฝนยังคงกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว และดูท่าจะไม่หยุดลงง่ายๆ เขาเปิดประตูห้องนอนออกมาเดินสำรวจความเรียบร้อยภายในบ้าน แล้วเดินเลยออกมายืนตรงเฉลียงหน้าบ้าน ซึ่งสามารถมองเห็นสนามหญ้าและรอบๆ บริเวณบ้านได้ชัดเจน
เมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ร่างสูงใหญ่จึงเดินกลับเข้าไปภายในบ้าน แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นเสียก่อน ที่เหนือบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านเกิดปรากฎการณ์เหมือนกลุ่มก๊าซสีดำขนาดใหญ่ รวมตัวกันแล้วหมุนวนช้าๆ เกิดเป็นอุโมงค์ยักษ์ แล้วเพียงครู่เดียวปภพก็เห็นร่างสามร่างพุ่งตัวออกมาจากอุโมงค์สีดำนั่น ก่อนที่จะมีร่างอีกนับสิบร่างพุ่งตามออกมาติดๆ แล้วตีวงล้อมร่างทั้งสามเอาไว้ หนุ่มใหญ่ยกมือขึ้นขยี้ตาตนเอง ก่อนจะเพ่งมองลงไปที่สนามหญ้าอีกครั้ง ภาพของคนเหล่านั้นยังคงอยู่เช่นเดิม คนพวกนั้นแต่งกายประหลาด ชายหนุ่มสามคนแรกอยู่ในชุดสีต่างกัน มีสีขาว สีแดงและสีน้ำตาล แต่ละคนสวมชุดรัดกุมและมีเสื้อคลุมทับยาวจรดพื้น ส่วนพวกที่รุมล้อมชายหนุ่มทั้งสามสวมชุดดำทั้งชุดและสวมหน้ากากปิดหน้าทุกคน
ปภพยืนดูภาพสนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสนามรบย่อยๆ อย่างตื่นตะลึง เมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด เสียงของดาบเล่มยาวสีเงินวาววับที่ทั้งสองฝ่ายใช้เป็นอาวุธฟาดฟันกันนั้น ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ
แม้จะดูตามรูปการณ์แล้วคงยากที่ชายหนุ่มทั้งสามคนจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่มีจำนวนมากกว่าได้ แต่เพียงครู่เดียว
ปภพก็รู้ว่าเขาคาดการณ์ผิดถนัด เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดสีขาวเพียงแค่ยกมือซ้ายขึ้นโบกทีเดียว ร่างของกลุ่มคนในชุดสีดำที่รุมล้อมคนทั้งสามอยู่ก็กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ราวกับถูกแรงมหาศาลผลักออกไป ก่อนที่ชายหนุ่มในชุดสีแดงจะกลายร่างเป็นลูกไฟดวงใหญ่สีแดงเจิดจ้า เช่นเดียวกับชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลที่กลายร่างเป็นเหมือนกลุ่มทรายหมุนวนขนาดใหญ่ แล้วร่างทั้งสองก็พุ่งตรงเข้าหาศัตรูทันที จนเกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
สิ้นเสียงระเบิดดังกึกก้องกัมปนาท บนสนามหญ้าที่มีสภาพพังยับเยินก็เหลือเพียงร่างของชายหนุ่มสามคนยืนอยู่ แต่เมื่อชายหนุ่มหนึ่งในนั้นโบกมือขึ้นเหนือศีรษะ สนามหญ้าที่ไม่ต่างอะไรกับสนามรบก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ก่อนที่พวกเขาจะมองตรงมาบนเฉลียงหน้าบ้าน ผู้พิพากษาหนุ่มใหญ่ถอยกรูดทันที จิตใต้สำนึกเตือนว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดาและอาจจะทำร้ายเขา ซึ่งบังเอิญมาเห็นการต่อสู้เมื่อครู่นี้เข้า ปภพขมวดคิ้วมุ่นในหัวก็กำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ใจก็นึกเป็นห่วงคนในบ้านกลัวว่าจะได้รับอันตราย
“ท่านไม่ต้องกลัวพวกเราหรอก”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นข้างหลัง เรียกเจ้าของบ้านให้หันขวับไปทันที แล้วก็พบว่าร่างของชายหนุ่มทั้งสามมายืนอยู่ทางด้านหลังของเขาแล้ว
“พวกคุณเป็นใคร” น้ำเสียงของปภพเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“ท่านจำข้าไม่ได้หรือ” ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสีขาวถามขึ้น ทำให้หนุ่มใหญ่ต้องเพ่งมองใบหน้าของคนถามอย่างพิจารณา เขาพยายามทบทวนความทรงจำของตนเอง เกี่ยวกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่า ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากได้รูปสวยตรงหน้า เพียงครู่เดียวปภพก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เทรีส!”
