4 ทายาทผู้มีพลังแห่งน้ำ
หญิงสาวเดินเข้าไปบอกกับบิดาว่า เธอตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรครีเซียกับนักรบหนุ่มทั้งสาม เพื่อความปลอดภัยของทุกคนภายในบ้าน แม้ว่าปภพจะพยายามพูดจาเหนี่ยวรั้งอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้วิริญญาเปลี่ยนใจได้ เขาไม่เห็นด้วยเพราะไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่ในที่สุดปภพก็ต้องจำนนต่อเหตุผลเมื่อลูกสาวบอกว่า
“บางทีโชคชะตาอาจจะลิขิตชีวิตของหนูเอาไว้อย่างนี้ก็ได้ค่ะคุณพ่อ”
ใช่...ถ้าทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ต่อให้ยื้อและเหนี่ยวรั้งอย่างไรลูกสาวของเขาก็ต้องไปอยู่ดี ปภพจึงได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของวิริญญาด้วยใบหน้าแสนเศร้า ที่จำต้องปล่อยให้ลูกสาวไปผจญกับอันตราย โดยไม่รู้ว่าลูกจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่
หลังจากตัดสินใจว่าจะเดินทางไปอาณาจัรครีเซีย วันนี้หญิงสาวจึงไปหาคุณป้าที่วัด ก่อนขับรถไปที่บ้านเกศราเพื่อนสาวคนสนิท เธอใช้เวลาอยู่กับเพื่อนจนถึงค่ำ เพราะไม่รู้ว่าถ้าหากเดินทางไปอีกมิติหนึ่งแล้ว จะมีโอกาสได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า หลังจากนั้นหญิงสาวก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที
ความมืดสนิทเริ่มแผ่เข้าปกคลุม ทางเข้าสู่บ้านสวนซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเต็มทั้งสองข้างทาง ดูมืดครึ้มและวังเวงกว่าทุกวัน วิริญญาขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นเวลาเพียงหนึ่งทุ่มเท่านั้น แต่ถนนหนทางกลับร้างทั้งผู้คนและรถราที่เคยสัญจรไปมาซึ่งผิดปกติมาก
ทำไมทั้งผู้คนและรถราจึงได้พร้อมใจกันหายไปจากท้องถนนหมด ราวกับว่าเธอกำลังขับรถอยู่ในเมืองร้างอย่างไรอย่างนั้น สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้หญิงสาวต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะสถานการณ์รอบตัวดูผิดปกติมากกว่าที่เคยเป็นจริงๆ
วิริญญารู้สึกว่าวันนี้ถนนช่างยาวไกลเหลือเกิน เธอรู้สึกว่ารถของเธอเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ทั้งที่ขณะนี้เธอเร่งความเร็วของรถจนเกินร้อยยี่สิบแล้ว แต่ตอนนี้วิริญญาไม่สนใจว่าตนจะขับรถเร็วเกินไปหรือเปล่า เพราะขณะนี้หญิงสาวมีเพียงความคิดเดียวคืออยากจะกลับให้ถึงบ้านโดยเร็วที่สุด
เอี๊ยดดด!!!
เสียงล้อรถบดกับถนนดังสนั่น เมื่อจู่ๆ หญิงสาวเห็นร่างของใครบางคนยืนหันหลังอยู่ตรงกลางถนน ทำให้รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเสียหลักจนหมุนคว้างเป็นวงกลมอยู่หลายรอบ ก่อนจะมาหยุดนิ่งอยู่ข้างถนน
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าเนียนซีดเผือดขณะที่ใจยังคงเต้นรัวเร็ว พลางนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทำให้เธอรอดตายจากวินาทีชีวิตเมื่อครู่นี้
เมื่อตั้งสติได้วิริญญาก็เพ่งมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่จุดเดิม เธอมั่นใจว่าเขาเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน เจ้าของร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดำสนิทตลอดร่าง ไม่นานนักเจ้าของร่างปริศนาก็ค่อยๆ หันกลับมาอย่างเชื่องช้าแล้วจ้องมองมาที่เธอ
เมื่อได้เห็นด้านหน้า ดวงตาของวิริญญาก็เบิกตากว้างทันที ใบหน้าที่สวมใส่หน้ากากสีเงินปกปิดไว้ครึ่งหนึ่ง มีเพียงดวงตาสีเขียวมรกตที่กำลังจ้องมองหญิงสาวอยู่เท่านั้น ที่ทำให้เธอรู้ว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้ไม่ประสงค์ดีกับเธอแน่นอน
“สมุนของจอมซาตานอีเลียส!”
