บท
ตั้งค่า

ตอนที่4.

ร้อยตำรวจเอกนัทธี รายงานผลการตรวจสอบคร่าวๆ ให้เจ้าของสถานที่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆฟัง ผู้กองหนุ่มเป็นพี่ชายของนลินดาคนรักของรวินท์ เขาถูกเรียกตัวให้มาดูแลคดีนี้

“กี่วันครับถึงจะรู้ผล”รวินท์มองตาม เปลสนามที่ถูกหามผ่านหน้าไป

“อาจจะหนึ่งอาทิตย์หรือมากกว่านั้น ผมจะเร่งเขาให้”นายตำรวจหนุ่มขยับมาที่โต๊ะกลางห้อง เขาผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลง

“เราพบของสิ่งนี้วางอยู่”

นัทธีเลื่อนกล่องไม้และจี้ห้อยคอโบราณ ที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องหนังสือ ส่งให้รวินท์

ชายหนุ่มมองจี้ห้อยคอโบราณ สมบัติประจำตระกูลนิ่ง ก่อนจะระบายลมหายใจเบาๆ แล้วเล่าเรื่องราวให้นายตำรวจฟัง

“มีคนเคยมาติดต่อ ขอซื้อจี้อันนี้จากผม แต่ผมไม่ขายให้”

เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา... ไรวัตพานักธุรกิจวัยกลางคนชื่อกอบลาภ มาพบน้องชายที่ห้องทำงาน รวินท์เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนพี่ชายจึงยอมพูดคุยด้วย

“ผมไม่อยากอ้อมโลกให้เสียเวลา ที่มาพบคุณวันนี้ก็ด้วยเรื่องผลึกจันทร์”

กอบลาภแสดงจุดประสงค์โดยไม่อ้อมค้อม

“ผลึกจันทร์ คุณหมายถึงอะไรครับ”

รวินท์แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอีกฝ่าย

“คุณกอบเขาสนใจอยากซื้อจี้ห้อยคอโบราณนั่น”ไรวัตเป็นฝ่ายเจรจาเสียเอง

คำพูดของพี่ชายทำให้รวินท์รู้ ว่าความลับเกี่ยวอัญมณีล้ำค่า ได้ล่วงรู้ถึงหูคนนอกแล้ว!

เขานึกโมโหพี่ชายตัวดี ที่เอาความลับของครอบครัวไปเล่าให้คนอื่นฟัง คุณวรรณดามารดาของเขาเก็บสิ่งนั้นไว้ในห้องนิรภัย มีเขากับไรวัตเท่านั้นที่รู้รหัสปิดเปิด นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ไม่เคยมีใครได้เห็นจี้ห้อยคอประดับอัญมณีสีอำพันชิ้นนี้เลย

“ขายให้ผมเถอะครับ เรียกราคาเท่าไหร่ผมสู้ไม่อั้น”คนซื้อพยายามหว่านล้อม ให้เจ้าของใจอ่อนยอมขายของให้

“ขอโทษครับ ผมคงรับข้อเสนอของคุณไม่ได้ เชิญครับ”

รวินท์ผายมือไปที่ประตู ยุติการเจรจา ไม่ให้ยืดเยื้อเสียเวลาต่อไป กิริยาแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายลมออกหู ผุดลุกขึ้นยืน

“แล้วคุณจะเสียใจ!”

กอบลาภเสียงขุ่น หน้าแดงจัดอย่างโมโห เขาสะบัดหน้าเดินออกไปจากห้องทันที โดยมีไรวัตเดินตามออกไป

“ฉันว่าแกน่าจะขายจี้อันนั้น ให้คุณกอบลาภเขาไป เก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ขายเอาเงินมาลงทุนดีกว่า”

ไรวัตพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง หลังจากเขาปฏิเสธกอบลาภไป การซื้อขายครั้งนี้ เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าคงไม่ใช่น้อย พี่ชายของเขาถึงหาทางให้เขายอมขายของให้อีกฝ่าย

“ผลึกจันทร์ เป็นสมบัติประจำตระกูลของเรา”

เขายกเหตุผลสำคัญมาอ้าง หากคนฟังกลับคิดว่าถูกค่อนขอด จึงชักสีหน้าโต้กลับเสียงขุ่น

“สมบัติประจำตระกูล เหอะ... ฉันมันคนนอกตระกูลนี่ เลยไม่มีสิทธิ์สินะ”

คุณวรรณดามารดาของเขารับไรวัตมาอุปการะเอาไว้ ท่านรักไรวัตเหมือนลูกแท้ๆ พอท่านเสียชีวิต ท่านได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้ไรวัตครอบครอง แม้ไม่ได้เท่าที่เขาได้รับ แต่ก็มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ลำบาก หากเจ้าตัวไม่นำไปถลุงในบ่อนการพนันแทบหมด

ไรวัตรู้สึกเสมอว่าตัวเองเป็นคนนอก ทั้งที่เขาและมารดา ไม่เคยคิดแบบนั้นเลย อาจจะเป็นเพราะไรวัตคิดว่าเขาเป็นตัวมาร เกิดมาเพื่อเป็นลูกอิจฉา แย่งความรักและทรัพย์สมบัติก็เป็นได้ เห็นได้จากกิริยาที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อบิดาของเขาทำพินัยกรรมยกมรดกให้เขาทั้งหมด โดยไม่มีชื่อของลูกบุญธรรมร่วมด้วย นั่นเป็นจุดหักเห ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง จืดจางลงไป...

“แกยังไม่รู้จักฝ่ายนั้นเขาดี ถ้าเขาอยากได้ เขามีวิธีการทำให้ของสิ่งนั้น เป็นของเขาจนได้ ฉันเตือนแกเพราะหวังดีหรอกนะ”

คำเตือนของไรวัต ฟังดูคล้ายข่มขู่ในที แต่ไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกกลัวแม้แต่น้อย

“ฝากบอกเขาด้วยว่า ถึงจะทำยังไง ผมก็ไม่ขาย!”

รวินท์ฝากคำพูดไปถึงคนซื้อเป็นครั้งสุดท้าย โดยไม่สนใจข้อเสนอใดใดจากฝ่ายนั้นอีก!

นัทธีมองดูอัญมณีสีอำพันนั้นอย่างติดใจ ประกายวาวใสงดงาม สะท้อนแสงระเรื่อออกมาจากอัญมณี จากที่ดูคร่าวๆน่าจะเป็นของโบราณหายาก แบบนี้พวกนักสะสมของเก่าชอบนัก มูลเหตุคดีการตายเริ่มมีเค้าให้เห็นรางๆ

“เป็นไปได้ไหม ที่พี่ชายของคุณ จะเข้ามาขโมยของสิ่งนี้”นายตำรวจตั้งข้อสงสัย

คนฟังหลบตา หากไม่ตอบอะไร เพียงเท่านั้นคนถามก็พอเดาคำตอบได้ เรื่องสมบัติทำให้พี่น้องฆ่ากันตายมานักต่อนักแล้ว ประสาอะไรกับพี่น้องคนละสายเลือดอย่างรวินท์กับไรวัต

“ผมแค่อยากรู้ ว่าพี่ชายผมตายยังไง ส่วนเรื่องอื่นช่างมันเถอะครับ”รวินท์เอ่ยขึ้น

นัทธีพยักหน้ารับ เข้าใจความรู้สึกของคนพูด จึงไม่ซักไซ้อีกฝ่ายมาก

“เบื้องต้นคงต้องเป็นแบบนั้น ถึงยังไงคุณก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง มีของล่อตาโจรแบบนี้ มันอันตราย” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยเตือน

“ครับ ผมคงต้องเอามันไปเก็บไว้เอง ห้องลับไม่เป็นความลับอีกแล้ว”

ไม่มีความลับอยู่ในโลก เฉกเดียวกับ ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นจากความอยากรู้ของมนุษย์ ยิ่งปิดบังซ่อนเร้น ยิ่งมีคนอยากรู้อยากค้นหา... ชายหนุ่มมองดูประกายวาวระยับของอัญมณี นี่เขาจะรักษามันไว้ได้นานแค่ไหนกันหนอ...

“ทางตำรวจคงต้องขอตรวจสอบ ภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อหาเบาะแสของคนร้าย”

นัทธีลุกขึ้นยืน เตรียมสอบสวนหาเบาะแสเพิ่มเติม

“เชิญทางนี้ครับ ผมให้ฝ่ายรักษาความปลอดภัย เขาเตรียมไว้ให้แล้ว”

รวินท์ลุกขึ้น เดินนำนายตำรวจเจ้าของคดี ไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล...

ภาพจากกล้องวงจรปิดฉายให้เห็น เหตุการณ์ตั้งแต่ชายสองคนลอบเข้ามาภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ แสงสว่างจากดวงไฟที่เปิดเพียงสองดวง บวกกับหมวกไหมพรมที่คนร้ายสวมไว้ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนักย่องเบา บางมุมเลนส์กล้องจับภาพไม่ถึง

ภายในห้องสมุดซึ่งเป็นที่พบศพ เป็นอีกจุดหนึ่งที่แทบหาเบาะแสการตายไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้ติดกล้องวงจรปิดไว้ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของสถานที่มั่นใจว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่า มีห้องลับซ่อนอยู่ จึงไม่ได้ติดตั้งกล้องไว้ ภาพในช่วงสุดท้ายจึงเป็นภาพจากกล้องที่อยู่ด้านนอกห้อง

จากภาพ ร่างของชายรูปร่างค่อนข้างท้วม สวมชุดสีดำสนิทใบหน้ามีหมวกไหมพรมปกปิดเอาไว้ วิ่งออกมาจากห้องสมุดด้วยท่าทางร้อนรน คล้ายตกใจอะไรบางอย่าง อากัปกิริยาที่เห็นดูลนลานแตกตื่น เหมือนระงับสติไม่อยู่

มุมหนึ่งของภาพมองเห็นแสงวะแวบเหมือนประกายอะไรบางอย่าง สะท้อนออกมาจากหลังประตู หากไม่ชัดเจนพอที่จะเดาได้ว่าเป็นแสงของอะไร หรือเกิดจากสิ่งใด ด้วยมุมกล้องที่เป็นจุดอับ จึงยากที่จะดึงภาพให้ชัดเจน...

หลักฐานที่พบจากที่เกิดเหตุ รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดบ่งชี้ว่า ไม่ได้มีไรวัตเพียงคนเดียวที่เข้ามาในห้องนี้ หากอาการของชายอีกคนที่เห็น ทำเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้เสียหายต้องมองหน้ากัน

“คุณคิดว่ายังไง”

นัทธีหันมาถามผู้เสียหาย ก่อนจะเลื่อนปุ่มย้อนดูภาพตั้งแต่ต้นอีกรอบ

“พี่นัทล่ะครับ”

รวินท์ย้อนถาม ดวงตาดำขลับมีความประหลาดใจพอๆกับคนถาม สายตาจดจ้องภาพเหตุการณ์ อย่างขบคิด

“ท่าทางของคนร้าย ดูเหมือนกำลังตกใจกลัวสุดขีด เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นกันแน่”

คำพูดของนายตำรวจหนุ่ม ทำให้คนฟังนึกถึงความฝันประหลาด ในค่ำคืนที่ผ่านมา เผลอมองรอยแดงบนอุ้งมือตนเอง ก่อนกำมือไว้แน่นเมื่อความรู้สึกบางอย่างวูบเข้ามา

“ผู้ชายในภาพลักษณะคุ้นบ้างไหม”นัทธีกดปุ่มให้ภาพค้างไว้

รวินท์มองดูภาพนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ

“ลักษณะของเขาคล้ายกับนายกอบลาภ คนที่เคยมาติดต่อ ขอซื้อผลึกจันทร์จากผม” คนร้ายที่เห็นในกล้องวงจรปิด มีรูปร่างค่อนข้างท้วม ลักษณะคล้ายนักธุรกิจวัยกลางคน ที่เคยมาขอซื้อผลึกจันทร์จากชายหนุ่ม

“ชักเข้าเค้า ผมว่านายกอบลาภกับพี่ชายคุณ คงร่วมมือกันเข้ามาขโมยผลึกจันทร์ แต่ทำไมถึงไม่เอามันไปด้วย กลับวางทิ้งไว้แบบนั้น น่าแปลก...”

นัทธีลูบคางตัวเอง ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คนร้ายต้องการจี้ห้อยคอ ทั้งที่นำมันออกมาจากห้องนิรภัยได้แล้วแท้ๆ แต่กลับทิ้งไว้อย่างนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับไรวัต จนทำให้เขาถึงแก่ความตาย เป็นปริศนาที่ท้าทาย ให้เขาค้นหาคำตอบ นายตำรวจหนุ่มรู้สึกว่าคดีนี้ น่าสนใจไม่น้อย

“นายกอบลาภ น่าจะให้คำตอบกับเราได้”

รวินท์หันมาสบตากับนายตำรวจหนุ่ม นัทธีพยักหน้ารับ ทั้งสองมองดูภาพของคนร้ายใน

ชุดดำ คำตอบของปริศนาครั้งนี้ อยู่ที่ชายคนนั้น!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel