บท
ตั้งค่า

2 ความจริง

“คุณมาที่นี่อีกทำไม” ปภพถามชายหนุ่มที่ชื่อเทรีสเสียงเข้ม

“ข้า ฮันส์และอาร์กอน ได้รับคำสั่งจากเจ้าชายซาลาส ให้มานำตัวผู้มีพลังแห่งน้ำกลับไปยังอาณาจักรครีเซีย”

เสียงทุ้มนุ่มดูน่าฟังทว่ามีพลังเอ่ยขึ้น

“ก็วีร่าตายไปแล้ว จะมีใครมีพลังอะไรนั่นได้ยังไง” น้ำเสียงแสดงความปวดร้าวของปภพ ทำให้ประกายตา

ของเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็กลับสงบนิ่งราวกับท้องทะเลลึกเช่นเดิม

“มีสิ ทายาทของนาง ลูกของท่านกับนางอย่างไรล่ะ เด็กคนนั้นได้รับการถ่ายทอดพลังจากวีร่าทางสายเลือด”

ผู้ที่ตอบคำถามเป็นชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลซึ่งมีชื่อว่าฮันส์ เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูง หน้าตาคมสัน มีเรือนผมสีน้ำตาลไหม้และนัยน์ตาสีน้ำตาลทอง

“เป็นไปไม่ได้ ลูกของผมเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีพลังอะไรทั้งนั้น” ปภพปฏิเสธ

“เพราะว่าลูกของท่าน ยังไม่รู้จักวิธีใช้พลังนั่นน่ะสิ” อาร์กอนชายหนุ่มในชุดสีแดง รูปร่างสูงเช่นกัน หน้าตาคมค่อนข้างดุดัน มีเรือนผมสีดำ และนัยน์ตาสีม่วงพูดขึ้น

“เอาล่ะ ไม่ว่าลูกผมจะมีพลังหรือไม่มีก็ตาม ทำไมผมจะต้องให้ลูกของผมไปกับพวกคุณด้วย”

“เพราะตอนนี้ที่ครีเซียกำลังมีเรื่องยุ่ง จอมซาตานกำลังจะทำลายล้างครีเซีย” เทรีสตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“แต่วีร่าบอกว่าจอมซาตานตายไปแล้ว” ปภพแย้ง

“ใช่ จอมซาตานโอลาลอสตายไปแล้ว แต่ตอนนั้นอีเลียสลูกชายของเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อยี่สิบสองปีก่อนเพราะเห็นว่าอีเลียสเป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ คนหนึ่ง จึงไม่มีใครคิดสังหารเขา และไม่มีใครคาดคิดด้วยว่า โอลาลอสจะฝากพลังชีวิตส่วนหนึ่งเอาไว้ในร่างของลูกชาย เมื่ออีเลียสเติบโตขึ้นพลังของโอลาลอสที่แฝงอยู่ก็เริ่มปรากฏ มันค่อยๆ ครอบงำจนอีเลียสกลายเป็นจอมซาตานคนใหม่ที่เหี้ยมโหดยิ่งกว่าโอลาลอส เราจึงต้องรีบหาทางกำจัดเขาโดยเร็ว” เทรีสอธิบายเรื่อยๆ สายตามองไปที่เม็ดฝนที่กำลังกระหน่ำตกลงมา

“แล้วมันเรื่องอะไร ต้องมาเอาลูกผมไปยุ่งเกี่ยวด้วย พวกคุณสามคนก็เก่งอยู่แล้วนี่”

“ท่านผู้วิเศษฟรานเชสบอกว่า ผู้มีพลังแห่งธาตุทั้งสี่ ต้องร่วมกันอัญเชิญเทพีครีนัส เทพีผู้ปกป้องอาณาจักรครีเซียออกมาอีกครั้ง เราจึงจะสามารถทำลายล้างจอมซาตานได้ ข้ามีพลังแห่งลม ส่วนฮันส์มีพลังแห่งดิน และอาร์กอนมีพลังแห่งไฟ ขาดเพียงพลังแห่งน้ำ เราจึงต้องมาที่นี่”

ปภพมองใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสามทีละคนอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า

“ผมไม่มีวันยอมให้ลูกของผมไปกับพวกคุณเด็ดขาด ก็ไม่ใช่เพราะกลับไปต่อสู้กับจอมซาตานหรือไง วีร่าถึงต้องตาย ผมไม่ยอมให้ลูกของผมไปตายอีกคนหรอก”

“ข้าเกรงว่าท่านคงจะไม่มีทางเลือก ถึงท่านจะให้ลูกของท่านอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกของท่านจะปลอดภัย เพราะตอนนี้อีเลียสก็กำลังส่งคนออกติดตามหาตัวผู้มีพลังแห่งน้ำเช่นกัน พวกที่ต่อสู้กับพวกข้าเมื่อครู่ ก็เป็นสมุนของอีเลียส” ฮันส์บอกอย่างใจเย็น

“จอมซาตานอีเลียสนั่นจะเอาตัวลูกผมไปทำไม”

“ท่านคิดว่าอีเลียสจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ผู้มีพลังแห่งธาตุทั้งสี่ร่วมกันอัญเชิญเทพีครีนัสได้ เพียงแค่กำจัดผู้มีพลังคนใดคนหนึ่งไป พิธีอัญเชิญเทพีครีนัสก็ไม่สามารถทำได้ แต่การกำจัดพวกข้าสามคนไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังนั้นอีเลียสจึงเลือกที่จะกำจัดลูกของท่าน ท่านคิดว่าหากลูกของท่านยังอยู่ที่นี่ ท่านสามารถปกป้องลูกจากสมุนของจอมซาตานได้หรือไม่ล่ะ” ตอนท้ายประโยคน้ำเสียงของอาร์กอนมีแววเยาะหยันแฝงอยู่นิดๆ

ปภพแทบเข่าอ่อนกับสิ่งที่ได้ยิน หากแต่เขาก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้อีกเช่นกัน ถ้าหากประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ลูกสาวของเขาจะต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับอย่างที่แม่ของเธอเป็น

“ไม่จริง…ผมไม่เชื่อ…พวกคุณโกหก”

“จะเชื่อหรือไม่ท่านต้องตัดสินใจเอง ตราบใดที่ลูกของท่านยังอยู่ที่นี่ สมุนของอีเลียสต้องตามมาฆ่าเป็นแน่ แต่ถ้าหากลูกของท่านไปกับพวกข้า เมื่อกำจัดจอมซาตานได้แล้ว ท่านผู้วิเศษฟรานเชสจะส่งลูกของท่านกลับมาที่นี่ ท่านและลูกก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขตลอดไป ท่านตรึกตรองดูให้ดีอีกสามวันพวกข้าจะกลับมาฟังคำตอบจากท่าน”

เทรีสพูดทิ้งท้าย ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสามคนจะพุ่งตัวหายไปในความมืด

ปภพทรุดตัวลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง พลางถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอก ในใจก็เฝ้าแต่วนเวียนครุ่นคิดหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับลูกสาวของเขา

ตลอดระยะเวลาสองวันที่ผ่านมา วิริญญาสังเกตเห็นว่าบิดาของเธอมีสีหน้าและท่าทางกังวลใจมาก แต่เมื่อเธอถามว่ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า ท่านก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร เพียงแค่คิดเรื่องงานเท่านั้น แต่ท่าทางของท่านก็ทำให้หญิงสาวไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่นัก

“เย็นนี้พี่จะเข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดแล้วนะ” ปราณีพูดเปรยๆ

“ค้างกี่คืนครับพี่ณี”

“สองคืนจ้ะ วันจันทร์สายๆ พี่ก็กลับแล้วล่ะ”

“งั้นเดี๋ยวตอนเย็นริญขับรถไปส่งคุณป้าที่วัดเองค่ะ” วิริญญาอาสา

“ดีจ้ะ ขอบใจหนูมาก เดี๋ยวป้าจะได้พาริญไปกราบหลวงตาด้วย ท่านถามๆ ถึงหนูอยู่เหมือนกัน”

ตกเย็นวิริญญาก็ขับรถไปส่งผู้เป็นป้าที่วัดใกล้บ้าน หลังจากเข้าไปกราบและนั่งคุยกับหลวงตาอยู่พักใหญ่ หญิงสาวจึงขอตัวกลับ ก่อนกลับเธอแวะซื้อปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ไปฝากบิดา แล้วก็ขับรถกลับบ้านอย่างไม่รีบร้อนนัก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็จัดปาท่องโก๋ใส่จานและเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้ว ก่อนจะยกไปให้บิดาที่ห้องทำงาน เธอกำลังจะยกมือขึ้นเคาะประตูห้องทำงานของบิดา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วๆ ออกมาจากในห้อง คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างประหลาดใจ พลางถามตัวเองว่าใครกันที่มาหาบิดาในเวลาค่ำมืดแบบนี้ ตอนเข้ามาบ้านเธอก็ไม่เห็นมีรถใครจอดอยู่และลุงชิดก็ไม่ได้บอกด้วยว่าบิดามีแขก

“เราต้องการคำตอบของท่าน”

หญิงสาวได้ยินเสียงทุ้มมีกังวานดังขึ้น เธอแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินเสียงของคนคนนี้มาก่อนอย่างแน่นนอน หญิงสาวพยายามขยับตัวเข้าไปชิดกับประตูเพื่อจะได้ฟังให้ถนัดขึ้น วิริญญารู้ตัวดีว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทเอามากๆ ทีเดียว กับการที่เธอมาแอบฟังบิดาคุยธุระ แต่เมื่อนึกถึงสีหน้ามีกังวลของท่านตลอดสองวันที่ผ่านมา เธอก็คิดว่าอาจจะได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้บิดาไม่สบายใจก็ได้

“มีคนแอบฟังอยู่ข้างนอก”

เสียงห้วนๆ ที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง รีบผละออกจากประตูทันที แต่ก็ยังได้ยินเสียงทุ้มมีกังวานบอกบิดาของเธอด้วยคำพูดแปลกๆ

“ลูกสาวของท่านยืนอยู่ข้างนอก ท่านควรจะให้นางเข้ามาข้างในนี้ด้วย”

เพียงครู่เดียวประตูห้องทำงานของบิดาก็ถูกเปิดออก วิริญญาเห็นบิดาของเธอยืนอยู่หลังประตูด้วยใบหน้าหม่นหมองจนเธอรู้สึกใจหาย

“ริญ…เข้ามาข้างในก่อนเถอะลูก”

ปภพบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ วิริญญาจึงก้าวเข้าไปในห้องทำงานของบิดาแล้วขาที่ก้าวอยู่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายหนุ่มแปลกหน้า แต่งตัวก็ประหลาดนั่งอยู่ในห้องสามคน

วิริญญากวาดตามองชายหนุ่มทั้งสามทีละคน พวกเขามีรูปร่างสูงสง่าพอๆ กัน ชายหนุ่มคนแรกมีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนยาวประบ่าหน้าตาคมเข้ม นัยน์ตาสีน้ำเงิน อยู่ในชุดรัดกุมสีขาวทั้งชุดและสวมเสื้อคลุมยาวรุ่มร่ามสีขาวขลิบทองตามเชิงชาย

อีกสองคนก็แต่งตัวแบบเดียวกันแต่คนละสี ชายหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลทองอยู่ในชุดสีน้ำตาล ชายหนุ่มนัยน์ตาสีม่วงอยู่ในชุดสีแดง เธอยังสังเกตเห็นว่าทั้งสามคนนั้นใส่กำไลสีทองขนาดใหญ่ฝังอัญมณีสีเดียวกับชุดที่พวกเขาสวมเอาไว้ทุกคน และตอนนี้พวกเขากำลังจ้องมองมาที่เธอ ราวกับหญิงสาวเป็นตัวประหลาดก็ไม่ปาน

“เหมือนวีร่ามาก ต่างกันแค่เพียงสีนัยน์ตาและสีผมเท่านั้น” ชายหนุ่มในชุดสีน้ำตาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นัยน์ตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหญิงสาว จนคนถูกมองเริ่มรู้สึกกลัว วิริญญาขยับเข้าไปยืนข้างบิดา พลางกระซิบถามด้วยทีท่าระแวดระวัง

“ใครคะคุณพ่อ”

ปภพยิ้มฝืนๆ พลางปลอบลูกสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัวหรอกลูก พวกเขาไม่ทำอันตรายเราหรอก”

“ข้าชื่อเทรีส ส่วนนั่นคือฮันส์และอาร์กอน” ชายหนุ่มในชุดสีขาวเอ่ยแนะนำตัวเขา และชายหนุ่มอีกสองคน ก่อนจะพูดต่อ “เรามาจากอาณาจักรครีเซีย”

“อาณาจักรครีเซีย” วิริญญาทวนคำพูดของชายหนุ่ม คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นอย่างงุนงง พลางมองหน้าบิดาอย่างต้องการคำอธิบาย ท่านเองก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเป็นเชิงขอร้องชายหนุ่มทั้งสามคน

“ผมขอคุยกับลูกตามลำพังซักครู่เถอะ”

“ได้ พวกข้าจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อท่านอธิบายทุกอย่างให้นางเข้าใจแล้ว”

เทรีสพูดจบก็หันไปพยักหน้าให้ฮันส์และอาร์กอน แล้วทั้งสามคนต่างก็โบกมือขึ้นรอบๆ ร่างตนเอง ทำให้มีแสงสว่างหมุนวนอยู่รอบตัว แล้วร่างทั้งสามก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาของสองพ่อลูก

“คุณพ่อ! พวกเขาหายตัวได้เหรอคะ” วิริญญาถามขึ้นทันทีเมื่อหายจากอาการตกตะลึง ปภพพยักหน้าแล้วอธิบายให้ลูกสาวฟังอย่างใจเย็น

“พวกนักรบจากอาณาจักรครีเซียทำอย่างนี้ได้ทุกคน รวมทั้งคุณแม่ของลูกด้วย”

“คุณแม่ของหนู หมายความว่ายังไงคะคุณพ่อ” หญิงสาวงุนงงกับคำพูดของบิดา

ปภพเดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างของลูกสาว แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ริญ หนูอยากจะรู้เรื่องคุณแม่ใช่มั้ยลูก”

“ค่ะ” วิริญญาพยักหน้า พลางมองสบตากับผู้เป็นบิดา ปภพถอนหายใจ ก่อนจะพูดว่า

“พ่อจะเล่าเรื่องคุณแม่ให้ลูกฟัง”

ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำของผู้พิพากษาหนุ่มใหญ่ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ยี่สิบสองปีที่แล้วเขายังเป็นเพียงทนายความหนุ่มไฟแรงที่เริ่มว่าความจนมีชื่อเสียง ปภพรับว่าความให้ลูกความคนหนึ่งที่อยู่ต่างจังหวัด หลังจากว่าความเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขับรถมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ ในช่วงดึกของวันนั้นอย่างไม่รีบร้อนนัก

ทนายหนุ่มขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณทุ่งนาโล่งเตียน ที่ผ่านการเก็บเกี่ยวข้าวไปหมดแล้ว สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นบางสิ่งบางอย่างอยู่ตรงกลางทุ่งนา ปภพจึงชะลอรถเข้าจอดข้างทาง ก่อนจะก้าวลงจากรถอย่างเร่งรีบและตรงไปยังจุดหมายที่เขาเห็นทันที

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ๆ กับสิ่งสิ่งนั้น แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างหญิงสาวคนหนึ่งนอนฟุบอยู่บนพื้นดิน เขาพยายามมองสำรวจตามร่างกายของเธอว่ามีบาดแผลหรือไม่ แต่ก็ไม่พบแม้แต่รอยฟกช้ำใดๆ ปภพมองร่างที่นอนหมดสติอยู่อย่างเป็นห่วง ไม่รู้ว่าเธอมานอนอยู่กลางทุ่งนาได้อย่างไร เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วเธอคงไม่ใช่คนแถวนี้แน่นอน เธอสวมชุดสีฟ้าทั้งชุด คลุมเสื้อคลุมยาวรุ่มร่ามสีเดียวกัน ที่ศีรษะสวมเครื่องประดับลักษณะเป็นสายห้อยระยาประดับอัญมณีสีน้ำเงินเม็ดเล็กๆ ไล่เรียงมาบรรจบกันที่กึ่งกลางหน้าผาก ซึ่งกึ่งกลางของสร้อยเป็นอัญมณีสีน้ำเงินเม็ดใหญ่ล้อมเพชรส่งประกายระยิบระยับจับตา

เขาลองพยายามปลุกหญิงสาวหลายครั้ง แต่เธอก็ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม ทนายหนุ่มหันซ้ายแลขวาราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ ในที่สุดเขาก็ช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาในอ้อมแขน ก่อนจะอุ้มตรงไปที่รถของตนเอง แล้วขับรถพาหญิงสาวกลับไปที่บ้านตัวเองทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel