5. สั่งสอนคนอวดดี
ด้านฟูหลิง นางมิได้ใส่ใจที่จะหันไปมองผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีสักนิด ก็แน่ล่ะ… นางกับเขาก็เหมือนคนแปลกหน้า ไหนเลยอนุที่จำสิ่งใดมิได้อย่างตน จะแยแสสามีใจร้ายที่อยู่กับหญิงอื่น
บัดนี้สิ่งที่ฟูหลิงต้องการคืออาหารต่างหาก ซึ่งนางกำลังตั้งหน้าตั้งตากินเพื่อเพิ่มพลัง กระทั่งอิ่ม นางก็ออกมานั่งเล่นที่ลำธาร มีท่านหมอและหลี่โม่คอยประกบเช่นเคย ส่วนฉินอ๋องนั้น ยังคงพักผ่อนในกระโจมไม่มีทีท่าว่าจะออกมา
“ท่านหมอ พอจะรู้พื้นเพ ภูมิหลังของข้าบ้างหรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าตนเป็นใคร อายุเท่าใด มีพี่น้องหรือไม่ และนิสัยเก่า ๆ เป็นเช่นไร พอดีข้านึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จึงอยากขอคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากท่านสักนิดเจ้าค่ะ” ฟูหลิงสงเสียงออดอ้อน
ทว่าอีกฝ่ายกลับอึกอัก สุดท้ายจึงเป็นหลี่โม่ที่ตอบเอง
“ท่านหมอเพิ่งพบกับอนุหลิงเป็นคราแรก และปกติท่านอ๋องก็ไม่เคยเล่าเรื่องท่านให้ใครฟัง หากอยากถามเอาความท่านคงต้องไปถามท่านอ๋องเองแล้ว” หลี่โม่ชักสีหน้าไม่พอใจใส่
‘อีตานี่เคี่ยวพอ ๆ กับเจ้านายเลยแฮะ สงสัยจะไม่ชอบขี้หน้าเราเหมือนกัน ว่าแต่เจ้าของร่างไปทำอะไรให้พวกเขากันนะ ถึงได้มีท่าทางเหมือนโกรธแค้นกันมาสักสิบชาติได้’ ฟูหลิงก่นด่าอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะหันมาหาบุรุษอีกคนที่น่าจะคุยง่ายกว่า
“ท่านหมอ แล้วนี่เราจะไปที่ไหนกันหรือเจ้าคะ” ได้โอกาส ฟูหลิงก็พยายามตะล่อมถาม ภายหน้าจะได้หาทางหนีทีไล่ถูก
“ชายแดนทางเหนือ”
“ชายแดนทางเหนือ? ไปทำไมเจ้าคะ” คิ้วสวยขมวดเป็นปม ก่อนจะหันไปสำรวจรอบบริเวณอีกหน “ไปรบหรือเจ้าคะ” ถามออกไปโดยไม่คิดอะไร เพราะนางเห็นว่าขบวนนี้มีรถลากนับสิบ หากไม่ขนอาวุธก็น่าจะเป็นเสบียงประมาณนั้น
“อนุหลิงช่างฉลาดนัก มองปราดเดียวก็รู้แล้ว ว่าเราจะไปที่ไหน” หลี่โม่เอ่ย ทว่าน้ำเสียงเขามันออกจะเหน็บแนมเล็กน้อย
“ขนของเป็นคาราวานมุ่งหน้าไปชายแดนเช่นนี้ หากไม่ไปรบ จะบอกว่าท่านอ๋องขนของไปขายหรือท่านองครักษ์” ตอบกลับไม่เกรงกลัว อีกฝ่ายจึงละมือออกจากการกอดอก
“นี่ท่าน” หลี่โม่ยกมือขึ้นชี้หน้าทันที
“ทำไม…หรือไม่จริง ท่านอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ บอกว่าไปค้าขาย ใครจะเชื่อ” ฟูหลิงแจ้งเหตุผลด้วยท่วงท่ายียวน
ทว่ายังไม่ทันที่หลี่โม่จะได้ตอกกลับเอาคืน เสียงเย็นเยียบของผู้เป็นนายก็ดังมายุติสงครามขนาดหย่อมเสียก่อน
“มีอันใดกัน” แววตาคมดุจับจ้องมายังคนสนิทสลับกับสตรีที่กำลังขยับกายลุกแล้วก็ย่อตัวให้เขาอย่างมีมารยาท
“กระหม่อมกำลังชื่นชมความฉลาดเฉลียวของอนุหลิงพ่ะย่ะค่ะ นางแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเราจะทำอันใด” องครักษ์หนุ่มยกยิ้ม พร้อมกับมองด้วยแววตาเย้ยหยัน เพราะคำพูดเขา เป็นการบอกผู้เป็นนายกลาย ๆ ว่าไป่ฮวานางรู้เรื่องขนเสบียง
เหยียนตี้จึงโน้มหน้าเข้าไปหานาง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชวนขนลุก “อย่าสู่รู้ให้มาก ประเดี๋ยวชีวิตเจ้าจะไม่ยืน”
ฟูหลิงชะงักแต่ก็เพียงไม่นาน นางยังคงสบตาเขาโดยไม่เสหลบ นางอยากรู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงชอบตั้งแง่ใส่นัก นางเป็นอนุเขา ควรได้รับความรักความเอ็นดูมันจึงจะถูก ทว่าตั้งแต่ฟื้นมา คนตรงหน้าก็เอาแต่ขู่ตลอดและไม่เคยพูดดีด้วยเลย
“พระองค์มีความแค้นอันใดกับหม่อมฉันหรือเพคะ ไยไม่พูดออกมาตรง ๆ ทรงปดเรื่องที่หม่อมฉันเป็นอนุของพระองค์ใช่หรือไม่ มีอย่างที่ไหนวัน ๆ เอาแต่เย็นชาใส่อนุตน ทำอย่างกับคนเป็นศัตรู” ฟูหลิงคิดว่านางควรจะดับเครื่องชนไปเลยดีกว่า มิเช่นนั้นคนตรงหน้าต้องข่มเหงรังแกอยู่เรื่อย ๆ เป็นแน่
‘ตายเป็นตาย สวรรค์คงไม่ให้เราเกิดใหม่ แล้วตายอีกรอบภายในสามสี่วันหรอกมั้ง’ นางคิดเข้าข้างตนเองเสร็จสรรพ
ทว่า! ดูเหมือนนางจะคิดผิดถนัด
“ว๊าย! ปล่อยนะ นี่ท่านจะทำอะไร” เสียงร้องโวยวายดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ลอยละลิ่วจากพื้นราวกับคนไร้น้ำหนัก
“หลี่โม่ จัดการให้ทหารออกไปให้หมด ห้ามใครเข้ามายุ่มย่ามในกระโจมข้าเด็ดขาด” เสียงออกคำสั่งดังก้องไปทั่ว แม้แต่สตรีที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา ยังต้องถอยกลับไปยืนหลบด้านข้าง และไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ย เพราะก่อนนี้ตนได้ทำผิดเอาไว้ด้วย
แม้หวังจินเยว่จะไม่พอใจเอามาก ๆ ถึงกระนั้นนางก็มิอาจคัดค้าน เพราะตนก็แค่สตรีที่คอยติดตามฉินอ๋อง ยังไม่เคยถูกเรียกให้ไปปรนนิบัติรับใช้ ต่างจากหญิงสาวที่ถูกแบกเข้าไป
“คุณหนู อนุผู้นี้งดงามมากเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่าข้าตาบอดหรือ” หวังจินเยว่หันมาตำหนิด้วยเสียงรอดไรฟัน ทว่ามันกลับแผ่วเบานัก เพราะนางมิอาจแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดออกมาได้ ยามนี้มีหลายดวงตาคอยจับจ้อง นางจึงต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเดินชมนกชมไม้ ราวกับมิมีเรื่องใดเคืองใจแม้แต่น้อย ทว่าความจริง นางอยากกรีดร้องและเข้าไปกระชากคนในกระโจมออกมาตบหลาย ๆ ทีต่างหาก
ส่วนคนที่ถูกแบกเข้ามา ยามนี้นางถูกทิ้งลงบนบนพรมนุ่มที่ถูกปูเอาไว้ ตามมาด้วยร่างกำยำของฉินอ๋องที่ทาบทับลงทันที
“ท่านจะทำอันใด ปล่อยข้านะ” ฟูหลิงยังคงดิ้นรน ทว่าแรงที่มีมันช่างน้อยนัก อีกทั้งคนที่ทาบทับก็ตัวใหญ่กว่าร่างนี้มาก
“เจ้าสงสัยนักมิใช่หรือว่าตนเป็นอนุของข้าหรือไม่ อยากรู้ข้าก็จะพิสูจน์ให้ดู” สิ้นคำ เหยียนตี้ก็หันไปคว้าเอาจอกน้ำชาที่ตั้งอยู่บนตั่งมาเทใส่ปากนางก่อนจะโยนทิ้งไป ซึ่งชานี้มันได้สร้างความหงุดหงิดให้เขามาก เพราะมันมียาปลุกกำหนัดผสมอยู่
และเขาก็เผลอดื่มเข้าไปแล้ว เพียงแต่ดื่มไม่มาก เหยียนตี้จึงพอควบคุมสติตนเองได้ และยังรีบพาตน ออกมาจากกระโจม เพื่อไม่ให้ตนทำเรื่องไม่ควรกับสตรีที่วางยาเขา หากไม่ติดที่อีกฝ่ายเป็นบุตรสาวเจ้าเมืองหนานโจว ผู้ที่เคยมีบุญคุณกับเขามาก่อน ยามนี้หวังจินเยว่เป็นได้ถูกลงโทษไปแล้ว
ทว่าเมื่อเขาออกมาด้านนอกกลับได้ฟังถ้อยคำอวดดีของไป่ฮวา ฉะนั้นเขาควรต้องสั่งสอนนางให้หลาบจำเสียบ้าง ภายหน้าจะได้ไม่กำแหง ต่อต้านเขาต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาอีก
“ปล่อยนะคนใจร้าย ปล่อยข้า!” ฟูหลิงยังคงก่นด่าเขา เป็นเหตุให้อีกฝ่ายไม่รีรอที่จะลงโทษนางอย่างที่ตั้งใจ มือเรียวขยับลงไปรั้งชายกระโปรงขึ้น และดึงกางเกงซับในโยนทิ้งไป
“อย่านะ! ปล่อยฉัน!” ฟูหลิงยังคงแผดเสียงด้วยความตื่นกลัว เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อ่อนโยนกับนางแม้แต่น้อย ทันทีที่ด้านล่างไร้ซึ่งสิ่งป้องกัน เขาก็กดแท่งหยกเข้ามาโดยไม่รีรอ
ฉินอ๋องช่างเย็นชาและเหี้ยมโหดนัก…
“ฮึก… เจ็บ” ฟูหลิงคร่ำครวญอย่างน่าสงสาร ทว่าคนที่อยู่บนตัวกลับไม่เปล่งวาจาออกมาปลอบประโลมเลยสักนิด
เหยียนตี้เพียงแต่ชะงักไปเล็กน้อย หลังสัมผัสได้ถึงความคับแน่นที่อยู่ภายใน ซึ่งก่อนหน้าเขาคิดว่านางมอบมันให้อ๋องชั่วไปแล้ว ทว่า...เขาคิดผิด ไป่ฮวายังบริสุทธิ์อยู่