4. ความทรงจำขาดหาย
ฟูหลิงพยักหน้ารับอย่างจำยอม มิเช่นนั้นอีกฝ่ายคงรังแกนางมากกว่านี้เป็นแน่ และเมื่อเขาปล่อยมือ นางก็รีบขยับหมายจะกลับไปนั่งที่เดิม แต่ยังไม่ทันไร เอวขอดก็ถูกมือเรียวรั้งให้หยุดนิ่งอีกหน ตามมาด้วยเสียงกดต่ำบังคับอย่างชัดเจน
“แผลบนหัวยังไม่ได้ใส่ยา” กล่าวพร้อมกับดึงนางมาใกล้ ก่อนจะแกะปมเชือกเพื่อเอามันออกมา คนเจ็บก็ได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้เขาทำไป หากโต้เถียงอีก ไม่รู้ฉินอ๋องผู้บ้าอำนาจจะทำอะไรต่อ ไม่นานนัก เขาก็ปล่อยให้นางขยับตัวออกมานั่งที่เดิม
ฟูหลิงจึงรีบสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย โดยมีสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องทุกอิริยาบถ ราวกับต้องการจับผิดบางอย่าง
‘นางลืมทุกอย่างจริงหรือ ถึงได้คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่มีนามว่าฟูหลิงตามที่เราบอก หรือท่าทางที่เป็นอยู่ในยามนี้ มันคือการเสแสร้งเพื่อตบตาเราเหมือนที่นางเคยทำกับฟู่อินหลางและตันหยง’ เหยียนตี้นึกในใจ เมื่อเห็นท่าทางที่ต่างออกไปของสตรีตรงหน้า ซึ่งคราวก่อนที่พบกัน นางดูสุขุมรอบคอบมากกว่ายามนี้
หรือนางจะจำอันใดไม่ได้จริง ๆ ไม่…ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจวางใจได้ เพราะสำหรับเหยียนตี้ ไป่ฮวาคือตัวอันตราย นางคือคนสนิทของอ๋องลี่จาง ถูกส่งตัวเข้ามาเพื่อสืบข่าวและก่อกวนชีวิตคู่ของญาติผู้น้องเขา หากทำสำเร็จในครานั้น ไป่ฮวาผู้นี้คงกลายเป็นสะใภ้จวนโหวไปแล้ว แน่นอนว่านางจะต้องสร้างความวุ่นวายให้กับแผนสร้างรากฐานของราชวงศ์เจิ้งเป็นอย่างมาก
และข่าวที่สืบมาได้ ไป่ฮวาคือสตรีที่มีความสำคัญต่อจิตใจของอ๋องลี่จางมาก นัยว่าทั้งคู่น่าจะเป็นคนรักกัน เพราะเหตุนี้กระมัง นางจึงได้หนีออกจากเมืองหลวง ทั้งที่ยามนั้นแผนการที่วางไว้ใกล้จะสำเร็จแล้ว ทั้งที่ไท่ฮูหยินรักใคร่นาง น้องสะใภ้ก็เชื่อใจมองเห็นนางเป็นพี่น้องแท้ ๆ และยังคิดจะเปิดร้านให้ดูแลอีก
ทว่า…เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ไป่ฮวากลับหนีออกจากเมืองหลวง ทิ้งบิดาบุญธรรมซึ่งเป็นสายของอ๋องลี่จางเอาไว้ และยามนี้ คนผู้นั้นได้ถูกกำจัดตายตกไปตามคนชั่วอีกหลายคนไปแล้ว
และด้วยเหตุผลนี้ เหยียนตี้จึงไม่ได้ลงมือสังหารนาง หลังจากรู้ว่าสตรีที่ตนช่วยไว้คือไป่ฮวา เพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสดี ที่จะเค้นเอาแผนผังการวางกลยุทธ์ของอ๋องลี่จางจากนาง ทว่าคำพร่ำเพ้อที่นางละเมอยามไร้สติ กลับทำให้เขาคิดแผนเพิ่มมาอีก
หยางลี่จาง เจ้าคนชั่ว ข้าจะเอาชีวิตเจ้า
ความหมายของถ้อยคำที่ไป่ฮวาพร่ำเพ้อให้ได้ยิน คงหนีไม่พ้นข่าวการอภิเษกของอ๋องลี่จางกับองค์หญิงใหญ่แคว้นเหลียงกระมัง เพราะนางหนีออกจากเมืองหลวงในช่วงนี้พอดี
หลังจากเขาได้ยินเช่นนั้น เหยียนตี้ก็มองเห็นแผนการใหม่ เขาหมายจะใช้นางเป็นเครื่องมือย้อนกลับไปจัดการอ๋องลี่จาง
เพราะสตรี หากได้รักก็รักฝังใจ หากได้เกลียดเมื่อใด มันจะกลายเป็นความแค้นในทันที และเท่าที่ได้ยินมาดูเหมือนนางจะรักอ๋องลี่จางมาก มิเช่นนั้นไป่ฮวาไม่มีทางยุติการเป็นสายง่าย ๆ และการที่นางหนีไปยังทิศเหนือ คงไม่พ้นกลับไปถามเอาความจากบุรุษที่ตนมีใจ หึ! ช่างเป็นสตรีที่บูชาความรักดีเหลือเกิน
นึกมาถึงตรงนี้ แววตาเขาก็แข็งกร้าวขึ้น
ทว่าคนถูกมองกลับฟุบหลับตรงขอบหน้าต่างไปแล้ว
ฟูหลิงรู้สึกเหนื่อยล้ามาก เพราะรถม้ามันโคลงเคลงจนอยากจะอาเจียน หากไม่หลับตาเพื่อพาตนเองผ่อนคลาย มีหวังได้ทำเรื่องน่าเกลียดต่อหน้าฉินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่
กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ดวงตาคู่สวยจึงได้เปิดขึ้น ก่อนจะขยับกายและบิดขี้เกียจด้วยความเคยชิน
“อ๊ะ! ขอโทษ เอ่อ… ขออภัยเพคะ” นางยิ้มแหยให้คนตรงหน้าที่เอาแต่จ้องเขม็ง ลำคอระหงกลายเป็นระลอกคลื่นทันที
“ลงไป เราจะค้างแรมกันที่นี่” เสียงกดต่ำดังขึ้น
“เพคะ” อนุตัวน้อยรับคำแล้วก็มุดออกไปก่อน แต่นางก็ไม่ได้ก้าวลงไปในทันที เพราะมัวแต่ยืนยิ้มกับภาพตรงหน้า
ทำให้คนที่มุดตามออกมา ชนเข้ากับแผ่นหลังนาง แต่ดีที่การทรงตัวของฟูหลิงนั้นมั่นคงพอสมควร เพียงแค่ยื่นขาออกไปเล็กน้อย ก็สามารถพยุงตัวได้โดยไม่ให้ตนเซล้ม
“ขะ…ขออภัยอีกรอบเพคะ” สิ้นคำนางก็รีบก้าวลงไปยืนข้างท่านหมอหาน ที่ทำตาโต ไม่ต่างจากคนสนิทฉินอ๋อง
“มายืนทำไมกัน ไปจัดเตรียมกระโจม ข้าวปลาอาหารสิ” เหยียนตี้ส่งเสียงเข้มตำหนิคนทั้งสามทันที
“พ่ะย่ะค่ะ” เสียงตอบรับช่างพร้อมเพรียงนัก
ด้านฟูหลิงจึงได้แต่ยืนหันรีหันขวา เพราะไม่รู้ตนควรไปทางไหนดี ผู้ที่ก้าวลงมาจึงรั้งแขนนางให้เดินตาม และยามนี้เองที่หญิงสาวได้สังเกตเห็นว่า ขบวนที่เดินทางอยู่นี้ มิใช่ขบวนเล็ก ๆ เลย ข้างหลังและด้านหน้ามีทหารนับพันเลยก็ว่าได้
“ล้างหน้าล้างตาเสีย” กล่าวพร้อมกับดันตัวนางไปที่ลำธาร
“เพคะ” รับคำแล้วก็หันหนีพร้อมกับคว่ำปากไปหนึ่งที แต่พอได้เห็นธรรมชาติเบื้องหน้า ริมฝีปากซีซีดกลับยิ้มอ่อน
“สวยจัง” พึมพำแผ่วเบา ก่อนจะก้าวตรงไปยังริมลำธาร
จากนั้นนางก็กวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าและลำคอเพื่อให้ร่างกายได้ตื่นตัว โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของคนด้านหลังจับจ้องอยู่ แต่ก็เพียงไม่นาน เมื่อเสียงหนึ่งแว่วมาให้ได้ยิน
“ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ”
ทุกคนต่างก็หันไปยังที่มาของเสียงทันที รวมถึงฟูหลิงที่กำลังขยับลุกขึ้นมองทิวทัศน์ก็รีบหันไปเช่นกัน
‘สงสัยเป็นเมียอีกคนของตาอ๋องบ้าอำนาจแน่ ๆ’ นางแอบก่นด่าเขาในใจ ก่อนจะคว่ำปากใส่แผ่นหลังกว้างด้วยความหมั่นไส้ จึงได้ยินเสียงหัวเราะขบขันแว่วมา
“ระวังท่านอ๋องจะเห็นเขานะขอรับอนุหลิง” เฉินอี้เดินเข้ามาเตือนอย่างหวังดี เพราะสหายตนนั้นไม่เคยให้ใครดูหมิ่นง่าย ๆ
หญิงสาวชะงักไปทันที “ท่านหมออย่าบอกฉินอ๋องนะเจ้าคะ ขืนเขารู้ว่าข้าทำอันใดลับหลังมีหวัง เขมือบหัวข้าน้อยไม่มีเหลือเป็นแน่” ฝูหลิงเอ่ยพร้อมกับมองไปยังร่างสูงที่ยืนอยู่ไกล ๆ
เฉินอี้จึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน แต่ไม่ทันไรเขาก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตนไว้ เพราะฉินอ๋องกำลังจ้องพวกเขาอยู่ ท่านหมอหนุ่มจึงรีบเอ่ยว่า “เราไปทางนั้นกันเถิด อาหารเตรียมพร้อมแล้ว เมื่อเช้าท่านก็ยังไม่ได้ทานอันใดมิใช่หรือ หิวแย่แล้วกระมัง” เฉินอี้รีบเดินนำไปก่อน
ฟูหลิงก็เดินตามไปอย่างว่าง่าย เพราะนางหิวมากจริง ๆ
“ท่านอ๋อง สตรีนางนั้นคือผู้ใดเพคะ” หวังจินเยว่รีบเอ่ยถาม เพราะนางสังเกตเห็นว่าฉินอ๋องเอาแต่จับจ้องหญิงสาวผู้นี้
“อนุข้า” เหยียนตี้ตอบกลับเสียงเรียบ
“อะ…อนุ ท่านอ๋องมีอนุได้อย่างไรเพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าพระองค์ไม่เคยรับอนุมิใช่หรือ” หวังจินเยว่ยิงคำถามอีกหน
“ข้าจะรับใครเมื่อใด ต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ”
“เปล่าเพคะ จินเยว่ก็แค่สงสัยไปเรื่อย มิได้หมายความเป็นอย่างอื่นเลย” นางรีบบอกปัดไปก่อนอีกฝ่ายจะหัวเสีย
“แล้วเจ้าเดินทางมาทำไม”
“หลังจากท่านพ่อทราบข่าวว่าท่านอ๋องต้องการเสบียง ท่านพ่อก็มอบหมายหน้าที่ให้หม่อมฉันเดินทางไปยังเมืองผาน เพื่อรวบรวมเสบียงกับเครือญาติเอาไว้ช่วยในการศึกครานี้เพคะ นึกไม่ถึงว่าจะมาทันขบวนเดินทางของพระองค์ด้วย ช่างเป็นโชคดีของจินเยว่จริง ๆ” หวังจินเยว่รีบเอ่ยบอก
“ดี เอาไว้ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทให้” เหยียนตี้เอ่ยจบก็เดินแยกไป และหวังจินเยว่ก็ได้โอกาสตามเข้าไปในกระโจมด้วย