9 เริ่มฝึกพลัง
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าไม่อยากเป็นตากุ้งยิง ตากุ้งยิงเป็นอย่างไรหรือ แล้วเหตุใดเจ้าต้องเป็นด้วย” เทรีสถามขึ้นในระหว่างทางที่อุ้มวิริญญาเดินไปส่งยังห้องพัก หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะอธิบาย
“ก็...แบบว่า...ถ้าเราไปเห็นใครโป๊เปลือย คนที่บ้านฉันเค้าก็มักจะพูดกันว่ากลัวเป็นตากุ้งยิง แบบว่าตาบวม ตาเจ็บ อะไรประมาณนี้แหละค่ะ”
“หืม แล้วมันเป็นจริงๆ หรือ หากว่าเจ้าเห็นผู้ใดเปลือยกาย” เทรีสก้มหน้าลงมาถามหญิงสาวอีก นัยน์ตาสีน้ำเงินราวกับท้องทะเลลึกมีแววฉงนฉงายเมื่อมองสบตากับวิริญญา แต่หญิงสาวที่กำลังสบตาอยู่กับเขากลับรู้สึกใจเต้นแรงแบบไม่มีเหตุผล แล้วก็เลยพาลหลบตาเขาดื้อๆ ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ
“ไม่หรอกค่ะ มันเป็นการขู่ไม่ให้ไปแอบดูใครต่างหากล่ะ” หญิงสาวอธิบายไปก็เสมองนู่นนี่ไปเรื่อย
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่เห็นต้องกลัวที่จะเห็นข้าเปลือยกาย”
“ท่านจะบ้าเหรอ! แล้วทำไมฉันจะต้องไปดูท่านเปลือยกายด้วยล่ะ”
วิริญญาร้องเสียงดังลั่น หน้านวลเนียนแดงก่ำไปหมด คราวนี้เทรีสขมวดคิ้วมุ่นกับอาการแปลกๆ ของคนในอ้อมกอด ก่อนจะถามกลับ
“เจ้ากำลังเอียงอายข้างั้นหรือ”
“อ๊าย! เลิกอ่านใจฉันซะที”
หญิงสาวโวยวาย เพราะเขินหนักกว่าเดิมที่ถูกชายหนุ่มรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังเขินเขาอยู่ ก็จะไม่ให้เธอเขินได้ยังไง ถามมาได้ว่าทำไมเธอต้องกลัวที่จะเห็นเขาเปลือยกาย แล้วเธอควรจะดูเขาเปลือยกายรึไงกัน เขาเป็นผู้ชายนะ โอ๊ย! เธอจะบ้าตาย
“ข้าสัมผัสได้เอง ไม่ได้คิดจะแอบอ่านใจเจ้า”
“โอเคๆ นี่เทรีสฉันถามจริงๆ เถอะ พวกท่านสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของทุกคนได้หมดเลยเหรอคะ” วิริญญาถาม
“ไม่หรอก พวกข้าสัมผัสได้เฉพาะคนที่ไม่รู้จักวิธีปิดกั้นความคิดเท่านั้น” เทรีสตอบ
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ข้าไม่สามารถล่วงรู้ถึงความคิดของท่านฟรานเชส ฮันส์ อาร์กอน เจ้าชายซาลาส เจ้าชายซาบรีและเจ้าหญิงเคียร่าได้ เพราะทุกคนรู้จักวิธีปิดกั้นความคิดของตนเอง ในยามที่ไม่ปรารถนาให้ใครล่วงรู้ถึงความคิดของตนเอง
เช่นเดียวกับที่ท่านฟรานเชส ฮันส์และอาร์กอนก็ไม่สามารถล่วงรู้ถึงความคิดของข้าได้ เพราะว่าข้ารู้จักวิธีปิดกั้นความคิดเช่นกัน” เทรีสอธิบาย
“อ๋อ ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าท่านสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของทุกคนได้หมด ท่านก็รู้ความลับของคนอื่นหมดน่ะสิ แล้วตกลงในอาณาจักรครีเซียมีคนที่สามารถอ่านใจคนได้อย่างท่านอยู่กี่คนล่ะคะ”
“มีเพียงท่านฟรานเชส ฮันส์ อาร์กอนและข้าเท่านั้น ที่สามารถสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้ นั่นเป็นเพราะว่าท่านฟรานเชสคือผู้วิเศษซึ่งมีพลังสูงที่สุดในครีเซีย และพวกข้าสามคนคือนักรบแห่งอาณาจักรครีเซียที่ได้รับการฝึกฝนมาจากท่านฟรานเชส” พอเทรีสพูดจบ วิริญญาก็ถอนหายใจยาวเหยียดทันที พลางพูดอย่างโล่งอก
“เฮ้อ...ค่อยยังชั่วหน่อย ที่มีคนอ่านใจคนได้แค่สี่คน ฉันนึกว่าคนอื่นจะอ่านใจฉันได้หมดซะอีก”
“เหตุใดเจ้าต้องวิตกกังวล” เทรีสถามพลางเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ถามมาได้ ทีท่านยังมีความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้เลย ฉันก็ต้องมีความลับของฉันบ้างสิ ขืนให้คนอื่นรู้ความลับหรือความคิดของตัวเองหมดก็แย่กันพอดี” วิริญญาตอบ ก่อนจะถามต่อ “จริงสิคะ แล้วทำยังไงฉันถึงจะรู้วิธีปิดกั้นความคิดของตัวเองล่ะคะ”
“เมื่อเจ้าฝึกพลังกับท่านฟรานเชส ท่านจะสอนเจ้าเอง”
“เหรอคะ ดีจัง”
“ดูเจ้ายินดีเหลือเกิน ที่จะได้รู้วิธีปิดกั้นความคิดตนเอง”
“แหงล่ะ ฉันไม่อยากให้ท่าน หรือว่าใครมารู้ความคิดของฉันทุกอย่างหรอกน่า”
“โดยเฉพาะในเวลาที่เจ้ากำลังต่อว่าข้าในใจ ใช่หรือไม่”
เทรีสถาม คนถูกถามย่นจมูกตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะตอบหน้าตาเฉย
“ก็ใช่น่ะสิ”
เทรีสส่ายหน้าช้าๆ พลางก้มลงมองหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของตนเอง ด้วยแววตาเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว
“ตายจริง! ริญเป็นอะไรหรือท่านเทรีส” เจ้าหญิงเคียร่าถามขึ้นทันที เมื่อเห็นเทรีสอุ้มวิริญญาเข้าไปภายในตำหนัก พลางเดินตามมาจนถึงห้องพักของหญิงสาว
“นางลื่นล้มข้อเท้าพลิกน่ะเจ้าหญิง” เทรีสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางวางวิริญญาลงบนเก้าอี้
“เช่นนั้นข้าจะให้สาวใช้ไปตามท่านหมอหลวงมารักษานาง” เจ้าหญิงเคียร่าบอก พลางเตรียมจะเดินไปเรียกสาวใช้ หากแต่เทรีสร้องห้ามเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้องรบกวนท่านหมอหลวงหรอกเจ้าหญิงเคียร่า ข้าจะรักษานางเอง”
พูดจบเทรีสก็ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพรม เขายกฝ่ามือขึ้นเหนือข้อเท้าของวิริญญา เพียงครู่เดียวฝ่ามือของชายหนุ่มก็เปล่งประกายรัศมีวูบวาบสีเหลืองนวลตาออกมา เหมือนเมื่อครั้งที่เขาเคยรักษาบาดแผลที่แขนให้หญิงสาว ก่อนที่จะพาเธอเดินทางข้ามมิติมายังอาณาจักรครีเซียแห่งนี้ เมื่อรัศมีสีเหลืองนวลตาหายไป เธอก็หายเจ็บปวดที่ข้อเท้าทันที
“เจ้าลองลุกขึ้นเดินดูสิ” เทรีสบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
วิริญญาจึงลองลุกขึ้นเดินตามที่ชายหนุ่มบอก ก่อนจะยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
“ฉันหายเจ็บข้อเท้าแล้วค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เทรีสพูดพลางขยับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตัวเอง ก่อนจะหันมายิ้มให้เจ้าหญิงเคียร่าแล้วขอตัวกลับ
“ข้าขอตัวกลับล่ะ ค่ำแล้ว”
“เชิญค่ะ ท่านเทรีส” เจ้าหญิงเคียร่าพูดกับนักรบหนุ่ม ก่อนที่เทรีสจะก้าวออกไปจากห้อง วิริญญาก็เรียกชายหนุ่มเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนคะท่านเทรีส”
นักรบหนุ่มหันกลับมาตามเสียงเรียก พลางเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย หญิงสาวต่างมิติส่งยิ้มให้ชายหนุ่ม พลางเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะคะที่ท่านอุ้มฉันมาส่งถึงห้องพัก แล้วก็ช่วยรักษาฉันด้วย แล้วก็ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือเมื่อเช้านี้ด้วยค่ะ”
“ไม่เป็นไร นั่นคือหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะหมุนตัวก้าวออกไปจากห้องพักของหญิงสาวทันที
“ช่างน่าประหลาดนัก ในเมื่อท่านเทรีสสามารถรักษาขาของเจ้าได้ แล้วเหตุใดจึงไม่รักษาเจ้าตั้งแต่แรก กลับอุ้มเจ้าเดินมาส่งจนถึงห้องพัก แล้วจึงค่อยรักษาเจ้า”
เจ้าหญิงเคียร่าพูดขึ้นเมื่อลับร่างของชายหนุ่ม วิริญญาเองก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้เช่นกัน จริงอย่างที่เจ้าหญิงเคียร่าพูด ในเมื่อเทรีสสามารถรักษาเธอได้ แล้วทำไมเขาถึงไม่รักษาวิริญญาให้หายเจ็บขาตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องอุ้มเธอเดินมาส่งจนถึงห้องพัก น่าแปลกจริงๆ
วันรุ่งขึ้นวิริญญาก็ได้ต้นเริ่มฝึกฝนการใช้พลังกับผู้วิเศษฟรานเชสที่สวนด้านหลังวิหารซึ่งมีรูปปั้นเทพีครีนัสตั้งอยู่
“เจ้าได้รับการสืบทอดพลังแห่งน้ำทางสายเลือดจากวีร่าอยู่แล้ว เพียงแต่เจ้ายังไม่รู้จักวิธีการดึงพลังออกมา รวมทั้งการควบคุมพลัง และวิธีการใช้พลังนั้น ดังนั้นวันนี้ขั้นแรกที่ข้าจะฝึกฝนเจ้าก็คือ เจ้าจะต้องรู้จักวิธีดึงพลังนั้นออกมา”
ฟรานเชสพูดกับวิริญญาซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้า เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ขั้นแรก...ข้าขอให้เจ้าจงนั่งหลับตา ทำจิตใจของเจ้าให้ว่างเปล่า อย่าได้ครุ่นคิดถึงสิ่งอื่นใด นอกจากพลังในกายเจ้าเท่านั้น พลังแห่งน้ำ...จงนึกถึงแต่น้ำ”
วิริญญาพยักหน้าอย่างเข้าใจทันที เพราะสิ่งที่ฟรานเชสบอกเธอก็คือการนั่งสมาธินั่นเอง ซึ่งคุณป้าของเธอเคยพาไปนั่งสมาธิและฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการทำสมาธิจึงไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรสำหรับวิริญญาเลย เพียงแต่ว่าการนั่งสมาธิครั้งนี้เธอไม่ได้ภาวนาคำว่าพุทโธ แต่เปลี่ยนเป็นนึกถึงน้ำแทน
หญิงสาวเริ่มหลับตาลงช้าๆ และกำหนดจิตใจของตัวเองให้ว่างเปล่าเพื่อเข้าสู่สมาธิ แล้วมุ่งจิตใจอยู่ที่น้ำเพียงอย่างเดียวตามที่ฟรานเชสบอก เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็เห็นภาพสายน้ำ แม่น้ำ น้ำตก ทะเลสาบและท้องทะเลผุดขึ้นอย่างชัดเจนราวกับอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะหมุนวนอย่างช้าๆ แล้วรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวพุ่งเข้าสู่ร่างกายของวิริญญา พร้อมๆ กับที่จี้รูปหยดน้ำซึ่งหญิงสาวห้อยอยู่ที่ลำคอก็ปรากฎรัศมีวูบวาบขึ้นมาทันที
วิริญญารู้สึกว่าขณะนี้เหมือนมีพลังมหาศาลหมุนวนอยู่ภายในร่างกายของตนเอง แต่เป็นพลังที่เยือกเย็น ชุมฉ่ำ และทำให้ร่างกายของหญิงสาวรู้สึกเบาหวิว เหมือนกับล่องลอยได้ราวกับอยู่ในภวังค์อันสวยงาม
“จงลืมตาได้แล้วริญ”
เสียงฟรานเชสดังขึ้น วิริญญาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นตามที่ผู้วิเศษหนุ่มบอก แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าขณะนี้รอบกายเธอมีรัศมีสีฟ้าอ่อนหมุนวนอยู่รอบตัว
“สมแล้วที่เจ้าเป็นทายาทของวีร่า ใช้เวลาไม่นานนักเจ้าก็สามารถดึงพลังแห่งสายน้ำออกมาได้แล้ว” ฟรานเชสกล่าวชื่นชมหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แล้ว...แล้วฉันจะทำยังไงให้ไอ้ที่หมุนๆ อยู่รอบตัวฉันหายไปได้ล่ะคะท่านฟรานเชส”
วิริญญาถามขึ้น เธอหวังว่าคงไม่ต้องเดินไปเดินมาไหน โดยที่มีรัศมีสีฟ้าอ่อนนี่หมุนวนอยู่รอบๆ ตัวหรอกนะ เพราะมันคงจะดูประหลาดพิลึก ฟรานเชสหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบว่า
“เจ้าก็สั่งให้มันหายไปสิ”
“ฉันสั่งได้ด้วยเหรอคะ” หญิงสาวถามอย่างงุนงง
“สั่งได้สิ เพราะนั่นคือพลังของเจ้า หลับตาลง แล้วสั่งให้มันหายไป” ฟรานเชสตอบ
วิริญญาหลับตาลงตามที่ฟรานเชสบอก ก่อนจะรวบรวมสมาธิ แล้วสั่งให้รัศมีสีฟ้าอ่อนที่หมุนวนอยู่รอบตัวเธอหายไป เพียงครู่เดียวหญิงสาวก็รู้สึกว่าความเย็นชุ่มฉ่ำที่หมุนวนอยู่รอบตัวค่อยๆ จางหายไป เมื่อวิริญญาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่ารัศมีสีฟ้าอ่อนที่หมุนวนอยู่รอบตัวเธอเมื่อครู่ได้หายไปแล้ว
“เจ้าจงลองฝึกดึงพลังและสั่งให้มันหายไปให้คล่องแคล่วและชำนาญบ่อยๆ นะริญ หลังจากนั้นข้าจึงจะฝึกการควบคุมพลัง และการใช้พลังให้กับเจ้า” ฟรานเชสบอกลูกศิษย์สาว
วิริญญาพยักหน้าพลางลองทำสมาธิดึงพลังออกมา แล้วก็สั่งให้มันหายไปซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายสิบรอบ จนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาอาหารมื้อกลางวันฟรานเชสจึงบอกให้หญิงสาวเลิกฝึก
“วันนี้ข้าจะฝึกเจ้าเพียงเท่านี้ก่อน ไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเถิด แล้ววันรุ่งขึ้นเราค่อยฝึกกันใหม่”
“ค่ะ...เอ่อ...ท่านฟรานเชสคะ”
“เจ้ามีสิ่งใดจะถามข้าหรือ” ฟรานเชสหันมาถามหญิงสาว วิริญญาจึงตอบว่า
“คือ...ฉันอยากจะฝึกวิธีปิดกั้นความคิดของตัวเองน่ะค่ะ ต้องทำยังไงคะ”
“เจ้าอยากปิดกั้นความคิดของตัวเองงั้นหรือ” ผู้วิเศษหนุ่มเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ค่ะ ฉันไม่สนุกนักหรอกค่ะ เวลาที่ถูกพวกท่านอ่านใจ หรือว่ารู้ความคิดของฉันน่ะ” วิริญญาตอบตามตรง ฟรานเชสหัวเราะเบากับคำพูดตรงๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะตอบ
“วิธีปิดกั้นความคิดไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสาวน้อย เจ้าก็แค่ทำจิตใจให้ว่างเปล่าเวลาที่เจ้าอยู่ใกล้ผู้ที่สามารถสัมผัสความนึกคิดของเข้าได้ก็เท่านั้นเอง”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ” วิริญญาถามอย่างประหลาดใจ ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าแล้วอธิบายต่อ
“แต่โดยปกติแล้ว พวกข้าจะปิดกั้นความคิดของตนเอง เฉพาะสิ่งที่เป็นความลับ ซึ่งเราไม่อาจเปิดเผยได้เท่านั้น สำหรับความคิดปกติทั่วไปพวกข้าจะไม่ปิดกั้น เพราะถึงแม้ผู้อื่นล่วงรู้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายอะไร”
“แสดงว่าพวกท่านไม่ได้ทำจิตใจว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลาใช่มั้ยคะ”
“ถูกต้องแล้ว คนที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดสิ่งที่ไม่ดีและไม่มีความลับ ไม่จำเป็นต้องปิดกั้นความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา”
“ท่านพูดเหมือนกับมีคนที่ปิดกั้นความคิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา” วิริญญาคาดเดาพลางมองหน้าผู้วิเศษหนุ่ม ฟรานเชสพยักหน้าอย่างช้าๆ ก่อนตอบ
“ใช่แล้ว มีคนบางคนที่ปิดกั้นความคิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจหรือไม่ล่ะ ที่คนคนหนึ่งสามารถทำจิตใจให้ว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลาได้โดยไม่คิดอะไรเลย ข้าว่ามันผิดปกติวิสัยของมนุษย์ทั่วไปอยู่นะ และคนที่ทำเช่นนั้นได้ก็ต้องนับว่าเป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย เพราะสามารถควบคุมความนึกคิดของตนเองได้ตลอดเวลา แม้แต่ข้าเองซึ่งเป็นผู้วิเศษก็ไม่สามารถปิดกั้นความนึกคิดของตัวเองเอาไว้ได้ตลอดเวลาเช่นกัน”
“ใครกันคะ คนที่สามารถปิดกั้นความคิดของตัวเองได้ตลอดเวลาแบบนั้น”
วิริญญาถามด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายยิ้มอ่อนโยน ก่อนตอบ
“เอาไว้ เจ้าฝึกพลังจนสามารถสัมผัสความนึกคิดของผู้อื่นได้แล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่าผู้ใดที่สามารถปิดกั้นความคิดของตนเองได้ตลอดเวลา”
“ฉันจะสามารถอ่านใจคนอื่นได้ด้วยเหรอคะ” วิริญญาถามอย่างตื่นเต้นและดีใจ เมื่อรู้ว่าเธอจะสามารถอ่านใจคนอื่นได้เช่นกัน เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่เสียเปรียบคนอื่นๆ แล้ว
“ได้...แต่ก็ต่อเมื่อเจ้าฝึกพลังจนแข็งแกร่ง สามารถดึงพลังออกมา ควบคุมพลังได้และรู้จักวิธีใช้พลังอย่างถูกต้อง เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถสัมผัสความนึกคิดของผู้อื่นได้ แล้วอีกอย่างเมื่อเจ้าสามารถปิดกั้นความคิดตนเองได้ เจ้าก็จะสามารถสื่อสารไร้เสียงกับใครก็ได้ที่เจ้าต้องการ โดยไม่ให้คนที่มีพลังนี้เช่นเดียวกับเจ้ารับรู้ได้” ฟรานเชสตอบ
“ท่านจะไม่บอกฉันหน่อยเหรอคะ ว่าใครคือคนที่ปิดกั้นความคิดของตัวเองได้ตลอดเวลา”
“ข้าคิดว่าโต๊ะอาหารมื้อกลางวันน่าจะพร้อมแล้ว และไม่แน่ว่า เจ้ากับข้าอาจจะทำให้ทุกคนกำลังรออยู่นะ เรารีบไปที่ห้องอาหารกันเถิด”
ฟรานเชสเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนจะหมุนตัวเดินนำหน้าหญิงสาวกลับไปยังปราสาททันที วิริญญาเลยได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงงสงสัย เกี่ยวกับคนที่สามารถปิดกั้นความคิดของตัวเองได้ตลอดเวลา ซึ่งฟรานเชสยังไม่ยอมบอกชื่อของคนคนนั้นกับเธอ
