บท
ตั้งค่า

3. ก้อนหินไร้ใจ

ฟูหลิงยังคงนิ่งงันและรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผล หากนางเป็นอนุของฉินอ๋องจริง ไยเขาถึงมองนางเหมือนเป็นศัตรู

“ขะ…ข้าเป็นอนุของท่านจริงหรือเจ้าคะ”

“พูดจาให้มันดีดี หม่อมฉัน พระองค์ เพคะ มิใช่เอาวาจาบ้านเกิดตนเองมาใช้กับข้าเช่นนี้” คนตรงหน้าตำหนิเสียงเรียบ

‘เป็นอ๋องที่บ้าอำนาจซะด้วย เสียทีที่เกิดมาหล่อ’ ฟูหลิงก่นด่าเขาในใจ ทว่าสีหน้าและแววตากลับดูตื่นกลัว ซึ่งอันที่จริงภาพที่เห็นมันคือส่วนหนึ่งในการแสดงที่ติดตัวมาจากยุคปัจจุบัน

“เพคะ ต่อไปหม่อมฉันจะระวังให้มาก จะไม่ทำให้ท่านอ๋องเคืองขุ่นพระทัยอีก” เอ่ยแล้วนางก็ก้มหน้าอย่างคนสำนึกผิดทว่าในใจกลับกำลังก่นด่าอีกฝ่าย ‘หึ! เอาไว้ฉันหายดีก่อนเถอะ อีตาอ๋องขี้เก๊ก แม่จะเอาคืนให้เลิกปากเสียเลย’

“ดี เช่นนั้นก็ออกเดินทางได้”

“หา!” นางจ้องหน้าเขาทันที ตนหรืออุตส่าห์ทำตัวดีดี ทว่าอีกฝ่ายกลับเย็นชา ออกคำสั่งให้เดินทางอีกจนได้

“เอ่อ…ท่านอ๋อง เราควรใส่ยา เปลี่ยนผ้าพันแผลและให้ นางกินอะไรก่อนออกเดินทางนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินอี้รีบท้วง

“ใช่ ๆ หม่อมฉันหิวมากเลยเพคะ” มือเล็กรีบยื่นออกมาเกาะแขนเขา ฟูหลิงคิดว่ายังไงผู้ชายก็ต้องแพ้ลูกอ้อน เจ้าของร่างหน้าตาดีขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธไม่ลงแน่

ทว่า… “กินบนรถม้า ยาข้าจะใส่ให้นางเอง” สิ้นคำมือเรียวก็รั้งเอาคนเจ็บลุกขึ้น แต่ด้วยความที่ร่างอรชรยังไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้นางเซถลาเข้าไปหาร่างกำยำของฉินอ๋องทันที

“อ๊ะ!” เสียงครางเพราะความเจ็บปวดดังขึ้น ครั้นจะถอยหนี ช่วงเอวกลับถูกอีกฝ่ายโอบเอาไว้ และไม่ทันไรตัวนางก็ลอยละลิ่วขึ้นจากพื้น ไม่กี่อึดใจต่อมาฉินอ๋องก็อุ้มนางออกไป

ฟูหลิงทำได้เพียงแค่อยู่นิ่ง ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ หากตนดื้อดึงขัดขืน เขาอาจจะโยนลงพื้นอย่างไม่ปราณีก็ได้ เพราะการกระทำเขา เท่าที่นางสังเกตเห็น คนคนนี้เย็นชามาก

‘อีตาอ๋องบ้านี่ ไม่เคยทะนุถนอมผู้หญิงเลยหรือไง คนเจ็บอยู่ยังทำรุนแรงอีก หรือจะเป็นพวกซาดิสม์' ก่นด่าเขาในใจ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และมันก็ทำให้นางลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเสียสิ้น เพราะภาพเบื้องหน้า มันแน่ชัดแล้วว่าตนไม่ได้อยู่ในโลกใบเดิมอีกต่อไป นางตายแล้วเกิดใหม่ในร่างนี้จริง ๆ

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเป็นใครหรือเพคะ” ดวงตาคู่สวยหันมาจับจ้องเสี้ยวหน้าคมคายที่อยู่ห่างเพียงคืบอีกครั้ง และคำถามนี้มันก็ทำให้ร่างสูงที่กำลังก้าวเดินต้องหยุดชะงัก ก่อนจะก้มลงมองผู้ที่อยู่ในอ้อมแขนของตน ราวกับกำลังชั่งใจในบางสิ่ง

“เจ้ามีนามว่าฟูหลิง เป็นบุตรสาวของพ่อค้าอัญมณี บัดนี้พวกเขาอพยพไปอยู่ทางใต้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะฐานะเจ้ายามนี้คืออนุของข้า สนใจแค่เรื่องนี้พอ”

“ฟะ…ฟูหลิง? หม่อมฉันมีนามว่าฟูหลิงหรือเพคะ”

“อืม” เหยียนตี้รับคำสั้น ๆ พร้อมกับนึกถึงคืนแรกที่ตนช่วยนางไว้ ไป่ฮวาละเมอว่าตนคือฝูหลิง เขาจึงหมายให้นางใช้นามนี้ไปเสีย คนที่เคยรู้จักจะได้ตามหานางไม่พบ

เมื่อขึ้นรถม้าได้ เขาก็สั่งให้ออกเดินทางทันที

ด้านคนเจ็บยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง ตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยบอกนามของตนให้ฟัง ‘ทำไมเจ้าของร่างถึงมีชื่อเหมือนเรา’

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่เชื่อที่ข้าบอก” เสียงเรียบดังขึ้น แววตาที่จ้องมองสตรีตรงหน้ายังคงเย็นชาไม่ต่างจากคราแรก

“ปะ…เปล่าเพคะ พระองค์ทรงเป็นถึงอ๋อง จะมาโป้ปดเกี่ยวกับพื้นเพของหม่อมฉันทำไม หม่อมฉันก็แค่หิวและเจ็บแผลเท่านั้นเพคะ” ฟูหลิงบอกปัด ก่อนจะเผยยิ้มแหย

“ขยับมา ข้าจะใส่ยาและเปลี่ยนผ้าให้ ส่วนอาหารต้องรออีกสักพัก คนของข้าควบม้าไปซื้อให้แล้ว”

“เอ่อ… หม่อมฉันใส่เองได้เพคะ ไม่ลำบากท่านอ๋องดีกว่า” มือเล็กรีบโบกไปมา ก่อนจะหันมามองกล่องไม้ขนาดเล็กที่วางอยู่ข้างตัว ไม่นานคิ้วสวยก็เริ่มขมวดเป็นปม

‘ขวดไหนกันล่ะเนี่ย’ นึกในใจอย่างมึนงง

“ข้าบอกให้ขยับมานั่งตรงนี้ อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” เสียงเข้มลอยมา ทำให้ใบหน้างามต้องรีบเงยขึ้นมองเขาทันที

“พะ…เพคะ” สุดท้ายนางก็จำต้องทำตามที่เขาบอก โดยการขยับมานั่งฝั่งเดียวกัน ‘นี่ถ้าเป็นนิยายแนวที่เราเขียน ฝ่ายชายจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหามันถึงจะถูก มีอย่างที่ไหน ให้คนเจ็บลุกมาหาเอง ไร้ซึ่งความเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ’ ก่นด่าเขาอีกหน ถึงกระนั้นสีหน้าของนางก็ยังเรียบเฉย มุมปากยังคงเผยยิ้มบาง ราวกับซึ้งใจนักหนาที่อีกฝ่ายจะช่วยใส่ยาให้

ทว่า… มือเรียวใหญ่ กกลับไม่ได้ยกขึ้นมาที่ศีรษะนาง แต่มันเลื่อนลงต่ำตรงช่วงเอว และกำลังกระตุกเชือกออกต่างหาก

“อ๊ะ! จะทำอะไรเพคะ”

“ถ้าไม่ถอดจะใส่ยาเปลี่ยนผ้าได้หรือ”

“ตะ… แต่” นางรีบจับข้อมือเขาแน่น

“แต่อะไร เจ้าลืมหรือว่าตนเป็นอนุข้า ทุกส่วนบนร่างกายนี้ข้าเห็นมาหมดแล้ว ถ้ายังดื้อ ข้าจะให้ทหารด้านล่างมาทำให้”

ฟูหลิงถึงกับลมออกหู “หม่อมฉันเป็นอนุของพระองค์จริงหรือเพคะ เหตุใดพระองค์ถึงได้ดูแคลนหม่อมฉันนัก”

เหยียนตี้นิ่งไปทันที แต่ก็เพียงไม่นานเขาก็เอ่ยว่า

“สตรีเช่นเจ้า แค่ดูแคลนมันยังน้อยไป”

“หมายความว่าอย่างไรเพคะ หากหม่อมฉันเป็นคนไม่ดี เหตุใดพระองค์ถึงได้รับหม่อมฉันมาเป็นอนุล่ะเพคะ” หญิงสาวยังคงไม่ยอม เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะตั้งแง่ใส่ตลอด

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ถาม” สิ้นคำ มือเรียวก็กระตุกเชือกผูกเอวจนหลุดติดมือมา ก่อนจะโยนทิ้งลงบนพื้นแล้วหันมารั้งเอาสาบเสื้อนางออกจากตัว เผยผิวขาวเนียนให้ประจักษ์แก่สายตา

ฟูหลิงจึงรีบยกมือขึ้นตะปบตู้โตวสีชมพูอ่อนของตน เพราะรู้สึกกระดากอายที่ต้องเปลือยกายต่อหน้าบุรุษที่เพิ่งเจอกัน แม้เขาจะเป็นสามีเจ้าของร่างก็ตาม จากนั้นนางก็นั่งเฉย เพราะยิ่งต่อต้าน เขาก็ยิ่งดุดันใส่ ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือการยอม

“อยู่นิ่ง ๆ มิเช่นนั้นเจ้าเจ็บตัวแน่” คนตัวโตยังมิวายส่งเสียงดุ พร้อมกับแกะปมผ้าพันแผลออกแล้วค่อย ๆ คลายมัน ซึ่งท่วงท่าที่ทำอยู่มันทำให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก

กระทั่งผ้าที่พันรอบตัวไม่มีเหลือแล้ว ฟูหลิงจึงก้มมองบาดแผลที่มีความยาวขนาดเท่านิ้วของตน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนึกไม่ออกว่าตนได้รับบาดแผลนี้มายังไง

‘สงสัยเจ้าของร่างจะโดนแทงจนตกผา จากนั้นหัวคงไปกระแทกกับโขดหิน จนจมน้ำตาย และเราก็มาเข้าร่างพอดี อืม…น่าจะเป็นแบบนี้แหละ’ ฟูหลิงยังคงนึกไปเป็นตุเป็นตะ ทั้งที่ความเป็นจริง นางได้เกิดใหม่มานานกว่าห้าปีแล้ว

ทว่าบัดนี้…ความทรงจำที่เคยมี มันกลับเลือนหายไปหมดสิ้น หลังจากที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้า ฟูหลิงก็เข้าใจว่าตนเองเพิ่งเกิดใหม่ และไม่รู้ด้วยว่าที่นี่คือโลกนิยายที่ตนเป็นผู้สร้าง นางกำลังเข้าใจว่า ตนคือฟูหลิง อนุของฉินอ๋องตามที่อีกฝ่ายบอกกล่าว

บุรุษเย็นชาที่มักเอ่ยวาจาแข็งกระด้างกับนางเสมอ

ไม่รู้เจ้าของร่าง ไปทำอะไรไว้ให้เขาเกลียดชังนักหนา คำพูดคำจาของคนสูงศักดิ์ ถึงได้เจ็บแสบทุกครั้งที่เปล่งออกมา

ฟูหลิงยังคงก่นด่าเขาในใจ กระทั่งอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง ทั้งคู่จึงได้สบตากัน แต่ก็เพียงไม่นานนางก็ร้องคราง

“อื้อ…เจ็บนะเพคะ” ท้วงเขาอย่างลืมตัว เพราะคนตรงหน้าผูกผ้าพันรอบตัวนางเสียแน่น และเขายังยกยิ้มมุมปากด้วย

“หึ! ใครใช้ให้เจ้าจ้องหน้าข้า”

“วันหลังก็เขียนป้ายห้อยคอไว้สิเพคะว่าห้ามมอง” ย้อนคำแล้วร่างเล็กก็ขยับตั้งท่าจะถอยออกมาสวมชุด ทว่านางกลับไม่ทันมือเรียวที่สอดเข้ามาโอบเอวเอาไว้ก่อน

“ปากเก่งนักนะ” ฉินอ๋องยกมือขึ้นมารั้งท้ายทอยนางไว้ ก่อนจะดันเข้าหา จากนั้นเขาก็แนบริมฝีปากลงประกบทันที

มือเล็กได้แต่ยกขึ้นทุบตีไหล่แกร่ง ทว่าแรงต่อต้านมันช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน ถึงกระนั้นฟูหลิงก็หาได้ยอมแพ้ไม่

แต่ยิ่งขัดขืน คนตัวโตก็ยิ่งกอดรัดจนนางรู้สึกเจ็บแปลบที่บาดแผล สุดท้ายฟูหลิงจึงต้องปล่อยให้เขาฉกชิมจนพอใจ และกว่าที่ฉินอ๋องจะยอมผละออก ริมฝีปากนุ่มนิ่มก็บวมเจ่อไปแล้ว

จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งโดยที่ใบหน้ายังคงใกล้ชิดกัน

“ทีหลังอย่าได้ปากเก่งกับข้าอีก เจ้าเป็นแค่อนุอย่าลืม”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel