มณีจันทรา

134.0K · จบแล้ว
รวิญาดา ผการุ้ง นักเขียน
61
บท
1.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

รักในชาติภพหนึ่ง คือพันธะสัญญาและหน้าที่ รักในชาติภพนี้คือความผูกจิตสนิทแน่นทั้งหัวใจ เพราะเชื่อในคำสัญญา... ศศิพิลาสจึงรัก รอ และหวัง เพราะถือในสัจวาจา... องค์เจษฎาจึงต้องกระทำดังนั้น เพราะมั่นในความดี... นรวีจึงเสียสละและรอคอย เพราะศรัทธาในหัวใจ... นลินดาจึงมั่นใจ รักจะไม่เป็นอื่น ทุกชีวิตยึดโยงกันด้วยเส้นใยที่ว่า่กันว่า่เหนียวที่สุดในโลก ที่ชื่อ 'ความรัก' และดำรงอยู่เพื่อรอเวลาผันแปร เข้าใจ ละวางหรือทุกข์ทน ก็ด้วยเส้นใยเส้นสุดท้าย... 'ความหวัง' 'กาลเคลื่อนผ่าน.. เวลาหมุนวนไปตามวิถีโลก สรรพสิ่ง...ไม่มีสิ่งใดเที่ยงทน นั้นคือความจริงแท้' หากทุกหัวใจก็พร้อมจะเดินทางต่อไปร่วมกัน บนเส้นทางวัฏสงสารที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน

นิยายรักโรแมนติกเลขารักหวานๆสัญญาทางรักรักแรกพบแฟนตาซี เศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1

ท้องฟ้าในคืนเพ็ญสว่างนวลตา รัศมีจันทร์ฉาดฉายลงมายังผืนเบื้องล่าง มองเห็นเงาของกิ่งไม้และหลังคาสูงของอาคารหลังใหญ่สลัวราง ดวงจันทร์ทำหน้าที่ของตนเองได้เพียงไม่นาน เมื่อก้อนเมฆดำทะมึนเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้า บดบังแสงนวลกระจ่างจนหม่นมัว ประกายฟ้าวะแวบ แปลบปลาบ พร้อมเสียงลั่นครืนๆดังมาเป็นระยะ ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกขณะ

แสงแวบวาบของประกายฟ้า สะท้อนแผ่นป้ายโลหะด้านหน้าอาคาร มองเห็นตัวอักษรบนป้ายเขียนว่า “พิพิธภัณฑ์ และห้องสมุด มูลนิธิภูวันดา”

เปรี้ยง! เปรี้ยง!...

เสียงอัสนี คำรามก้อง เมฆบนท้องฟ้าลอยต่ำ เริ่มกลั่นตัวเป็นละอองบางเบาโปรยปรายลงมา อากาศเย็นชื้นขึ้น จนชายร่างผอมเกร็ง ที่ยืนอยู่ด้านหน้าอาคาร ลูบแขนตัวแขนไปมา สลับกับแหงนมองท้องฟ้า

ชุดสีกรมท่าที่เขาสวมกลืนไปกับความมืดสลัวรอบกาย กระบองอันเขื่องเหน็บอยู่ข้างกาย มือข้างหนึ่งถือกระบอกไฟฉายกระบอกโต คนถือเปิดสวิตช์มัน แล้วออกเดินสำรวจรอบอาคาร เช่นที่เคยทำทุกค่ำคืน อันเป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบ ในฐานะยามรักษาความปลอดภัย ของสถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณแห่งนี้

แนวกำแพงสูง สร้างจากหินศิลาแลงสีน้ำตาลแดง เป็นรั้วกั้นอาณาเขตระหว่างบ้านหลังใหญ่ กับพิพิธภัณฑ์ กำแพงทอดยาวล้อมรอบพิพิธภัณฑ์เอาไว้ ด้านขวาเป็นที่ตั้งของโรงแรมภูวันดา ด้านซ้ายเป็นสปาในเครือเดียวกันคือภูวันดาสปา อาคารพิพิธภัณฑ์อยู่กึ่งกลางระหว่างสถานที่ทั้งสอง บริเวณโดยรอบปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ไว้ ลักษณะกึ่งสวนป่า ยามดึกเช่นนี้จึงแลดูวังเวง ราวกับอยู่กลางป่า

เมื่อร่างของยามรักษาความปลอดภัยเดินผ่านไปไกลแล้ว ร่างของชายคนหนึ่งที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ก็ก้าวออกมา เขามองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดคน จึงร้องเรียกคนที่เหลือให้ออกมา

“ออกมาได้แล้วคุณกอบลาภ! ”

ชายวัยกลางคน รูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาวจัด ตาเรียวเล็ก สวมชุดสีดำทั้งชุด ก้าวมายืนข้างๆคนเรียก ซึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดสีดำทั้งชุดเช่นกัน

“ไปกันได้หรือยัง ฝนทำท่าจะตกแล้วนะ”

ชายร่างท้วมเร่งเร้า มีภารกิจสำคัญที่คนทั้งคู่จะต้องทำในคืนนี้

“สวมหมวกไอ้โม่งก่อน ด้านในมีกล้องวงจรปิด”

ชายหนุ่มร่างสูงบอก แล้วหยิบหมวกไหมพรมสีดำสวมทับใบหน้า

คนทั้งสองเข้ามาด้านในอาคารพิพิธภัณฑ์ ได้ไม่ถึงนาที ฝนที่ตั้งเค้าด้านนอกก็ตกลงมา เสียงเม็ดฝนดังสนั่นบ่งบอกถึงความแรงของพายุฝนครั้งนี้ เป็นสัญญาณอันดีว่า เวลาฝนตกย่อมไม่มีใครได้ยินเสียงอะไร หรือสนใจจะออกมาด้านนอกกัน โดยเฉพาะยาม!...

จากทางเข้าด้านหน้า เป็นห้องโถงใหญ่ โล่งกว้าง เพดานสูง พื้นปูด้วยหินอ่อนมันวาว จัดแสดงวัตถุโบราณประเภทรูปปั้น และเทวรูปโบราณ วางบนแท่นสูง เรียงรายกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ด้านใต้แท่นติดแผ่นป้ายแสดงข้อมูลของวัตถุโบราณแต่ละชิ้นไว้อย่างละเอียด

ยามค่ำคืนหลังพิพิธภัณฑ์ปิดทำการเช่นนี้ โคมไฟบนผนังห้องถูกเปิดไว้เพียงสองดวง ให้ความสว่างบางตา บางมุมห่างไกลแสงไฟ มองเห็นเพียงเงาสลัวๆของรูปปั้น และเงาดำทะมึนของเทวรูปโบราณทาบทอบนพื้นและผนังห้อง คนที่เดินผ่านสาวเท้าเร็ว ตรงไปยังมุมด้านซ้ายสุดของห้อง ที่มีบานประตูบานใหญ่กั้นไว้

ด้านหลังประตู เป็นทางเดินยาว ขนาดกว้างเท่าคนสองคนเดินสวนกันได้ บนผนังประดับรูปเขียนไว้ตลอดทางเดิน แสงสว่างจากโคมไฟ อ่อนจางจนแทบมองไม่เห็น อีกทั้งยังเว้นระยะการเปิดดวงไฟไว้ห่างกัน ทำให้แสงส่องไม่ทั่ว บรรยากาศแลดูขมุกขมัว เงียบสงัด จากทางเดินมีห้องแสดงวัตถุโบราณอยู่ทั้งสองฟาก เป็นห้องแสดงเครื่องกระเบื้อง และห้องแสดงผ้าโบราณ เมื่อเดินผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดินพบห้องๆหนึ่ง ด้านบนขอบประตู เขียนไว้ว่า ‘ห้องสมุดคุณแม่’

“ห้องนี้เหรอ...”

ชายร่างท้วม ที่ถูกเรียกขานว่าคุณกอบลาภ ถามขึ้น

ศีรษะได้รูปของชายร่างสูงพยักรับ มือล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าไขปลดล็อค ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปด้านใน ควานหาสวิตช์ไฟบนผนัง ครู่ต่อมาปลายนิ้วสัมผัสกับสวิตช์ดัง แชะ...

ไฟสว่างพรึบขึ้นมาทันที ดวงตาที่ชินกับความมืด พร่าพราย ก่อนจะปรับสภาพเมื่อเจ้าของหลับตาลง แล้วลืมขึ้นใหม่พร้อมกะพริบแรงๆ

ภายในห้อง วางโต๊ะไม้สักตัวยาวและเก้าอี้เข้าชุดกัน ผนังทั้งสี่ด้านเป็นตู้สูงจนจรดเพดานห้อง เรียงหนังสือแน่นขนัดจนเต็มทุกตู้ ห้องกว้างลึกเข้าไปด้านใน มีตู้หนังสือวางเรียงเป็นแถว ซ้อนเหลื่อมกัน เช่นห้องสมุดทั่วไป

“มีแต่หนังสือ ไม่เห็นมีสิ่งที่ผมอยากได้เลย คุณไรวัต”เสียงแหบห้าว ถามขึ้นเบาๆ

“ตามผมมา”

ร่างสูงของชายหนุ่มชื่อไรวัต เดินตรงไปยังด้านซ้ายของห้องสมุด เขาหยุดอยู่หน้าตู้หนังสือที่อยู่ติดผนังห้อง มือหยิบหนังสือปกแข็งเล่มหนา ที่วางชิดกับชั้นวางในชั้นที่สามออก แล้วสอดมือเข้าไปในช่องเล็กๆด้านหลังตู้หนังสือ ปลายนิ้วสัมผัสกับลูกบิดอันหนึ่งที่อยู่ด้านใน เขาหมุนลูกบิดทวนเข็มนาฬิกา

เสียงดัง ...คลิก... ก้องขึ้นในความเงียบ

คนที่ยืนกอดอกมองดู ถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อตู้หนังสือค่อยๆแยกออกจากกัน แล้วเลื่อนออกจากผนัง ไปจนสุดมุมผนัง เผยให้เห็นช่องทางเล็กๆซ่อนอยู่

“ห้องลับน่ะ มีผมกับน้องชายที่รู้”

ไรวัตบอกอีกฝ่ายให้รู้ เขาดึงมือออกจากช่องหนังสือ แล้วเดินนำกอบลาภเข้ามาด้านในอย่างใจเย็น มือกดสวิตช์ไฟที่ติดอยู่บนผนังด้านใน แสงไฟสาดส่องให้เห็นทางเดินชัดขึ้น สุดทางมีบานประตูเหล็กกั้นไว้อีกชั้น

คนนำทางหยุดอยู่หน้าประตู กดตัวเลขรหัสเปิดประตูสี่หลักลงไปบนแป้นของระบบล็อคอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบนิรภัยขั้นสูง หากไม่รู้รหัสยากนักจะสามารถผ่านเข้าไปได้ บานประตูเหล็กเปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นภายใน ซึ่งเป็นห้องกว้างประมาณสี่คูณสี่เมตร

ตรงกลางห้องวางตู้กระจกนิรภัย ครอบกล่องไม้ใบน้อยแกะสลักลวดลายโดยรอบเป็นรูปดอกไม้ กลีบดอกไม้ฝังอัญมณีสีม่วงเข้มตกแต่งประดับประดาไว้ กิ่งก้านเป็นทองเส้นเล็กๆ ฝากล่องเปิดอ้าออก ด้านในมีจี้ห้อยคออันหนึ่งวางไว้ ตัวจี้ทำจากเงินขึ้นรูปเป็นกลีบดอกไม้และใบไม้ประดับเพชรเม็ดเล็ก ล้อมรอบอัญมณีสีอำพันรูปไข่เม็ดใหญ่ ประกายวาววับ สีเหลืองอำพันเรื่อเรืองออกมาจากอัญมณีเม็ดนั้น ราวกับอัญมณีเรืองแสงได้เอง

“โอ... ผลึกจันทร์ ช่างงดงามอะไรเช่นนี้”

กอบลาภตาโต ครางในคออย่างดีใจ เขาเดินตรงเข้าไปหาตู้กระจกราวกับต้องมนต์

“อยู่ตรงนี้ก่อน ตู้นิรภัยมีสัญญาณเตือนภัย เราต้องปลดล็อคมันก่อน”

ไรวัตรั้งแขนกอบลาภเอาไว้ ชายหนุ่มเดินไปยืนข้างตู้นิรภัย ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มแป้นตัวเลขด้านข้างตู้ ไฟสีแดงดับลงพร้อมกับไฟสีเขียวกะพริบขึ้นมาแทน กระจกครอบค่อยๆเลื่อนเปิดออกช้าๆ สร้างความยินดีให้แก่คนที่เฝ้ามองอยู่

“เอามันออกมาเร็วๆสิ ผมอยากเห็นมันใกล้ๆ”กอบลาภเร่งยิกๆ

แทนที่จะหยิบแค่จี้ห้อยคอโบราณอันนั้น แต่ไรวัตกลับยกกล่องไม้ออกมาทั้งกล่อง เขาประคองกล่องไม้เดินออกมานอกห้อง นำมาวางไว้บนโต๊ะยาวกลางห้องสมุด แล้วมองหน้าผู้ร่วมขบวนการ

“เอาไปที่บ้านคุณก่อนไหม”

ใบหน้าอวบอูมส่ายเร็วๆแทนคำตอบ ล้วงหยิบกระดาษจากกระเป๋าเสื้อของตนมาคลี่ พร้อมกับอ่านออกเสียงดังๆ

“ผลึกจันทร์จักเรืองอำนาจอีกครา ด้วยโลหิตของบุรุษผู้เกิดในคืนเพ็ญ แลโลหิตหยดนั้นตกต้องผลึกจันทร์ในคืนเพ็ญ”

ไรวัตมองอัญมณีสีอำพัน อย่างชั่งใจ

...บุรุษผู้เกิดในคืนเพ็ญก็เขานั่นแหละ!...

คืนนี้เป็นคืนเพ็ญ ตรงตามข้อความในจารึกโบราณ ที่กอบลาภแอบคัดลอกมาจากเจ้าของบันทึก โดยที่เจ้าของไม่รู้

“มันจะดีเหรอคุณกอบ ถ้าเสี่ยฟงรู้ว่าเราทำแบบนี้...” ความลังเลยังไม่หมดไปง่ายๆ

ชื่อของบุรุษผู้มีนามว่าเสี่ยฟง ทำให้คนฟังสะดุ้งนิดหนึ่ง หากประกายวาวระยับของอัญมณีตรงหน้า มีอานุภาพบดบังความกลัวไปจนหมดสิ้น

“ผลึกจันทร์เป็นของวิเศษ... ใครได้ครอบครอง จะได้ทุกสิ่งสมปรารถนา!”

ใครบ้างได้ยินแบบนี้แล้ว จะไม่อยากได้!