7. เปิดก่อนได้เปรียบ
เพราะก่อนนี้ฟูหลิงถูกสามีจับกินจนสลบไป พอตื่นขึ้นมาก็เหลือแค่สาวใช้ข้างกาย และองครักษ์อีกสิบคนที่เดินไปมาในจวน รวมถึงหวังจินเยว่ ผู้ที่บอกว่าตนก็เป็นอนุฉินอ๋องเช่นกัน
พอถูกคนที่มีฐานะเท่ากันก่นด่า มีหรือนางจะยอมลงให้ง่าย อีกทั้งยามนี้ร่างกายตนก็หายดีแล้วด้วย
ใครร้ายมา ฟูหลิงจะคืนให้สิบเท่าเลยคอยดู
“นางคนชั้นต่ำไร้สกุล นี่เจ้ากล้าต่อว่าข้าที่เป็นถึงบุตรสาวท่านเจ้าเมืองหนานโจวหรือ ข้าจะให้ท่านพ่อจัดการเจ้า”
“เชิญ! รีบขี่ม้าไปฟ้องเลย อย่ามาอยู่ให้รกหูรกตา” สิ้นคำฟูหลิงก็คว้าเอาม้วนกระดาษกลับคืน ก่อนจะหันมาจูงแขนคนของตนหมายจะพาเดินออกไป ทว่าหวังจินเยว่หรือจะยอม
“จับมันไว้! วันนี้ข้าจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึก วันหน้าจะได้ไม่ปากเก่งเช่นนี้อีก เจ้าอย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยได้เลย”
หวังจินเยว่ยกยิ้ม เมื่อเห็นคนของตนจับนายบ่าวทั้งสองไว้มั่นแล้ว ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาอย่างย่ามใจ
ทว่ายังไม่ทันที่จินเยว่จะได้ง้างมือเพื่อตบอีกฝ่าย ร่างที่สวมใส่อาภรณ์สวยสด กลับกระเด็นลอยไปคุดคู้อยู่ที่พื้นเสียแล้ว
“คุณหนูหวัง! ตายแล้ว! เจ้าถีบนายข้าได้เยี่ยงไร” แม่นมจางร้องลั่นสวน ก่อนจะรีบวิ่งมาประคองผู้เป็นนายให้ลุกขึ้น
“พวกเจ้ารีบจัดการมัน เอาไปถ่วงน้ำได้ยิ่งดี” หวังจินเยว่สั่งการเสียงแผ่วเบา มือนั้นก็ยกขึ้นชี้หน้าคนที่กล้าถีบตน
“ถะ…ถ่วงน้ำ ไม่ได้นะเจ้าคะ หากท่านอ๋องทราบจะทำเช่นไร” แม่นมจางรีบเตือนสติผู้เป็นนาย
“ท่านอ๋องไยดีนางเสียที่ไหน มิเช่นนั้นจะขังแล้วให้คนเฝ้าไว้เช่นนี้หรือ รีบเอาตัวมันไปประเดี๋ยวนี้ ข้าอยากเห็นมันตาย!” หวังจินเยว่จ้องสตรีที่ทำร้ายตนอย่างเคียดแค้น
ฟูหลิงยกยิ้มอย่างไม่หวาดหวั่น แม้ยามนี้สองแขนจะถูกจับตรึงเอาไว้ก็ตาม “มาดูกันว่าใครกันแน่ที่จะตาย” สิ้นคำนางก็ออกแรงขยับแขนตนเอง ก่อนจะเหวี่ยงมาทางด้านหน้า ทำให้สาวใช้ทั้งสองนางที่ไม่ได้ตั้งหลักขณะยืน เซถลามาชนกันในทันที จากนั้นฟูหลิงก็หันมาจัดการถีบสาวใช้ที่จับคนของตน จนกระเด็นไปคนละทาง ก่อนจะตรงไปหาคุณหนูหวังที่กำลังยืนตะลึงงัน
“เจ้ามานี่เลย! คิดจะเอาข้าถ่วงน้ำหรือ” กล่าวพร้อมกับขยุ้มศีรษะอีกฝ่ายดึงให้เดินตามอย่างทุลักทุเล
แม้จะมีคนวิ่งมาขวางและคอยฉุดดึง ถึงกระนั้นสตรีสี่ห้านางก็ไม่อาจห้ามได้ เพราะเข้าใกล้คราใด เป็นต้องถูกฝ่าเท้าของฟูหลิงทุกครั้ง และไม่กี่อึดใจต่อมา คุณหนูหวังก็ถูกลากจนมาถึงขอบสระบัว ที่กำลังชูช่อเบ่งบานอย่างงดงาม
จากนั้นฟูหลิงก็ปล่อยมือจากผมของอีกฝ่าย นางเผยยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นหวังจินเยว่จ้องหน้าอย่างเคียดแค้น
“เจ้าไม่ได้ตายดีแน่ม่านฟูหลิง!” นิ้วขาวยกขึ้นชี้หน้า
“หึหึ ข้าน่ะไม่ตายง่าย ๆ หรอก แต่เจ้าน่ะ ไม่แน่ เจ้าคิดจะจับข้าถ่วงน้ำหรือ แม่คนงามงั้นเจ้าไปรอข้าที่นรกก่อนแล้วกัน” สิ้นคำ ฝ่าเท้าของฟูหลิงก็ถีบเข้าที่ร่างของคนตรงหน้าอีกหน
ตูม! ผิวน้ำสาดกระเซ็นเป็นวงกว้างในทันที ตามมาด้วยเสียงร้องตื่นตระหนกของบ่าวไพร่ ที่ทั้งคลานและเดินโซเซตรงมา หมายจะช่วยนายของตน ด้านแม่นมจางวิ่งมาหมายจะผลักคนที่ทำให้นายตนตกน้ำ ทว่าฟูหลิงกลับเบี่ยงตัวหลบได้อย่างทันท่วงที ทำให้หญิงวัยสี่สิบต้องเป็นฝ่ายพลัดตกลงไปเอง
ฟูหลิงส่งเสียงหัวเราะชอบใจ เพราะภาพตรงหน้ามันชวนให้ขันยิ่งนัก ทันทีที่หวังจินเยว่ขยับลุกขึ้นจากน้ำได้ เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยโคลนตม เพราะน้ำในสระบัวมันเหลือไม่มาก พอตกลงไป โคลนตมจึงติดขึ้นมาโดยง่าย ตัวนางจึงดำเมี้ยมสกปรกยิ่ง
“อนุหลิงเรารีบเข้าเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ” จินจูก้าวเข้ามารั้งแขนผู้เป็นนาย เพราะเกรงว่าหากอยู่ต่ออาจถูกเล่นงานอีก
“อืม” ฟูหลิงหันมายิ้มอ่อนให้สาวใช้ตน ก่อนจะโบกมือใส่คนที่กำลังถูกประคองขึ้นมาจากน้ำโคลน “ข้าไปนะ วันหลังเราค่อยมาเล่นกันใหม่ เจ้ารีบไปอาบน้ำอาบท่าเถิด เหม็นจะแย่” ยังมิวายตอกย้ำด้วยการขยับมือไปมาตรงจมูกให้อีกฝ่ายเคียดแค้น
“ข้าจะฆ่าเจ้า! นางฟูหลิง ว๊าย…แหวะ” หวังจินเยว่ถึงกับโก่งคออาเจียน เพราะลืมตัวเผลอพูดจนทำให้ดินโคลนเข้าปาก เป็นเหตุให้ผู้ที่ยืนมองอยู่ขบขันจนท้องแข็ง
“อนุหลิงไปเถิดเจ้าค่ะ” จินจูรีบลากผู้เป็นนายกลับเข้าเขตเรือน ก่อนจะปิดประตูและลงกลอนเอาไว้ด้วย
“จินจู เจ้าเห็นหรือไม่ หวังจินเยว่กินโคลนเข้าไปตั้งมาก” มือขาวยกขึ้นมากุมท้องตน พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะลั่นสวนหน้าเรือน “คนอะไร มีข้าวให้กินไม่ยอมกิน มากินโคลนเสียได้”
“อนุหลิงไม่คิดว่าตนทำรุนแรงเกินไปหรือเจ้าคะ ทั้งเตะทั้งถีบ สตรีดีดีที่ไหนเขาทำกัน หากท่านอ๋องทรงทราบ เป็นได้ถูกลงโทษอีกกระมัง ท่านไม่อยากออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้างหรือเจ้าคะ” จินจูเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี เพราะตั้งแต่ตนมาอยู่รับใช้อนุหลิง ผู้เป็นนายก็ยังไม่ได้ออกไปไหนเลย
ตั้งแต่ตนมาอยู่รับใช้ ก็ได้รับคำสั่งให้คอยสอดส่องเฝ้าดูแล อย่าให้อนุผู้นี้ออกไปเที่ยวเล่นหรือออกนอกจวนเป็นอันขาด
“แล้วเจ้าจะให้ข้ายืนนิ่ง ให้หวังจินเยว่ตบหรือ ไม่มีทาง! เจ้าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่ เปิดก่อนได้เปรียบ”
จินจูขมวดคิ้วทันที “ไม่เคยเจ้าค่ะ”
ฟูหลิงมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มเอ็นดู
‘เคยได้ยินก็แปลกแล้ว นี่มันเป็นคำพูดของคนยุคปัจจุบันที่ชอบใช้กัน เจ้าจะไปรู้ได้ไง’ นางตอบคนตรงหน้าในใจ
ฟูหลิงมองท่าทางฉงนของสาวใช้แล้วก็ยิ้มอ่อน ก่อนจะเอ่ยบอกให้นางเข้าใจความหมายที่ตนสื่อ “ข้าไม่ชอบเป็นที่รองมือรองเท้าใคร โดยเฉพาะคนที่จ้องแต่จะเล่นงานเรา ฉะนั้น…ข้าต้องลงมือก่อน คิดดูนะถ้าเราไม่ตอบโต้ หวังจินเยว่ก็ต้องรังแกเราอยู่เรื่อย ๆ แต่ถ้าเราตั้งกำแพงเอาไว้ นางก็จะไม่กล้าลงมือ”
“แน่ใจหรือเจ้าคะ บ่าวเกรงแต่ว่านางจะลงมือหนักกว่าเดิมสิไม่ว่า” จินจูเอ่ย พร้อมกับลอบมองผู้เป็นนาย
“เจ้ากลัวหรือ?” ฟูหลิงยื่นหน้าเข้าใกล้
อีกฝ่ายจึงยิ้มแหยส่งให้ก่อนจะเอ่ยว่า “คุณหนูหวังเป็นถึงบุตรสาวท่านเจ้าเมืองนะเจ้าคะ และนางยังเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องอีก ซึ่งมันต่างจากท่านนัก” ประโยคท้ายกลับแผ่วลง
ฟูหลิงฟังแล้วก็ยิ้มแห้ง “จริงอย่างเจ้าว่า หวังจินเยว่เป็นลูกสาวเจ้าเมืองนั้นไม่เท่าไหร่ ทว่านางดันเป็นคนโปรดของตาอ๋องขี้เก๊กนั่นด้วยนี่สิ อ๊ะ! เจ้าตีข้าทำไม” ฟูหลิงยู่หน้าใส่ทันที
“ก็ใครใช้ให้ท่านตำหนิท่านอ๋องเช่นนี้ล่ะเจ้าคะ หากมีคนมาได้ยินแล้วเอาไปรายงาน ศีรษะท่านเป็นได้หลุดออกจากบ่าแน่” จินจูหันซ้ายแลขวาอย่างตื่นกลัว เพราะเกรงจะมีคนผ่านมา
“ใครจะมาได้ยินที่เราพูดกันล่ะ ในเรือนนี้มีใครแยแสเราที่ไหน ขนาดเรียกใช้งานยังต้องพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าชักสงสัยแล้วล่ะว่าตนเองเป็นอนุท่านอ๋องอย่างที่เขาบอกหรือเปล่า” คิ้วสวยเริ่มขมวดเป็นปม เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ฉินอ๋องบอกเล่าให้ฟัง
“ท่านก็พูดไปเรื่อยนะเจ้าคะ หากท่านไม่ได้เป็นอนุของท่านอ๋อง ท่านอ๋องไม่มีทางพาท่านมาอยู่ที่นี่หรอกเจ้าค่ะ ที่ไม่ค่อยใส่ใจท่าน อาจเป็นเพราะอนุหลิงจำสิ่งใดไม่ได้กระมัง จึงไม่อยากทำให้ท่านต้องลำบากใจ” จินจูให้เหตุผลที่น่าจะเป็น
ฟูหลิงจึงได้แต่ยิ้มแหยในความไม่ประสาของอีกฝ่าย
‘เหอะ! คนแบบนั้นหรือกลัวข้าลำบากใจ มีแต่จะทำให้ข้าเป็นทุกข์น่ะสิไม่ว่า คอยดูเถอะกลับมาเมื่อไหร่ แม่จะเอาคืนให้สาสมเชียว’ นึกพร้อมกับกำมือแน่น แววตาหรือก็มุ่งมั่นมาก