หญิงสาวอุทานเบาๆ สติของวิริญญากลับคืนมาทันที สมองสั่งการให้เธอรีบพาตนเองหนีไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด หญิงสาวสตาร์ทเครื่องยนต์ รีบหักพวงมาลัยรถให้หันหัวตรงแล้วออกรถทันที แต่ก็ไม่ทันชายคนนั้นที่เพียงพริบตาเดียวเขาก็มายืนอยู่ตรงหน้ารถเธอเสียแล้ว
นัยน์ตาดำขลับของหญิงสาวเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นกำไลข้อมือสีเงินที่อีกฝ่ายสวมอยู่เปล่งประกายวูบวาบขึ้นมา ก่อนจะกลายสภาพเป็นดาบเล่มยาวอยู่ในมือของเขา และชี้ปลายดาบมาที่เธอ
วิริญญาหายตกตะลึงทันทีพยายามเหยียบคันเร่งเพื่อหนีไปจากผู้ประสงค์ร้าย แต่ทว่ารถของเธอก็ไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าเนียนซีดเผือดหันซ้ายแลขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ แต่ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนชุดดำที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้อีกนับสิบคนกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้รถของเธอ
ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีมรกตจะกระโดดลอยขึ้นมายืนบนกระโปรงรถของเธอ พร้อมกับคมดาบที่ตวัดใส่กระจกหน้ารถของหญิงสาวเป็นรอยขีดยาว ทำให้กระจกทั้งแผ่นค่อยๆ แตกกระจายและหลุดร่วงกราวลงมา
“ว้ายยย!”
วิริญญาร้องเสียงหลง ขณะที่แขนทั้งสองข้างยกขึ้นบังเศษกระจกที่กระจายพุ่งเข้าใส่ใบหน้าอย่างรวดเร็ว จนแขนทั้งสองข้างโชกไปด้วยเลือด
“หึๆ นึกว่าเจ้าจะหนีรอดไปได้โดยง่ายหรือ ทายาทผู้สืบทอดพลังแห่งน้ำ”
เสียงเย็นชาของคนในชุดดำที่ยังคงยืนอยู่บนกระโปรงรถดังขึ้น พร้อมทั้งตวัดดาบขึ้นอีกครั้งเพื่อสังหารหญิงสาวตรงหน้า
เคร้งงง!!!
อะไรบางอย่างลอยมากระทบกับดาบในมือของชายชุดคลุมสีดำอย่างแม่นยำ ทำให้ดาบกระเด็นหลุดร่วงจากมือของเขา พร้อมกับเสียงราบเรียบของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“เจ้าไม่คิดว่าเป็นการน่าละอายบ้างหรอกหรือเฮเมซ ที่เจ้าพาลูกสมุนเป็นสิบมารุมทำร้ายหญิงสาวเพียงคนเดียว ที่ไร้ซึ่งอาวุธและไม่มีทางต่อสู้”
วิริญญาถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปทางเจ้าของเสียงนั้นทันที เพราะถ้าเธอจำไม่ผิดเสียงนี้น่าจะเป็นเสียงของเทรีส ชายหนุ่มในชุดสีขาว ผู้เป็นนักรบแห่งอาณาจักรครีเซียนั่นเอง
ร่างของนักรบหนุ่มจากอาณาจักรครีเซียทั้งสามคนปรากฏขึ้น และกำลังก้าวเข้ามาใกล้รถของวิริญญาด้วยทีท่าระแวดระวัง นัยน์ตาของพวกเขาทั้งสามคนกำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างของชายในชุดดำ ซึ่งตอนนี้กระโดดลงไปยืนอยู่บนถนนเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งเรียกดาบที่หล่นอยู่บนถนนให้ลอยกลับเข้าไปอยู่ในมืออย่างง่ายดาย และกำลังจ้องมองทั้งสามคนเขม็งเช่นกัน ก่อนที่สมุนของมันล้อมจะเธอกับนักรบหนุ่มทั้งสามเอาไว้
“ไม่น่าเชื่อว่าอีเลียสจะส่งมือขวามาถึงที่นี่ได้” เสียงเยาะหยันของอาร์กอนดังขึ้นบ้าง
“ยินดีที่ได้พบยอดนักรบทั้งสามแห่งอาณาจักรครีเซีย” เสียงเย็นชาของเฮเมซเอ่ยขึ้น หากแต่แววตากลับไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย
วิริญญาอาศัยจังหวะที่เฮเมซกำลังเผลอ ตั้งใจจะเปิดประตูรถวิ่งไปหานักรบหนุ่มทั้งสาม แต่เสียงของฮันส์ก็ดังขัดขึ้นว่า
“จงอย่าได้ลงมาจากพาหนะของเจ้า ทายาทของวีร่า”
หญิงสาวชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถทันที นักรบหนุ่มทั้งสามก้าวเข้ามาใกล้กับรถของเธอ ก่อนที่เทรีสจะกระซิบเบาๆ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่เฮเมซ
“พวกข้าจะสกัดพวกมันไว้ และทันทีที่พวกข้าลงมือเจ้าจงรีบหาทางหนีไปทันที เข้าใจหรือไม่ทายาทของวีร่า”
“ค่ะ ฉันเข้าใจค่ะ”
วิริญญารับปากชายหนุ่มอย่างง่ายดาย พลางขยับนั่งเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสตาร์ทรถ เพื่อบึ่งรถหนีออกไปจากบริเวณนี้ ซึ่งน่าจะกลายเป็นสนามรบย่อยๆ ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้
“พวกเจ้าสามคนคิดว่าจะช่วยให้นางหนีไปได้งั้นรึ ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน”
เฮเมซพูดอย่างดูถูก พลางยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้พวกลูกสมุนนับสิบเข้าโจมตีนักรบหนุ่มทั้งสามพร้อมกันทันที ซึ่งวิริญญาก็สตาร์ทเครื่องรถทันทีเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายเริ่มต่อสู้กันแล้ว หญิงสาวพยายามขับรถฝ่าวงล้อมออกไป แม้ว่าจะมีพวกคนชุดดำหลายคนกระโดดเข้ามาขวางทางรถของวิริญญา แต่นักรบหนุ่มทั้งสามก็เข้ามาช่วยจัดการคนเหล่านั้นให้พ้นทางรถของหญิงสาวจนได้
ในที่สุดวิริญญาก็สามารถพารถแล่นออกมาพ้นจากสมรภูมิรบแห่งนั้นได้ หญิงสาวพยายามเร่งเครื่องรถให้มุ่งหน้ากลับถึงบ้านโดยเร็วที่สุด
เมื่อได้ยินเครื่องยนต์รถดังอยู่หน้าบ้านปภพก็ออกมาดูทันที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพพังยับเยินของรถและลูกสาวของเขาที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด
“ริญ! เกิดอะไรขึ้นลูก” คนเป็นพ่อหัวใจแทบวาย เมื่อเห็นสภาพของลูกสาว ก่อนจะโผเข้าไปกอดวิริญญาไว้อย่างห่วงใย แล้วผละออกเพื่อสำรวจร่างกายของเธอว่าไปโดนอะไรมา
สายตาคนของเป็นพ่อไล่ไปตามแขนของลูกสาวอย่างช้าๆ พบว่าแขนลูกของเขานั้นเต็มไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยของกระจกที่ติดอยู่ตามผิวหนังซึ่งมีเลือดซึมออกมาเต็มไปหมด
“ลูกต้องรีบขึ้นไปล้างแขน ดูว่ามีเศษกระจกฝังอยู่ข้างในหรือเปล่า ถ้ามีเราจะได้รีบไปโรงพยาบาล”
หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ ปภพจึงเข้ามาประคองร่างของลูกสาวให้เดินขึ้นบันไดบ้านไปข้างบนอย่างช้าๆ
