5 ข้ามมิติ
ปภพพาลูกสาวไปล้างแผลด้วยน้ำเปล่า โชคดีที่บาดแผลไม่ได้ลึกมากจึงไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล และคงไม่ปลอดภัยนักหากวิริญญาจะก้าวออกจากบ้านทั้งที่เพิ่งโดนตามล่ามา ขณะที่บิดาทำแผลให้หญิงสาวก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ท่านฟังไปด้วย ซึ่งปภพเองก็ตกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าจอมซาตานอีเลียสจะชิงลงมือเร็วขนาดนี้ อีกทั้งรู้สึกเป็นห่วงนักรบหนุ่มทั้งสามที่เข้ามาช่วยเหลือลูกสาวด้วย
“ลูกคิดว่าสามคนนั้นจะสู้กับพวกนั้นได้หรือเปล่า” ปภพถามพลางเอาสำลีที่ชุบแอลกอฮอล์แล้วเช็ดบาดแผลให้ลูกสาว
“ไม่ทราบสิคะ หนูก็กำลังเป็นห่วงพวกเขาอยู่เหมือนกัน” วิริญญาตอบบิดาด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสามหนุ่มบ้าง
“ขอบคุณที่เป็นห่วง เราสามคนปลอดภัยดี” เสียงเทรีสดังขึ้น พร้อมๆ กับที่ร่างของชายหนุ่มทั้งสามปรากฏขึ้นกลางห้อง สองพ่อลูกหันไปมองพวกเขาทันที วิริญญาเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อมองสำรวจตามร่างกายของคนทั้งสามแล้วไม่พบบาดแผลใดๆ
“ขอบคุณมากที่ช่วยลูกสาวผม”
ปภพกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มทั้งสามด้วยความจริงใจ เหล่านักรบแห่งครีเซียพยักหน้าให้ปภพนิดหนึ่งเป็นการรับคำขอบคุณ ก่อนที่ฮันส์จะพูดขึ้น
“ไม่เป็นไร เราทั้งสามมีหน้าที่พิทักษ์นางให้ปลอดภัยอยู่แล้ว”
ปภพถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูด
“เพื่อที่พวกคุณจะได้พาลูกสาวผมกลับไปที่อาณาจักรครีเซียล่ะสิ”
“ท่านก็เห็นอยู่แล้ว ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ เราไม่ได้หลอกลวงท่านเลยแม้แต่น้อย หากพวกเราไม่ได้กำลังจะเดินทางมายังบ้านของท่าน เมื่อครู่นางอาจจะถูกเฮเมซ มือขวาของอีเลียสฆ่าตายไปแล้วก็ได้” อาร์กอนอธิบาย
“และท่านต้องรู้อีกอย่างก็คือ พวกลูกสมุนของอีเลียสจะไม่ไปไหนหากยังฆ่าลูกสาวของท่านไม่ได้ รวมทั้งทุกคนในบ้านของท่านก็จะไม่ปลอดภัยด้วย” เทรีสเสริม
“พวกคุณแน่ใจนะว่า ถ้าฉันไปกับพวกคุณแล้วทุกคนที่บ้านของฉันจะปลอดภัย” วิริญญาถามเพื่อขอคำยืนยันอีกครั้ง
“แน่นอน อีเลียสจะต้องให้สมุนของมันติดตามพวกเราไปทันที” เทรีสตอบ
นัยน์ตาดำขลับประสานกับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หญิงสาวจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าเด็ดขาด
“ตกลง ฉันจะไปกับพวกคุณ”
ปภพถอนหายใจเบาๆ กับการตัดสินใจของลูกสาวซึ่งเขารู้ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นด้วยเลย
“ถ้าอย่างนั้นริญตามพ่อไปที่ห้องทำงานก่อน พ่อมีอะไรจะให้ลูก เอ่อ...พวกคุณด้วยนะ” ท้ายประโยคเขาหันไปบอกนักรบหนุ่มทั้งสาม เมื่อพวกเขาพยักหน้าปภพก็เดินนำหน้าทุกคนออกไปจากห้องนอนวิริญญาทันที
หญิงสาวเดินตามผู้เป็นบิดาไปจนถึงห้องทำงาน เมื่อท่านเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ก็เห็นนักรบหนุ่มทั้งสามยืนรออยู่ก่อนแล้ว
ปภพเดินไปเปิดตู้เซฟใบเล็ก แล้วหยิบกล่องไม้สีน้ำเงินขนาดไม่ใหญ่มากนักใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะทำงาน เมื่อเขาเปิดมันออก ทุกคนก็เห็นเสื้อผ้าชุดหนึ่งพับวางอยู่ในนั้น มันเป็นชุดสีฟ้าทั้งชุดและด้านบนยังมีเครื่องประดับศีรษะทำจากอัญมณีสีน้ำเงินร้อยเรียงอย่างสวยงาม รวมทั้งกำไลสีทองวางทับอยู่อีกที
“ชุดของวีร่า”
วิริญญาได้ยินเสียงเทรีสพึมพำกับตัวเองเบาๆ หญิงสาวหันไปมองใบหน้าคมเข้มของเขาแวบหนึ่ง และก็ทันได้เห็นแวววูบไหวในดวงตาสีน้ำเงินเข้มคู่นั้น ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่ของลูกบอกกับพ่อไว้ว่า ขอให้พ่อเก็บชุดนี้ไว้ให้ลูก ตอนนั้นพ่อก็ไม่เข้าใจว่าคุณแม่จะให้ลูกสวมชุดนี้ตอนไหน แต่พ่อคิดว่าวันนี้คงถึงเวลาแล้ว”
ปภพยื่นชุดสีฟ้านั้นให้ลูกสาว พร้อมทั้งเครื่องประดับศีรษะและกำไลสีทอง วิริญญารับชุดจากบิดามาถือไว้ในมือตนเอง สายตาก็ไล่ไปตามเนื้อผ้าอย่างตกตะลึงในความสวยงามของชุดนี้
“หากเจ้าพร้อมแล้ว เราก็ควรจะออกเดินทางกันได้แล้ว” เสียงฮันส์พูดขึ้น ทำให้หญิงสาวละสายตาจากชุดที่ตัวเองถืออยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปกอดบิดา
“ริญจะกลับมาค่ะคุณพ่อ คุณพ่อรอนะคะ แล้วก็บอกคุณป้าให้ริญด้วยนะคะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วงริญ”
“พ่อคิดว่าคุณป้าคงจะเข้าใจ โชคดีนะขอให้วิญญาณของคุณแม่คุ้มครองลูก”
“ข้าคิดว่าเราควรรีบออกเดินทางได้แล้วเทรีส” อาร์กอนเร่ง
“เดี๋ยว ข้าคิดว่าเราควรเปลี่ยนชุดให้นางก่อน ให้นางสวมชุดของวีร่าจะดีกว่า”
ฮันส์บอกพลางยกมือขึ้นโบกมาที่ร่างของวิริญญา หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีลมบางๆ หมุนวนอยู่รอบตัว
เพียงครู่เดียวร่างระหงของเธอก็อยู่ในชุดรัดกุมสีฟ้าเต็มยศของมารดา ที่ประดับด้วยเครื่องประดับศีรษะระโยงระยางและกำไลข้อมือสีทอง ซึ่งก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นถึงกับยืนนิ่งงัน ภาพตรงหน้าพวกเขามันเหมือนกับวีร่ากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
“วีร่า!” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“เหมือนนางจริงๆ” ฮันส์พูด
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” อาร์กอนเสริม
แต่ไม่มีเสียงจากเทรีส นอกจากแววตานิ่งๆ แปลความหมายไม่ออกที่มองมายังวิริญญา
“ริญรักคุณพ่อค่ะ” วิริญญาโผเข้ากอดบิดาอีกครั้งเพื่อเป็นการอำลา ก่อนจะถอยห่างออกมา ซึ่งเทรีสก็ก้าวเข้ามาหาหญิงสาวอย่างรวดเร็วพลางพูด
“ขออภัยด้วย”
ก่อนที่ชายหนุ่มจะจับแขนทั้งสองข้างของวิริญญาขึ้นทันที หญิงสาวทำท่าจะดึงแขนตัวเองออกจากมือเขา พลางถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คุณจะทำอะไร”
“ข้าจะรักษาบาดแผลให้เจ้าก่อนทายาทของวีร่า” เทรีสตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หญิงสาวจึงหยุดดึงแขนตัวเองออกจากมือชายหนุ่ม และยืนดูเขายกฝ่ามือขึ้นเหนือแขนทั้งสองข้างของเธอ เพียงครู่เดียวฝ่ามือของเทรีสก็เปล่งประกายรัศมีสีเหลืองนวลตาออกมา และเมื่อรัศมีนั้นหายไปบาดแผลบนแขนทั้งสองข้างของวิริญญาก็หายไปด้วยเช่นกัน ไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไรบนแขนของหญิงสาวเลย ราวกับเธอไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“เหลือเชื่อเลย!” วิริญญาอุทานพลางยกแขนทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นดูอย่างอัศจรรย์ใจ พอรักษาบาดแผลที่แขนหญิงสาวแล้ว เทรีสก็ถอยห่างออกมาจากร่างระหง แล้วเอ่ยขึ้น
“บาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้ นักรบแห่งครีเซียสามารถใช้พลังรักษาได้ทุกคน รวมทั้งเจ้าด้วย เพียงแต่ในเวลานี้เจ้ายังไม่รู้จักวิธีใช้พลังเท่านั้น ทายาทของวีร่า” เมื่ออธิบายจบ เทรีสก็หันไปพูดกับฮันส์และอาร์กอน
“ท่านสองคนนำนางไปยังประตูมิติก่อน อีกซักครู่ข้าจะตามไป”
ฮันส์กับอาร์กอนพยักหน้า เมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากบิดาไปจริงๆ วิริญญาก็โผเข้าไปกอดท่านอีกครั้ง ปภพลูบศีรษะลูกสาวอย่างแสนรัก
“ขอให้ริญปลอดภัย รักษาตัวให้ดีๆ นะลูก”
“ค่ะ คุณพ่อก็เหมือนกันนะคะ รักษาตัวด้วย ริญจะกลับมาค่ะ ริญสัญญา”
พูดจบวิริญญาก็ถอยห่างออกมาจากร่างบิดา ก่อนที่ฮันส์และอาร์กอนจะก้าวมายืนขนาบข้างหญิงสาว ทั้งสองคนยกมือขึ้นโบก เพียงครู่เดียวก็เกิดลมหมุนวนรอบร่างของทั้งสามคน ก่อนที่พวกเขาจะหายวับไปกับตา
เมื่ออยู่ตามลำพังปภพจึงหันมาทางเทรีสก่อนจะพูดด้วยแววตาแห่งความหวัง
“เทรีส ผมฝากลูกสาวของผมกับคุณด้วยนะ แกคือชีวิตของผม”
เทรีสพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าสัญญาว่าข้าจะปกป้องดูแลนาง และนำนางกลับมาคืนให้ท่านอย่างปลอดภัย ด้วยเกียรติของนักรบแห่งครีเซียและด้วยชีวิตของข้า”
แล้วร่างในชุดสีขาวก็หายไปท่ามกลางสายลมที่หมุนวน ก่อนจะไปปรากฏร่างขึ้นตรงประตูระหว่างมิติ ซึ่งฮันส์ อาร์กอน และวิริญญากำลังรออยู่
“รีบเดินทางกลับอาณาจักรครีเซียกันเถิด ฮันส์ท่านช่วยแผ่พลังคุ้มครองร่างนางด้วย เพราะนางยังไม่เคยเดินทางข้ามมิติ และพลังในกายของนางก็ยังไม่มากพอที่จะคุ้มครองตนเองได้” เทรีสบอกฮันส์ ก่อนจะหันไปพูดกับอาร์กอน
“ท่านช่วยระวังข้างหลังฮันส์ด้วยนะอาร์กอน ข้าจะนำหน้าเข้าไปก่อน”
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เทรีสก็ชูมือข้างขวาที่สวมกำไลสีทองอยู่ขึ้นเหนือศีรษะ พลันอัญมณีสีขาวที่ฝังอยู่ตรงกึ่งกลางของกำไลก็เกิดประกายวูบวาบ เพียงครู่เดียววิริญญาก็เห็นอุโมงค์สีดำหมุนวนอยู่เบื้องหน้า เทรีสก้าวนำเข้าไปก่อน ฮันส์จึงหันมาพูดกับหญิงสาวเป็นเชิงขออนุญาต
“ข้าจำเป็นต้องจับมือเจ้า เพื่อพาเจ้าข้ามมิตินะทายาทของวีร่า ขออภัยด้วย”
เมื่อหญิงสาวพยักหน้า เขาจึงเอื้อมมือมาจับมือเธอเอาไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะพาวิริญญาก้าวเข้าไปในอุโมงค์ดำมืด ขณะที่อาร์กอนก้าวตามหลังเข้ามาเป็นคนสุดท้าย แล้วอุโมงค์สีดำก็พลันหายวับไปกับตา
วิริญญาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเดินทางข้ามมิติมันจะรู้สึกทรมาน เหมือนร่างกายถูกแรงอัดมหาศาลจากอากาศรอบข้างมากมายขนาดนี้ เธอรู้สึกว่าหูอื้ออึงไปหมด ดวงตาก็มองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด ลมหายใจก็ติดขัดเหมือนใจจะขาดอยู่รอมร่อ
ในที่สุดการเดินทางอันแสนทรมานก็สิ้นสุดลง เมื่อหญิงสาวเห็นจุดเล็กๆ สีขาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วในที่สุดมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและสว่างจ้า จนเธอไม่อาจทนจ้องมองมันได้อีก วิริญญารู้สึกว่าดวงตาพร่ามัวจึงต้องหลับตาลง ก่อนจะรู้สึกว่าแรงอัดมหาศาลรอบกายค่อยๆ ลดลงทีละน้อย จนกลับเป็นปกติในที่สุด
“เอาล่ะ เราเดินทางมาถึงอาณาจักรครีเซียกันแล้วทายาทของวีร่า”
เสียงฮันส์หันมาบอกหญิงสาวที่ยังคงยืนหลับตานิ่งอยู่ด้วยความกลัว ภาพนั้นทำให้นักรบหนุ่มหัวเราะเบาๆ กับกิริยาของหญิงสาว ก่อนกระซิบที่ข้างหูเธอ
“ลืมตาได้แล้วทายาทของวีร่า”
ดวงตากลมโตจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวถึงกับตกตะลึง เพราะขณะนี้เธอกำลังยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ซึ่งก่อสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เบื้องหน้ารูปปั้นเสมือนจริงของหญิงสาวแสนสวยคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนถือคฑาอยู่เหนือแท่นยกสูง
ที่ด้านหน้ารูปปั้นนั้นมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาคมสัน มีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวระต้นคอ และนัยน์ตาสีฟ้าสดใส เขาสวมชุดคลุมยาวสีทองงามระยับ และสวมมงกุฎอยู่บนศีรษะ บ่งบอกให้รู้ถึงตำแหน่งอันสูงส่ง
ส่วนชายหนุ่มร่างสูงอีกคน เขามีใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า เขามีเรือนผมสีทองยาวจรดเอว และนัยน์ตาสีอำพันงดงาม สวมชุดคลุมยาวสีขาวตลอดทั้งร่าง และขณะนี้ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างก็กำลังมองมาที่วิริญญา
“เจ้าชายซาลาส ท่านฟรานเชส”
เทรีส ฮันส์และอาร์กอนพูดประสานเสียงกันขึ้น พร้อมทั้งยกมือข้างขวาขึ้นทาบเหนือหน้าอกด้านซ้าย ก้มศีรษะให้กับคนทั้งสองเป็นการแสดงความเคารพ
“ยินดีต้อนรับทุกท่านกลับสู่ครีเซีย” ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีทองงามระยับพูดขึ้น
วิริญญามั่นใจว่าเขาคือเจ้าชายซาลาส เพราะมงกุฎที่เขาสวมนั้นเป็นสิ่งที่บ่งบอกฐานะได้ ส่วนชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีขาวก็คือผู้วิเศษฟรานเชสนั่นเอง
“ดูเหมือนว่าทายาทของวีร่ายังคงงุนงงอยู่กระมัง” ผู้วิเศษฟรานเชสเอ่ยขึ้นยิ้มๆ เมื่อเห็นอาการยืนอึ้งของ
วิริญญา ทำให้หญิงสาวได้สติ แล้วยิ้มให้กับทั้งสองเพราะไม่รู้ว่าเธอควรจะทำความเคารพพวกเขาอย่างไร
“ยินดีต้อนรับทายาทของท่านวีร่า ข้ายินดียิ่งนักที่เจ้ายอมมาช่วยเหลืออาณาจักรครีเซีย” เจ้าชายซาลาสเอ่ยกับหญิงสาว
“ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะมานักหรอกค่ะ แต่ไม่มีทางเลือกต่างหาก” วิริญญาพูดออกไปตามตรง
ทำให้ผู้วิเศษฟรานเชสถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หึๆ เจ้าช่างเหมือนวีร่า มารดาของเจ้ายิ่งนัก ข้าจำได้ว่าตอนที่นางถูกส่งตัวเข้ามาให้ข้าฝึกเป็นนักรบผู้พิทักษ์อาณาจักรครีเซีย พร้อมๆ กับเทรีส ฮันส และอาร์กอนนั้น นางก็ไม่เต็มใจเช่นกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ตอนนั้นนางยังเป็นเด็ก ส่วนเจ้าเติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว”
“ฮะ! คุณ...เอ่อ...ท่านผู้วิเศษ เคยเห็นคุณแม่ของฉันตั้งแต่ตอนเด็กเลยเหรอคะ?”
วิริญญาถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก็จะไม่ให้เธอประหลาดใจได้ยังไง ในเมื่อผู้วิเศษฟรานเชสนั้น ถึงแม้จะดูออกว่าอายุเขามากกว่าเธอ แต่หญิงสาวก็คิดว่าคงจะมากกว่าไม่กี่ปีหรอก อย่างมากสุดเธอเดาว่าเขาก็น่าจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดหรือไม่ก็ยี่สิบแปดปี ไม่น่าจะถึงสามสิบปี ซึ่งก็คงพอๆ กับเจ้าชายซาลาส แล้วทำไมเขาถึงพูดว่ามารดาของเธอถูกส่งตัวมาฝึกเป็นนักรบผู้พิทักษ์อาณาจักรครีเซียกับเขาตั้งแต่เด็กล่ะ
เพราะถ้าหากมารดาของวิริญญายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็อายุสี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ซึ่งก็แก่กว่าผู้วิเศษฟรานเชสตั้งยี่สิบปี ถ้าเขาอายุยี่สิบเจ็ดจริงๆ นะ แล้วเขาจะมาฝึกมารดาเธอให้เป็นนักรบตั้งแต่เด็กได้ยังไง ตอนนั้นเขายังไม่น่าจะเกิดเลยด้วยซ้ำ ยิ่งคิดวิริญญาก็ยิ่งงุนงงหนัก
“หึๆ เจ้าคิดว่าข้าอายุเพียงยี่สิบเจ็ดปีเท่านั้นหรือทายาทของวีร่า”
ฟรานเชสหัวเราะเบาๆ ไม่ต่างจากชายหนุ่มอีกสี่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขากำลังยืนอมยิ้มกับความคิดของเธอ
ทีแรกหญิงสาวก็ตกใจอยู่ที่ผู้วิเศษหนุ่มรู้ความคิดของเธอ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าขนาดเทรีส ฮันส์และอาร์กอนยังรู้เลยว่าเธอคิดอะไร แล้วฟรานเชสเป็นถึงผู้วิเศษทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ หญิงสาวก็เลยตอบออกไปตามตรง
“ก็ดูจากหน้าตาของท่านแล้ว อายุท่านไม่น่าจะเกินยี่สิบเจ็ดนี่คะ ฉันเดาผิดเหรอ”
“ผิดอย่างมหันต์เลยเชียวล่ะทายาทของวีร่า ข้ามีอายุจนถึงปัจจุบันนี้หนึ่งร้อยยี่สิบสองปีแล้ว”
พอได้รู้อายุที่แท้จริงของเขา วิริญญาก็ถึงกับเบิกตากว้างทันที พลางจ้องมองใบหน้าของผู้วิเศษหนุ่มเพื่อหาร่องรอยแห่งวัยที่คนแก่ทุกคนควรจะมี แต่ก็ไม่เจออะไรเลย นอกจากใบหน้าเนียนผิวขาวอมชมพู เรียกได้ว่าผิวสวยเสียจนผู้หญิงอย่างเธอยังอาย
“ท่านบอกว่าท่านอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสองปีแล้วงั้นเหรอคะ เป็นไปได้ยังไง เหลือเชื่อเลย!”
“ข้าคือผู้วิเศษ ข้าสามารถหยุดสภาพร่างกายของตนเองเอาไว้ได้ทายาทของวีร่า”
ฟรานเชสอธิบายยิ้มๆ ทำให้วิริญญานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หญิงสาวหันไปมองใบหน้านักรบผู้พิทักษ์อาณาจักรครีเซียทันที ใช่แล้วพวกเขาทั้งสามคนก็ยังดูเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเศษๆ เหมือนกัน ทั้งที่ความจริงแล้วพวกเขาจะต้องมีอายุพอๆ กับมารดาของเธอด้วยซ้ำ แต่พวกเขาดูไม่เหมือนคนอายุสี่สิบกว่าเลยสักนิด
“ท่านฟรานเชสหยุดสภาพร่างกายของพวกข้าทั้งสามคนเอาไว้ตอนอายุยี่สิบห้าปีเช่นกัน” เทรีสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางมองสบตากับวิริญญานิ่ง
“มะ...หมายความว่าถึงหน้าตาของพวกคุณจะแค่ยี่สิบห้า แต่อายุจริงสี่สิบกว่าแล้วงั้นเหรอ”
วิริญญาทวนถามซ้ำอีกครั้ง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าช่างเป็นคำถามที่โง่เขลาจริงๆ ก็ในเมื่อทั้งสามคนเป็นนักรบรุ่นเดียวกับมารดาของเธอ พวกเขาก็ต้องอายุไล่เลี่ยกับมารดาของเธออยู่แล้ว
“หึๆ เจ้ากำลังคิดว่าพวกข้าอายุเท่าๆ กับวีร่าล่ะสิ เจ้าอยากจะเรียกพวกข้าว่าท่านลุงหรือไม่ล่ะ”
ฮันส์หัวเราะเบาๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงขบขัน วิริญญาย่นจมูกและส่ายหน้าทันที
“ไม่มีทาง...หน้าตาเท่าคนอายุแค่ยี่สิบห้า แต่จะให้ฉันเรียกพวกคุณว่าลุงเนี่ยนะ รับไม่ได้อย่างแรง”
“ข้าก็รับไม่ได้เช่นกัน หากเจ้าจะเรียกข้าว่าท่านลุง”
อาร์กอนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ทำให้ฮันส์ ผู้วิเศษหนุ่มฟรานเชส และเจ้าชายซาลาสพากันหัวเราะอย่างขบขัน ขณะที่แววตาของเทรีสไหววูบหนึ่ง ก่อนจะกลับนิ่งเป็นปกติดังเดิม
“คงจะมีแต่ข้ากระมังที่แก่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี” เจ้าชายซาลาสพูดยิ้มๆ
“ท่านอยากจะให้ข้าหยุดสภาพร่างกายให้ท่านหรือไม่ล่ะท่านซาลาส แต่ข้าเกรงว่าท่านอาจจะไม่สะดวกใจที่จะปฏิบัติตามกฎนักกระมัง หรือท่านว่าอย่างไร” ฟรานเชสถามเจ้าชายหนุ่มยิ้มๆ
“แน่นอนท่านฟรานเชส ข้าไม่สะดวกใจกับกฎของท่านอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นขอให้ข้าได้แก่ไปตามวัยของข้าเถิด”
เจ้าชายซาลาสบอกกับผู้วิเศษหนุ่มยิ้มๆ เช่นกัน ขณะที่วิริญญาขมวดคิ้วอย่างอย่างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องกฎที่เจ้าชายซาลาสและผู้วิเศษฟรานเชสพูดถึง
