บท
ตั้งค่า

3 นักรบหญิงแห่งอาณาจักรครีเซีย

ปภพขับรถมาถึงบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตอนเกือบเที่ยงคืน บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เขากับปราณีพี่สาวของเขาอาศัยอยู่ร่วมกันมา ตั้งแต่บิดากับมารดาของทั้งคู่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน

หลังจากที่ปภพเล่าเรื่องที่เขาพบหญิงสาวแปลกหน้าให้ปราณีฟังได้ครู่หนึ่ง หญิงสาวแปลกหน้าก็เริ่มรู้สึกตัว เธอแนะนำตัวกับสองพี่น้องว่าตนเองชื่อวีร่า เป็นนักรบของอาณาจักรครีเซีย ซึ่งอยู่กันคนละมิติกับที่นี่ วีร่าบอกว่าเธอกำลังต่อสู้กับพวกปีศาจลูกสมุนของจอมซาตานโอลาลอสอยู่ แล้วพลังที่ต่างกันสองขั้วก็ทำให้เกิดปรากฎการณ์แปลกประหลาดขึ้น คือประตูระหว่างมิติเปิดออก วีร่าจึงหลุดจากมิติของตนเองมาที่นี่

ทั้งคู่ฟังหญิงสาวพูดอย่างประหลาดใจ แต่เรื่องที่ทำให้สองพี่น้องแปลกใจมากก็คือ วีร่าสามารถอ่านความนึกคิดของทั้งสองที่คิดอยู่ในใจได้ด้วย ซึ่งเธออธิบายว่านักรบแห่งครีเซียสามารถสัมผัสความคิดของคนที่อยู่ใกล้ได้ แม้จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยขัดเธอ เพราะเห็นว่าหญิงสาวดูจริงจังกับเรื่องที่พูด

เมื่อเล่าจบวีร่าก็ขอร้องให้ปภพพาเธอกลับไปยังจุดที่เขาพบเธอ เพราะหญิงสาวคิดว่าผู้วิเศษฟรานเชสอาจารย์ของเธอน่าจะกำลังหาทางเปิดประตูมิติเพื่อช่วยเธอกลับไป ซึ่งปภพก็รับปากว่าเขาจะพาหญิงสาวกลับไปในวันรุ่งขึ้น

รุ่งเช้าปภพจึงขับรถพาหญิงสาวมุ่งหน้าไปที่รังสิต ตรงบริเวณที่เขาพบเธอนอนสลบไสลไม่ได้สติเมื่อคืน เมื่อไปถึงวีร่าก็พยายามเดินวนเวียนรอบๆ บริเวณนั้นเพื่อหาประตูข้ามมิติ แต่จนกระทั่งเย็นย่ำก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเจอ ในที่สุดปภพก็เอ่ยปากชวนหญิงสาวกลับบ้าน โดยสัญญาว่าพรุ่งนี้เขาจะพาเธอมาที่นี่ใหม่

วีร่ามีสีหน้ากังวลใจเพราะกลัวว่าประตูมิติจะเปิดระหว่างที่เขากับเธอเดินทางกลับไปแล้ว ปภพจึงบอกให้หญิงสาวทำสัญลักษณ์เอาไว้ให้คนที่เปิดประตูมิติรู้ เพื่อจะได้มีใครติดตามไปหาเธอได้ ดังนั้นนักรบสาวจากอาณาจักรครีเซียจึงปล่อยพลังสีฟ้าอ่อนจากฝ่ามือตนเอง ทำสัญลักษณ์เอาไว้ตามบ่อน้ำหรือแอ่งน้ำตลอดเส้นทางที่มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของปภพ

ตั้งแต่นั้นมาทั้งปภพและปราณีก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่หญิงสาวพูด เพราะหลายต่อหลายครั้งที่วีร่าแสดงพลังออกมาให้ทั้งคู่ได้เห็น สองพี่น้องจึงพยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้หญิงสาวได้กลับไปในมิติที่เธอจากมา วันไหนที่ว่างหรือหยุดงานปภพก็จะพาวีร่าไปตรงจุดที่พบเธอเสมอ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบประตูสำหรับข้ามมิติกลับไปเสียที จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เธอก็ยังออกไปจากมิตินี้ไม่ได้ และยิ่งนานวันเข้าความผูกพันระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวจากต่างมิติก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นความรัก

ในที่สุดปภพก็แต่งงานกับวีร่า โดยที่ปราณีก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แล้วงานแต่งงานครั้งนี้ก็ทำให้ปราณีกับปภพได้รู้ความจริงอีกข้อหนึ่ง ก็คือวีร่าถ่ายรูปไม่ติด ไม่ว่าจะเป็นรูปเดี่ยวของหญิงสาว หรือรูปคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาว รวมทั้งรูปที่ถ่ายร่วมกับแขก จะไม่มีวีร่าปรากฏอยู่ในภาพนั้นเลย วีร่าให้เหตุผลว่าอาจจะเป็นเพราะว่าตนเองไม่ได้มีตัวตนอยู่ในมิตินี้จึงทำให้ถ่ายรูปไม่ติด

หลังจากนั้นเพียงเดือนเดียววีร่าก็ตั้งท้อง สร้างความดีใจให้กับทุกคนในครอบครัวที่จะได้สมาชิกใหม่ เวลาผ่านไปเก้าเดือน หญิงสาวก็ให้กำเนิดทารกเพศหญิงซึ่งมีหน้าตาเหมือนมารดาราวกับแกะ จะต่างกันก็เพียงแค่สีผมและสีนัยน์ตาเท่านั้น ปราณีเป็นคนเอาวันเดือนปีเกิดของหลานสาวไปให้หลวงตาที่วัดใกล้บ้านตั้งชื่อให้ และเด็กหญิงก็ถูกตั้งชื่อว่าวิริญญา ทั้งคู่ช่วยกันเลี้ยงลูกสาวตัวน้อยอย่างมีความสุข จนวีร่าเองก็เกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าเธอไม่ใช่คนมิตินี้

จนกระทั่งกลางดึกของวันที่เด็กหญิงวิริญญามีอายุครบหนึ่งเดือนพอดิบพอดี ก็มีชายหนุ่มลึกลับในชุดสีขาวปรากฏตัวขึ้นภายในห้องนอน เพื่อมาพาวีร่าเดินทางกลับไปยังมิติที่จากมา แม้หญิงสาวจะขอร้องเขาว่าลูกของเธอยังเล็กอยู่ แต่ชายหนุ่มคนนั้นก็ยืนยันว่าวีร่าต้องกลับไปทำหน้าที่ของนักรบผู้พิทักษ์อาณาจักรครีเซียตามคำสาบาน

หญิงสาวจึงจำเป็นต้องทิ้งปภพและลูกสาวเดินทางกลับไปอาณาจักรครีเซีย เพื่อทำหน้าที่ของตนเอง โดยให้สัญญากับปภพว่าเมื่อหน้าที่ของเธอสิ้นสุดลง เธอจะรีบกลับมาหาเขากับลูกโดยเร็วที่สุด

วิริญญานั่งฟังเรื่องราวของมารดาอย่างอึ้งๆ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตจะต้องมาเจอกับเรื่องที่เหนือธรรมชาติแบบนี้ ยิ่งเป็นคนใกล้ตัวอย่างมารดาด้วยแล้ว หญิงสาวยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่ ว่าผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอจะมีมารดาเป็นถึงนักรบจากอาณาจักรครีเซียซึ่งมีพลังแห่งน้ำ

“แล้วคุณแม่กลับมารึเปล่าคะคุณพ่อ”

วิริญญาถามขึ้นอย่างสนใจเมื่อบิดาหยุดเล่าเหตุการณ์ในอดีตเพียงเท่านั้น ปภพพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“คุณแม่ของลูกกลับมาหลังจากนั้นสามเดือน แต่เพราะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ ไหนจะสูญเสียพลังในการเดินทางข้ามมิติเพื่อกลับมาหาพวกเราอีก คุณแม่ของลูกจึงมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงเดือนเดียวก็จากเราไป ก่อนที่คุณแม่ของลูกจะสิ้นใจก็ได้มอบสร้อยเส้นนั้นไว้ให้ลูก”

วิริญญาก้มลงมองสร้อยและจี้ที่ห้อยอยู่ที่คอของตนเอง รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับมารดาของตนเอง ผู้เป็นพ่อมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาของลูกสาวที่เขารักและทะนุถนอมมาตลอดด้วยสายตาหนักใจพลางเอ่ยต่อ

“หลังจากที่คุณแม่ของลูกจากไป พ่อก็หวังว่าจะไม่มีคนในมิตินั้นมายุ่งวุ่นวายกับครอบครัวของเราอีก แต่ก็มีจนได้”

วิริญญาขมวดคิ้วเพราะงุนงงกับคำพูดของบิดา

“หมายความว่ายังไงคะคุณพ่อ”

“วันนี้ผู้ชายคนเดิมก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง”

“ผู้ชายชุดขาวที่มาบังคับให้คุณแม่กลับไปด้วนเหรอคะ”

“ใช่แล้วล่ะลูก”

“แล้วคราวนี้พวกเขามาที่นี่อีกทำไมคะ” หญิงสาวถามบิดาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขุ่นเคือง เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มหนึ่งในสามคนนั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่มาพรากเอามารดาไปจากเธอและบิดา

ดวงตาของคนเป็นพ่อมองลูกสาวของตัวเองด้วยความรักและห่วงใยนิ่งนาน ก่อนตัดสินใจพูดออกมา

“พวกเขาจะมาพาลูกไปอาณาจักรครีเซีย”

วิริญญาเบิกตากว้างอย่างตกใจทันที ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า

“ริญไม่มีทางไปกับคนพวกนั้นเด็ดขาดค่ะคุณพ่อ”

“เกรงว่าเจ้าจะปฏิเสธเราไม่ได้นะสาวน้อย”

เสียงห้วนๆ ดังขึ้น พร้อมๆ กับการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของชายหนุ่มทั้งสามคน วิริญญาจึงหันขวับไปทางต้นเสียงแล้วโต้กลับไปเสียงแข็ง

“ไม่มีใครจะมาบังคับให้ฉันไปไหนได้ทั้งนั้น”

“เราไม่ได้บังคับเจ้า แต่เราจำเป็นต้องนำเจ้าไปที่ครีเซียด้วย เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”ฮันส์พูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้นุ่มนวลที่สุด เพื่อไม่ให้หญิงสาวโมโหไปมากกว่านี้

“เพื่อความปลอดภัยที่ตรงไหนไม่ทราบ ก็เพราะว่าคุณแม่ฉันกลับไปที่นั่นไม่ใช่หรือไง คุณแม่ถึงได้บาดเจ็บหนักกลับมา แล้วก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่เดือนเดียว ฉันต้องโตมาโดยไม่มีแม่ แม้แต่หน้าตาของแม่ก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ”

วิริญญาพูดด้วยความเจ็บช้ำ เมื่อรู้สาเหตุแท้จริงที่ทำให้มารดาต้องเสียชีวิต ก่อนจะตวัดสายตาขุ่นเคืองไปยังชายหนุ่มในชุดสีขาวที่ยังคงยืนมองเธอนิ่งอยู่ เขานั่นแหละที่ทำให้เธอต้องขาดแม่ ถ้าเขาไม่มาบังคับเอาตัวมารดาของเธอไป ท่านก็ต้องยังมีชีวิตอยู่กับเธอ หญิงสาวคิดอย่างพาลๆ

“แม่ของเจ้าเป็นนักรบผู้พิทักษ์อาณาจักรครีเซีย หน้าที่ของนางคือปกป้องอาณาจักรครีเซีย ดังนั้นเจ้าจะโกรธเคืองไม่ได้ ที่ข้านำตัวแม่ของเจ้ากลับไปยังครีเซีย”

เสียงทุ้มมีกังวานของคนที่ยืนเงียบอยู่นานพูดขึ้นมา หญิงสาวจึงหันขวับไปจ้องหน้าอีกฝ่ายทันที นัยน์ตาดำขลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

“และเราจำเป็นต้องพาเจ้ากลับไปด้วย เพื่อความปลอดภัยของเจ้าและครอบครัวของเจ้าเอง ตอนนี้อีเลียสกำลังส่งลูกสมุนตามมาสังหารเจ้าอยู่ ถ้าหากพวกข้าสามคนกลับไปเจ้ากับบิดาของเจ้าก็คงต่อสู้กับพวกนั้นไม่ได้” ฮันส์อธิบายให้หญิงสาวฟัง

“ทำไมพวกนั้นจะต้องมาฆ่าฉันด้วย ฉันไปทำความเดือดร้อนอะไรให้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ที่อีเลียสต้องการสังหารเจ้า ก็เพราะว่าเจ้าเป็นผู้มีพลังแห่งน้ำ ซึ่งเมื่อรวมกับพลังแห่งลม พลังแห่งดิน และพลังแห่งไฟแล้ว จะสามารถทำพิธีอัญเชิญเทพีครีนัส ผู้ปกป้องอาณาจักรครีเซียให้ออกมาปราบจอมซาตานได้ ในทางกลับกันถ้าหากขาดเจ้าไปเพียงคนเดียว พิธีอัญเชิญเทพีครีนัสก็ไม่อาจกระทำได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่จอมซาตานต้องการสังหารเจ้า” เทรีสอธิบาย

วิริญญาปรายหางตาไปมองชายหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกกับลูกสมุนของนายอีเลียสอะไรนั่นก็ได้ ว่าฉันไม่มีพลังอะไรที่ว่า แล้วฉันก็จะไม่มีวันไปร่วมพิธีอัญเชิญอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมาฆ่าฉัน”

“เฮอะ! เจ้านี่ช่างคิดอะไรง่ายดายเสียเหลือเกิน อีเลียสไม่มีวันวางใจปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่หรอก” อาร์กอนพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน เขาเหลือบสายตาไปทางซ้ายราวกับมองเห็นอะไรบางอย่าง แล้วพูดต่อ “และตอนนี้ลูกสมุนของจอมซาตานก็ยืนอยู่ข้างล่างเต็มไปหมดแล้วด้วย”

เมื่ออาร์กอนพูดจบ ชายหนุ่มทั้งสามคนก็ยกมือข้างขวาขึ้น ทันใดนั้นอัญมณีที่อยู่กึ่งกลางกำไลข้อมือของพวกเขาก็เปล่งประกายวาบขึ้น ก่อนที่กำไลข้อมือสีทองจะกลายสภาพเป็นดาบเล่มยาวอยู่ในมือของชายหนุ่มทั้งสามคน

แล้วร่างทั้งสามร่างก็พุ่งผ่านบานประตูห้องที่ปิดสนิทออกไปข้างนอก ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของสองพ่อลูก

ปภพและวิริญญาเปิดประตูห้องวิ่งออกไปดูข้างนอก แล้วก็พบว่าสนามหญ้าหน้าบ้านกำลังกลายเป็นสนามรบย่อยๆ ไปเสียแล้ว ชายหนุ่มทั้งสามคนกำลังถูกรุมด้วยกลุ่มคนชุดดำทั้งชุด ซึ่งสวมหน้ากากปิดหน้าปิดตาเอาไว้ราวๆ สามสิบคน

“นี่มันอะไรกันคะคุณพ่อ” วิริญญาถามบิดาอย่างงุนงงกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า

“พ่อคิดว่าพวกคนชุดดำน่าจะเป็นสมุนของซาตานอีเลียสที่พวกเขาบอกเรา เมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเขาสามคนมาที่นี่ พวกคนชุดดำก็ตามมาสู้กันที่สนามหญ้าเหมือนกัน แต่ตอนนั้นพวกชุดดำมากันแค่สิบคนก็เลยแพ้พวกเขา แต่วันนี้มากันเยอะขนาดนี้ สามคนนั้นจะสู้ไหวรึเปล่าก็ไม่รู้”

การต่อสู้ระหว่างสามคนต่อสามสิบคน ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด เสียงโลหะกระทบกันดังก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ แต่แล้ว...จู่ๆ นักรบหนุ่มทั้งสามต่างก็พากันเก็บดาบในมือแล้วยืนหันหลังชนกัน โดยมีคนชุดดำทั้งสามสิบคนตีวงล้อมเอาไว้ ชายหนุ่มทั้งสามคนต่างยกมือทั้งสองข้างขึ้นไขว้สลับกันทาบลงบนหน้าอก

แล้ววิริญญาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างของพวกเขาทั้งสามเปล่งรัศมีสีขาว สีน้ำตาล และสีแดงขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของแต่ละคนเอาไว้ และเพียงพริบตาเดียวรัศมีทั้งสามสีก็พุ่งเข้าทำลายคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทดังขึ้น ร่างของคนชุดดำทั้งสามสิบคนก็ปลิวราวกับไร้น้ำหนักไปคนละทิศละทาง พร้อมกับเศษดินเศษหญ้าปลิวกระจัดกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ

“เหลือเชื่อจริงเลย พวกเขาทำได้ยังไงกันคะคุณพ่อ” วิริญญาหันมาถามบิดา

“พวกเราใช้พลัง จากลม ดินและไฟ ต่อสู้กับพวกนั้น”

เสียงของเทรีสดังขึ้นเป็นคำตอบจากทางด้านหลัง สองพ่อลูกพากันหมุนตัวกลับมามอง แล้วก็พบว่าชายหนุ่มทั้งสามคนกลับขึ้นมายืนอยู่บนเฉลียงหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว

“ผลุบๆ โผล่ ๆ อย่างกับผี” วิริญญาบ่นพึมพำ

“พวกเราไม่ใช่ผี พวกเราเพียงแต่มีพลังและเวทมนตร์ที่สามารถนำเอาลม ดิน และไฟมาใช้ประโยชน์ได้เท่านั้น เจ้าเองก็มีพลังที่สามารถบังคับน้ำได้เช่นกัน” เทรีสบอกเสียงเรียบ

“พลังบังคับน้ำ หมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างสงสัย

“เจ้าก็สามารถบังคับน้ำได้ ไม่ว่าจะให้เป็นอาวุธ พาหนะในการเดินทางและอื่นๆ แล้วแต่ความเข้มแข็งแห่งพลังจิตของเจ้า และสายน้ำจะไม่ทำร้ายเจ้า เพราะเจ้าได้รับการถ่ายทอดพลังแห่งน้ำทางสายเลือดจากวีร่าแม่ของเจ้าเอง”

วิริญญานึกไปถึงวันที่เธอไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ แล้วเธอว่ายน้ำออกไปช่วยเด็กกลางทะเล โดยที่ไม่มีความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาทันที หรือว่าจะเป็นเพราะเธอมีพลังอย่างที่ผู้ชายคนนี้ว่าจริงๆ เธอจึงได้ว่ายน้ำออกไปถึงตัวเด็กได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่คลื่นลมแรงขนาดนั้น

“ที่เจ้ากำลังคิดอยู่ถูกต้องแล้ว” เทรีสพูดขึ้น และนั่นก็ทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น อีตานี่มารู้ความคิดของเธอได้ยังไง แล้วก็ถึงบางอ้อเมื่อนึกถึงเรื่องที่บิดาเล่าให้ฟังว่านักรบของครีเซียมีความสามารถในการอ่านความคิดคน หญิงสาวนึกฉุนขึ้นมาทันทีจึงหันไปแหวใส่อีกฝ่าย

“นี่คุณ เลิกแอบอ่านใจคนอื่นซะทีได้มั้ย มันเสียมารยาท”

“ข้าไม่ได้แอบอ่านใจเจ้า เพียงแต่ข้าสัมผัสความรู้สึกนึกคิดของเจ้าได้เท่านั้นเอง” เทรีสชี้แจง

“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ ยังไงคุณก็รู้ความในใจของคนอื่นอยู่ดี” หญิงสาวโต้กลับทันควัน

“เทรีสท่านจะเสียเวลาอธิบายกับนางอีกนานไหม ข้าว่าเราควรรีบพานางกลับไปครีเซียจะดีกว่า หากมัวชักช้าอยู่อีเลียสก็จะต้องส่งสมุนของมันมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน และคราวนี้มันคงจะไม่ส่งแค่ลูกสมุนปลายแถวมาแล้วล่ะ” อาร์กอนพูดขึ้นมาอย่างรำคาญเต็มทน

“ใครบอกว่าฉันจะไปกับพวกคุณ” วิริญญาสวนขึ้นมาเสียงแข็ง

“แล้วเจ้าจะอยู่ที่นี่ ให้บิดาของเจ้า ป้าของเจ้า และคนในบ้านต้องพลอยเป็นอันตรายไปด้วยหรือไง หากพวกข้าสามคนกลับไปแล้วเจ้ามีปัญญาต่อสู้กับพวกมันหรือ”

อาร์กอนถามด้วยน้ำเสียงเยาะๆ และนั่นก็ทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้งไปเลยทีเดียว ก็จริงอย่างที่เขาพูดเพราะถ้าพวกชุดดำมาที่นี่อีก เธอคงจะไม่มีปัญญาต่อสู้กับพวกมันแน่ๆ

“ข้าว่าเจ้าน่าจะใคร่ครวญให้ดีนะสาวน้อย ไม่เพียงชีวิตของเจ้าคนเดียวที่ตกอยู่ในอันตราย ทุกคนที่อยู่รอบกายเจ้าก็เช่นกัน” ฮันส์เตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

หญิงสาวหันไปมองหน้าบิดาด้วยแววตาสับสน ปภพเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีนอกจากนิ่งเงียบ วิริญญายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปทางชายหนุ่มทั้งสามอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันอยากจะขอเวลาคิดก่อน”

นักรบหนุ่มทั้งสามมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาหารือ แล้วเทรีสก็คิดได้ว่าถึงแม้เขาจะสามารถเอาตัววิริญญาไปได้ โดยไม่ต้องรอการตัดสินใจของหญิงสาว แต่พิธีอัญเชิญเทพีครีนัสก็คงไม่มีทางสำเร็จหากเธอไม่เต็มใจ ดังนั้นสู้ให้วิริญญาสมัครใจไปกับพวกเขาเองดีกว่า เพราะจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ส่วนการบังคับจะเป็นวิธีสุดท้ายที่พวกเขาจะใช้หากหญิงสาวไม่ยินยอม เมื่อคิดได้ดังนั้นนักรบแห่งครีเซียจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เราให้เวลาเจ้าถึงคืนวันพรุ่งนี้ มากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเราต้องรีบเดินทางกลับไปยังครีเซีย คืนพรุ่งนี้เราจะมาฟังคำตอบของเจ้า” เมื่อเทรีสพูดจบ เขา ฮันส์และอาร์กอนต่างก็ยกมือขึ้นโบก เพียงครู่เดียวร่างทั้งสามก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของสองพ่อลูกอีกครั้ง

วิริญญายืนทอดสายตาเหม่อมองสนามหญ้าหน้าบ้าน ที่เมื่อคืนได้กลายเป็นสนามรบระหว่างชายหนุ่มสามคนกับพวกคนชุดดำด้วยแววตาครุ่นคิด หลังจากเกิดเหตุการณ์เหลือเชื่อขึ้นเธอก็นอนไม่หลับ เพราะมัวแต่ครุ่นคิดว่าควรจะตัดสินใจเรื่องนี้ยังไงดี จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้จนกระทั่งรุ่งเช้าเมื่อเห็นแสงรำไรที่ลอดเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ร่างระหงหันไปดูนาฬิกาที่หัวเตียง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรูปถ่ายของเธอ บิดาและคุณป้าที่ตั้งอยู่ข้างนาฬิกาปลุก แล้วคำพูดของอาร์กอนก็ดังก้องขึ้นในหู

“แล้วเจ้าจะอยู่ที่นี่ ให้บิดาของเจ้า ป้าของเจ้า และคนในบ้าต้องพลอยเป็นอันตรายไปด้วยหรือไง หากพวกข้าสามคนกลับไปแล้ว เจ้ามีปัญญาต่อสู้กับพวกมันหรือ”

วินาทีนั้นก็ทำให้หญิงสาวตัดสินใจได้ทันทีว่า เธอควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel