บท
ตั้งค่า

6. ข่มเหง

แม้จะเป็นเช่นนั้น ฉินอ๋องก็หาได้อ่อนโยน เมื่อแก่นกายถูกฝังลงไปจนมิด ร่างกำยำก็เริ่มขยับเอวสอบของตน เพื่อสร้างความคุ้นชิน ซึ่งมันก็ยากนัก เพราะร่องรักด้านล่างนี้ยังใหม่ และที่สำคัญ เขาไม่ได้เล้าโลมนางให้เกิดกำหนัดก่อนทำ การเคลื่อนตัวมันจึงยากลำบาก แม้แต่ตัวเขาเองยังต้องกัดฟันทนกับความทรมานที่มันคับแน่นจนปวดหนึบ แทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็ว่าได้

“ฮื่อ ฮื่อ เอามันออกไปข้าเจ็บ” ฟูหลิงร้องท้วงอีกหน พร้อมกับยกมือดันไหล่แกร่งให้ถอยห่าง ทว่าไหนเลยมันจะเป็นผล ยิ่งนางต่อต้าน ยิ่งดูเหมือนเขาจะลงโทษหนักขึ้น

“หากเจ้าไม่อยากทรมานจนตาย ก็อย่าดื้อรั้นกับข้าอีก” สิ้นคำ ริมฝีปากหนาก็บดขยี้ปากอิ่มที่เผยอจะต่อว่าเขา ฟูหลิงก็ได้แต่ครวญครางในลำคอ เพราะยามนี้นางมิอาจทำอันใดได้ นอกจากก่นด่าเขาในใจ และนึกตำหนิตนเองที่ไม่ใจเย็น รอให้ร่างกายหายดีก่อน ค่อยคิดยั่วโมโหเขา

แต่ก็นั่นแหละ ใครจะไปคิดกันล่ะว่า ฉินอ๋องผู้นี้ จะร้ายกาจถึงขนาดข่มเหงรังแกสตรีตัวน้อย ๆ ได้ ต่อให้นางเป็นอนุ ผู้เป็นสามีก็ไม่ควรทำเช่นนี้ เพราะนางมิใช่ศัตรูเขาเสียหน่อย…

‘หรือว่า…เจ้าของร่างนี้เคยทำเรื่องอันใดไว้ ไม่ก็…บิดานางเคยทำเรื่องไม่ดีต่อฉินอ๋อง เขาเลยมาลงที่นางแทน’ ฟูหลิงคิดหาเหตุผลเกี่ยวกับการกระทำของอีกฝ่าย ฉินอ๋องผู้นี้แลดูจงเกลียดจงชังนางมาก ไม่เคยพูดจาดีดีกับนางเลย

ทว่าเวลาต่อมาสมองที่กำลังครุ่นคิดก็เริ่มพร่าเลื่อน ความเจ็บปวดที่เคยแล่นผ่าน แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแปลกใหม่วิ่งเข้ามาแทนที่ นางรู้สึกว่าสัมผัสจากอีกฝ่าย มันช่างดีเหลือเกิน

มือที่เคยทุบตีบัดนี้เริ่มคลายออก และเผลอลูบไล้ไปตามลำคอเขา ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปที่กลุ่มผมของผู้ที่อยู่บนตัว ยิ่งไปกว่านั้น กำหนัดยังชักพาให้นางตวัดตอดลิ้นรับเขาอีก

“อืม…” เหยียนตี้ครางพอใจ เมื่อได้รับสัมผัสจากลิ้นอุ่นที่ตอบกลับมา นำพาให้อารมณ์คุกรุ่นในคราแรกเริ่มเจือจางหายไปกลายเป็นความกระสันเสียวที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างของทั้งคู่ แม้แต่คนที่เคยต่อต้านในคราแรก ยังกอดรัดผู้ที่โถมร่างกายใส่ตนแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหนีหายไปเสียอย่างนั้น ถ้อยคำก่นด่ากลับกลายเป็นเสียงครางหวานในลำคออย่างเป็นสุข

ฟูหลิงในยามนี้นางไม่อาจควบคุมตนเองได้เลย และมันก็เป็นที่ถูกใจของฉินอ๋องยิ่งนัก เพราะไม่ว่าเขาจะทำอันใด นางก็ตอบรับโดยไม่มีขัดขืน และยามนี้ ร่างเย้ายวนก็ถูกจับให้อยู่ในท่าคลานสี่ขา มีร่างกำยำขยับโยกเข้าใส่ก้นขาวอย่างมัวเมา

“อ่า…ไป่ฮวา ร่างกายเจ้าช่างดีนัก” เหยียนตี้เผลอเอ่ยนามที่เขาไม่ควรกล่าวถึง เพราะมันอาจทำให้ความทรงจำของคนด้านล่างกลับมาก็ได้ ทว่ายามนี้ ฟูหลิงนางหาได้ใส่ใจไม่

เพราะหูตานางอื้ออึงไปกับสัมผัสที่กำลังถาโถมเข้าใส่ จนเหมือนคนไร้ซึ่งสติเข้าไปทุกที ดูท่ายากำหนัดที่กินเข้าไปจะฤทธิ์แรงพอสมควร ผนวกกับร่างกายที่อ่อนแอเป็นทุนเดิม ทำให้หญิงสาวมัวเมาไปกับการปรนเปรอของคนตัวโตจนลืมสิ้นทุกอย่าง

ด้านเหยียนตี้ยามเมื่อเขาได้ยินเสียงครางของร่างเนียนขาว ริมฝีปากหนาก็เผยยิ้มหยันชอบใจ

‘หยางลี่จาง บัดนี้สตรีที่เจ้ารัก กำลังนอนครวญครางอยู่ใต้ร่างข้าแล้วรู้หรือไม่ สาใจข้ายิ่งนัก’ เหยียนตี้หยันในใจ หากมิเกรงว่าไป่ฮวาจะสงสัย เขาคงพ่นวาจาออกมาลั่นกระโจมแล้ว แม้ว่าคราแรกเขาจะเผลอเอ่ยนามนางขึ้นมาก็ตาม ทว่าคนอย่างเขา พลาดได้แค่หนึ่งครั้งเท่านั้น มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก และยามนี้ ไม่ว่าเขาจะสุขกับร่างนี้เพียงใด เหยียนตี้กลับไม่ส่งเสียงออกมา

ส่วนคนด้านล่าง ก็ได้แต่ร้องครางไม่หยุดหย่อน เพราะเอวสอบยังคงอัดกระแทกเข้ามา จนร่องรักเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาแล้ว ถึงกระนั้น ฉินอ๋องก็หาได้ผ่อนแรงลงไม่ เขายังคงขยับสะโพกใส่ จนกระทั่งร่างเปลือยขาวเกร็งกระตุก ยิ้มร้ายจึงเผยออกมา พร้อมกับเร่งซอยเอวเข้าหาเพื่อนำพาความสุขมาสู่ตนบ้าง

เมื่อเสร็จสมจากท่านี้ เขาก็ถอดแก่นกายออก และจับนางพลิกหันกลับมานอนหงายตามเดิม ซึ่งภาพตรงหน้ามันช่างยั่วยวนกำหนัดได้ดีนัก เขาจึงไม่รอช้าที่จะทาบทับลงไป ใช้ปากฉกชิมเม็ดทับทิบสีสดที่ตั้งตระหง่านเชิญชวน

“อื้อ… ท่านอ๋อง ยะ… อย่าดูดแรงเพคะ ฟูหลิงเสียว” เสียงหวานกระเส่าเปล่งออกมาทักท้วง เมื่อถูกสัมผัสจากปากหนาดูดกลืนอย่างมัวเมา แต่พอร้องห้ามกลับกลายเป็นการยุยง

เพราะเหยียนตี้ไม่คิดจะปราณีคนใต้ร่างเลยสักนิด ยิ่งนางบอกว่าเสียว มันยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้เขาถาโถมเข้าใส่ เร่งขยับเอวสอบลงที่กลางหว่างขาเรียวขาวอย่างมัวเมา

ฟูหลิงจึงทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากร้องครางเสียงหลง เพราะฉินอ๋องทั้งกินดุและกินจุเอามาก ๆ ไม่รู้เขาไปตาย,อด,ตายอยากมาจากที่ใด และเนิ่นนานเพียงใดไม่อาจรู้ได้ เพราะหลังจากถูกจับกินไปหลายรอบ อนุตัวน้อยก็หมดสติไปโดยไม่รู้ตัว

และการลงโทษครานี้ มันก็ทำให้ฟูหลิง หมดสติไปอีกสองวัน เมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองอยู่ที่เมืองผานแล้ว ทว่ากลับไร้ซึ่งเงาฉินอ๋อง ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้แยแสที่จะถาม

หกวันต่อมา…

ร่างอรชรของสาวใช้นามว่าจินจู กำลังก้าวเดินตรงไปยังเรือนหลังอย่างเร่งรีบ ทว่ายังไม่ทันพ้นเขตเรือนหลักก็ต้องชะงักเพราะเสียงที่ดังมาจากมุมหนึ่งของสวน ซึ่งมันเป็นเสียงที่นางไม่อยากได้ยินนัก แต่ถึงกระนั้นก็จำต้องรีบหันกลับไป

“ช้าก่อน! คุณหนูหวังนั่งอยู่ตรงนี้ ไยเจ้าไม่หยุดคารวะหา!” แม่นมจางตำหนิเสียงดัง พร้อมกับเดินเข้ามาขวางสตรีร่างบางกว่าตน เพื่อไม่ให้จินจูหนีไปได้เหมือนคราวก่อน

“ข้าน้อยรีบเอากระดาษไปให้อนุหลิงเจ้าค่ะ เลยไม่ทันมองสิ่งใด” จินจูรีบตอบ พร้อมกับหมุนตัวหันมาหาสตรีที่ยืนมองด้วยแววตาเรียบเฉย “บ่าวขออภัยคุณหนูหวังเจ้าค่ะ”

“นายเจ้าเอากระดาษไปทำอะไรหรือ” หวังจินเยว่เอ่ยพร้อมกับเอื้อมมือออกมาดึงม้วนกระดาษในมือสาวใช้ไปถือ ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยชาดสีแดงสดยกมุมขึ้นอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะหันมาคลี่กระดาษสะบัดเล่นราวกับเป็นของไร้ค่า

“อนุหลิงแค่วาดภาพแก้เบื่อเท่านั้นเจ้าค่ะ” จินจูตอบเสียงเบา นางไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองอีกฝ่ายว่ากำลังทำสิ่งใด

“สบายจริงนะ วัน ๆ ไม่คิดจะทำอันใดเลยหรือ เลี้ยงเสียข้าวสุกยิ่งนัก” หวังจินเยว่ตำหนิเสียงดัง เพราะมองเห็นร่างอรชรของคนที่ถูกพูดถึงกำลังก้าวเดินตรงมาหาพอดี

“ว่าข้าไม่ทำงาน แล้วเจ้าล่ะทำอันใดบ้าง วัน ๆ ก็เห็นแต่ทาปาก ผัดหน้าเขียนคิ้ว แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นประโยชน์นักหรือไง” เจ้าของเรือนหลังย้อนกลับไม่ไว้หน้า

“นะ…นี่เจ้า เจ้ากล้าว่าข้าหรือ” หวังจินเยว่ชี้หน้าทันที

“แล้วทำไมจะไม่กล้า เจ้าก็อนุ ข้าก็อนุ หรือต่อให้เจ้าเป็นพระชายาฉินอ๋องข้าก็จะด่า เพราะเจ้ามิใช่บิดาข้า” ฟูหลิงลอยหน้าลอยตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel