6 อาณาจักรครีเซีย
“ทุกท่านเพิ่งเดินทางกลับมายังครีเซีย พวกท่านคงต้องการพักผ่อน โดยเฉพาะทายาทของท่านวีร่าซึ่งเพิ่งเคยเดินทางข้ามมิติเป็นครั้งแรกอาจจะยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่ จริงหรือไม่”
ตอนท้ายประโยคเจ้าชายซาลาสหันมาถามวิริญญา หญิงสาวส่ายหน้าพลางตอบ
“ฉันไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเท่าไหร่หรอกค่ะ”
“ทายาทของท่านวีร่าช่างเข้มแข็งยิ่งนัก” เจ้าชายซาลาสกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ทำไมทุกคนต้องเรียกฉันว่าทายาทของวีร่าล่ะคะ”
วิริญญาถามพลางขมวดคิ้ว เธอนึกสงสัยมานานแล้ว ตั้งแต่สามหนุ่มนักรบแห่งอาณาจักรครีเซียที่เรียกเธอว่าทายาทของวีร่า แล้วก็มาเจอเจ้าชายซาลาสกับผู้วิเศษฟรานเชสเรียกเธอแบบนั้นอีก
“เพราะว่ามารดาของเจ้าคือวีร่า และเจ้าเป็นทายาทของนาง เราทุกคนจึงเรียกเจ้าเช่นนั้น”
ฟรานเชสเป็นคนตอบคำถามหญิงสาว วิริญญาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับคำเรียกแบบนั้นเท่าไหร่
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ แต่พวกคุณไม่รู้สึกว่ามันยาวไปเหรอคะ แล้วฉันก็มีชื่อด้วย ทำไมไม่เรียกชื่อฉันล่ะคะ”
“พวกข้ายังไม่รู้ชื่อของเจ้า แล้วเจ้าต้องการให้พวกข้าเรียกเจ้าว่าอย่างไรล่ะ” เจ้าชายซาลาสถามกลับ
“ฉันชื่อวิริญญาค่ะ แต่เรียกสั้นๆ ว่าริญก็ได้ ง่ายดีค่ะ”
“เช่นนั้นเราจะเรียกเจ้าว่าริญ ตามที่เจ้าบอก” เจ้าชายซาลาสสรุป ก่อนกล่าวต่อ “เชิญท่านทั้งสามไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องจอมซาตานอีเลียสเราค่อยพูดคุยกันทีหลัง”
“เดี๋ยวสิคะ ทำไมเราไม่รีบๆ อัญเชิญเทพี...” วิริญญาถามขึ้น แต่แล้วก็ชะงักเมื่อนึกไม่ออกว่าต้องมาอัญเชิญเทพีชื่ออะไร
“เทพีครีนัส” เทรีสพูดต่อให้วิริญญา
“นั่นแหละค่ะ ทำไมเราไม่รีบอัญเชิญเทพีครีนัส ฉันจะได้กลับบ้านฉันซะที”
ประโยคของหญิงสาวทำให้ฟรานเชสหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ
“เจ้าช่างใจร้อนเหมือนวีร่าจริงๆ พิธีอัญเชิญเทพีครีนัส ไม่อาจทำได้ง่ายดายเช่นนั้นหรอกริญ ต้องดูวัน เวลา และต้องมีหลายสิ่งประกอบกัน ไม่ใช่ว่าเจ้านึกจะทำพิธีอัญเชิญองค์เทพีเมื่อใดก็ทำได้”
“อ้าว เหรอคะ ฉันก็นึกว่าทำได้เลยซะอีก” วิริญญาพูดด้วยสีหน้าผิดหวัง ฟรานเชสจึงขยายความต่อ
“ใจเย็นๆ ก่อนเถิด เราจะรีบทำพิธีอัญเชิญเทพีครีนัสโดยเร็วที่สุดเมื่อทุกอย่างพร้อม เจ้าอย่าได้เป็นกังวลใจไปเลย”
“จริงดังที่ท่านฟรานเชสบอก ริญ...แม้นว่าเจ้าจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย หากแต่ท่านเทรีส ท่านฮันส์และท่านอาร์กอน คงอยากจะพักผ่อนมากกว่ากระมัง” เจ้าชายซาลาสกล่าวเสริมคำพูดของฟรานเชส
“ท่านกล่าวถูกต้องยิ่งนักเจ้าชายซาลาส ตอนนี้ข้าต้องการนอนพักเพื่อฟื้นฟูพลังอย่างยิ่ง และข้าขอตัวไปพักตอนนี้เลยก็แล้วกัน”
อาร์กอนพูดขึ้น ก่อนจะก้มศีรษะให้เจ้าชายซาลาสและผู้วิเศษฟรานเชส แล้วร่างสูงในชุดสีแดงก็ก้าวออกไปจากห้องโถงทันที จากนั้นฮันส์กับเทรีสจึงกล่าวขอตัวกลับห้องพักของตนเองเช่นกัน
“ริญ...ข้าและท่านฟรานเชสจะพาเจ้าไปยังตำหนักของเจ้าหญิงเคียร่า เจ้าจะได้พักผ่อน”
เจ้าชายซาลาสบอกพลางก้าวนำหน้า วิริญญากับผู้วิเศษฟรานเชสออกไปจากห้องโถง
“เจ้าหญิงเคียร่าเป็นน้องสาวของเจ้าชายซาลาสเหรอคะท่านฟรานเชส”
วิริญญาถามผู้วิเศษหนุ่มซึ่งเดินอยู่ข้างเธอ ขณะที่เจ้าชายซาลาสเดินนำหน้า หญิงสาวตัดสินใจว่าจะเรียกพวกเขาว่าท่าน และเธอจะแทนตัวเองว่า “ฉัน” ซึ่งสะดวกปากกว่าคำว่า “ข้า” อย่างที่พวกเขาพูดกัน
“ไม่ใช่หรอกริญ เจ้าหญิงเคียร่าคือชายาของเจ้าชายซาลาส”
ฟรานเชสตอบยิ้มๆ หญิงสาวจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ว้าว! ที่นี่สวยจังเลยค่ะ”
วิริญญาอุทานด้วยเสียงอันดัง เมื่อเธอได้เห็นวิวทิวทัศน์ภายนอกของวิหารหินอ่อน ซึ่งเป็นทางเดินไปยังตำหนักของเจ้าหญิงเคียร่า
วิริญญาจำได้ว่าตอนที่เธอเดินทางจากบ้านมาที่นั่นเป็นเวลากลางคืน แต่ที่อาณาจักรครีเซียแห่งนี้กลับเป็นเวลากลางวัน และหญิงสาวก็เพิ่งจะรู้ว่า ขณะนี้เธอกำลังยืนอยู่ในเมืองซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง และต่ำลงไปข้างล่างเป็นบ้านของผู้คนมากมาย มีทุ่งหญ้าสีเขียวขจี และยังมีทุ่งดอกไม้งดงาม รวมทั้งต้นสนเป็นทิวแถว อีกทั้งมีทะเลสาบขนาดใหญ่และทิวเขาสลับซับซ้อนทอดแนวยาวซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ
“อาณาจักรครีเซีย เป็นดินแดนแห่งมนุษย์และผู้วิเศษ ซึ่งเกิดจากการรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยต่างๆ จนกลายเป็นอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล มนุษย์และผู้วิเศษต่างใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน หากเจ้าได้ออกไปเที่ยวชมจนทั่วครีเซีย เจ้าก็จะรู้ว่าอาณาจักรแห่งนี้งดงาม และน่าอยู่มากมายเพียงใด และเจ้าจะรักครีเซีย”
เจ้าชายซาลาสกล่าวยิ้มๆ ก่อนที่ฟรานเชสจะเสริมขึ้นว่า
“แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่พวกปีศาจคิดอยากจะเข้ามาครอบครองดินแดนอันงดงามแห่งนี้”
คำพูดของฟรานเชสทำให้สีหน้ายิ้มแย้มของเจ้าชายซาลาสเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที ขณะที่วิริญญาก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม
“ท่านบอกว่าพวกปีศาจอยากจะครอบครองอาณาจักรครีเซียหรือคะท่านฟรานเชส”
“ใช่แล้ว ความจริงแล้วอาณาจักรครีเซีย ซึ่งเป็นดินแดนของมนุษย์และผู้วิเศษ มีเส้นแบ่งเขตแดนกับดินแดนปีศาจอย่างชัดเจน ท่านครีอัสผู้รวบรวมอาณาจักรครีเซียและเป็นผู้ปกครองอาณาจักรแห่งนี้เป็นคนแรก ได้ทำสัญญากับจอมซาตานอัลเดซผู้ปกครองดินแดนปีศาจตนแรกเอาไว้ว่า ผู้คนของทั้งสองดินแดนจะอยู่ในส่วนดินแดนของตน ไม่ข้ามเขตแดนมายุ่งเกี่ยว และไม่รุกรานซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นมานานนับหลายร้อยปี”
“แล้วยังไงต่อล่ะคะ มีคนผิดคำสัญญาข้ามเขตแดนก่อนใช่มั้ยคะ”
วิริญญาถามต่อทันที เพราะยิ่งฟังก็ยิ่งอยากรู้เรื่องราวของอาณาจักรครีเซียมากขึ้น ฟรานเชสมองหญิงสาวยิ้มๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าช่างใจร้อนสมกับเป็นทายาทของวีร่า และเจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วที่ว่ามีคนผิดคำสัญญาข้ามเขตแดน”
“พวกปีศาจใช่มั้ยคะที่ผิดคำสัญญาก่อน”
คำถามของวิริญญาเป็นผลให้เจ้าชายซาลาสกับผู้วิเศษหนุ่มมีสีหน้าเศร้าสลดทันที ต่างคนต่างนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เป็นฟรานเชสที่ตอบคำถามของหญิงสาว
“เจ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะริญ ฝ่ายที่ผิดคำสัญญาก่อน คือผู้คนของอาณาจักรครีเซีย ผู้วิเศษหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งได้ละเมิดกฎของผู้วิเศษ และละเมิดกฎแห่งคำสัญญาของสองดินแดน แอบลักลอบเข้าไปเที่ยวในดินแดนปีศาจเพราะความคึกคะนอง จนกระทั่งไปพบรักกับปีศาจสาวสวยตนหนึ่ง ทั้งคู่รักกันและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน
จนในที่สุดปีศาจสาวตนนั้นก็ตั้งครรภ์ ผู้วิเศษหนุ่มไม่อาจทิ้งให้หญิงที่ตนรักอยู่ในดินแดนปีศาจตามลำพังได้ เขาจึงแอบพานางหนีข้ามดินแดนมายังอาณาจักรครีเซีย โดยที่ไม่รู้เลยว่าปีศาจสาวตนนั้นเป็นคู่หมั้นคู่หมายของจอมซาตานโอลาลอส
และเพราะเรื่องนี้จึงทำให้โอลาลอสเจ็บแค้นเป็นอันมาก จึงประกาศว่าจะยึดครองอาณาจักรครีเซียให้ได้ เพราะผู้คนของอาณาจักรครีเซียละเมิดคำสัญญาระหว่างดินแดนก่อน และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างสองดินแดน ซึ่งยังคงยืดเยื้อมาจนกระทั่งถึงทกวันนี้”
“เหลือเชื่อเลย ผู้วิเศษไปรักกับปีศาจ”
วิริญญาพึมพำ เรื่องนี้ยิ่งกว่ามหากาพย์ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีที่เธอเคยดูมาซะอีก รักต่างเผ่าพันธุ์ระหว่างผู้วิเศษหนุ่มรูปงามกับปีศาจสาวสวย แถมยังเป็นชนวนของสงครามระหว่างดินแดนเสียด้วย
“ท่านพี่ซาลาส ท่านฟรานเชส โอ้! แล้วสาวงามผู้นี้นางคือทายาทผู้มีพลังแห่งน้ำใช่หรือไม่”
หญิงสาวรูปร่างระหงบอบบาง ใบหน้าเรียวสวยหวาน มีนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน เช่นเดียวกับเรือนผมนุ่มราวกับเส้นไหมซึ่งยาวสลวยจรดเอว ในชุดกระโปรงยาวกรุยกรายสีฟ้าสดใสกำลังกึ่งนั่งกึ่งเอนตัวอยู่บนเก้าอี้ยาวภายในห้องโถงใหญ่ โดยมีสาวใช้นั่งรายล้อมอยู่เกือบสิบคน กล่าวพลางยิ้มทักทายผู้มาใหม่ แล้วเบนสายตามาที่หญิงสาวแปลกหน้าที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่ ก่อนจะขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรง
เจ้าชายซาลาสยิ้มกับชายาของตน แล้วแนะนำวิริญญาให้เคียร่าได้รู้จัก
“ถูกต้องแล้วเคียร่า สาวงามผู้นี้ชื่อว่าริญ นางคือทายาทของท่านวีร่าเป็นผู้มีพลังแห่งน้ำ นางจะมาช่วยอัญเชิญเทพีครีนัส”
เจ้าหญิงเคียร่าลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วก้าวเข้ามาหาวิริญญาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางถาม
“เจ้าชื่อริญงั้นหรือ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะเจ้าหญิงเคียร่า”
“เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ” เจ้าหญิงเคียร่าถามพลางเอื้อมมือมาจับมือของวิริญญาอย่างต้องการผูกมิตร
“ยี่สิบสองค่ะ” วิริญญาตอบอย่างงุนงง เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆ เจ้าหญิงผู้สวยงามราวกับตุ๊กตาบาร์บี้ถึงได้มาถามอายุของเธอ
“เจ้าอายุน้อยกว่าข้า ข้าอายุยี่สิบสามแล้ว ดังนั้นเจ้าเป็นน้องสาวข้าก็แล้วกันนะริญ”
“ฮะ”
วิริญญาหน้าเหลอเมื่ออยู่ดีๆ เจ้าหญิงแห่งครีเซียก็มานับญาติกับเธอเสร็จสรรพ ขณะที่เจ้าชายซาลาสกับผู้วิเศษหนุ่มพากันหัวเราะขึ้นมาเบาๆ กับอาการของวิริญญา
“ข้าบอกท่านแล้วท่านฟรานเชส ว่าเคียร่าจะต้องดีใจมากแน่ๆ เมื่อนางได้สหายคนใหม่” เจ้าชายซาลาสพูดยิ้มๆ ซึ่งฟรานเชสก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เช่นนั้นข้าขอรบกวน ฝากนักรบหญิงแห่งอาณาจักรครีเซียคนใหม่ไว้กับท่านเคียร่าด้วยนะขอรับ”
“ด้วยความยินดีเลยค่ะท่านฟรานเชส ริญมานี่เถิด ข้าจะพาเจ้าไปดูห้องพัก ข้าให้สาวใช้จัดเตรียมเอาไว้แล้ว หากเจ้าไม่พอใจสิ่งใด ข้าจะให้พวกนางจัดให้เจ้าใหม่”
พูดจบเจ้าหญิงเคียร่าก็จูงมือวิริญญาให้เดินตามเธอไปยังห้องพักทันที เมื่อไปถึงห้องพักเคียร่าก็บอกให้หญิงสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นชุดกระโปรงยาวกรุยกรายหลากหลายสีสัน
“ชุดงดงามถูกใจเจ้าหรือไม่”
เจ้าหญิงเคียร่าถามขึ้น วิริญญาส่งยิ้มจืดเจื่อนให้เจ้าหญิงแสนสวย
“สวยคะเจ้าหญิง แต่ว่าฉันขอเสื้อผ้าแบบที่ฉันสวมอยู่ไม่ได้เหรอคะ คือฉันไม่ค่อยชอบสวมชุดกระโปรงยาวกรุยกรายแบบนี้เลยค่ะ มันเดินไม่สะดวก”
“เฮ้อ! ข้าเกรงว่าวิญญาณนักรบแห่งครีเซียจะเข้าสิงเจ้าแล้วกระมัง เสื้อผ้าแบบนั้นท่านฟรานเชสเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเสื้อผ้าของท่านวีร่าทั้งหมด ซึ่งข้าให้สาวใช้เก็บเอาไว้ในตู้ใบนี้”
เจ้าหญิงเคียร่าเดินไปเปิดประตูตู้ใบใหญ่อีกใบ ที่ตั้งอยู่ข้างกันออก แล้ววิริญญาก็เห็นชุดสีฟ้าแบบเดียวกับที่เธอสวมใส่อยู่พับวางเอาไว้ในนั้นหลายสิบชุด
หญิงสาวรีบก้าวยาวๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นมากที่สุดก็คือ เจ้าหญิงเคียร่าบอกว่าชุดพวกนี้เป็นชุดของมารดาเธอทั้งหมด วิริญญาเอื้อมมือไปลูบไล้เสื้อผ้าชุดสีฟ้าในตู้ใบนั้นอย่างทะนุถนอม พลางเอ่ยพึมพำขึ้น
“ชุดของแม่”
