2. เรื่องมหัศจรรย์
บนเตียงไม้เก่าในเรือนหลังหนึ่ง
ร่างอรชรที่หมดสติไปสองวันกำลังเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อปรับภาพตรงหน้าชัดเจนแล้ว คิ้วสวยก็เริ่มผูกกันเป็นปม
“ที่นี่ที่ไหนกัน” หญิงสาวพึมพำแผ่วเบา จากนั้นจึงพยายามขยับลุกนั่งแล้วมองไปรอบห้อง “ไม่ใช่โรงพยาบาลเหรอ”
คนเจ็บพร่ำเพ้ออย่างไม่เข้าใจ กระทั่งก้มลงสำรวจร่างกายตนเองซึ่งมันได้ทำให้เธอตกใจมาก บนตัวไม่พบบาดแผลจากคมกระสุน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเธอถูกยิงตั้งสี่นัด แต่ร่างกายกลับมีแค่แผลตรงช่วงเอว และแผลแตกตรงขมับด้านซ้ายเท่านั้น
“แผลนี้ได้มายังไงนะ แล้วแผลถูกยิงมันหายไปไหน”
ด้วยนิสัยเป็นคนตื่นตัวและรอบคอบอยู่เสมอ ฟูหลิงจึงรีบขยับลุกลงจากเตียง เพื่อสำรวจไปรอบห้อง และหาทางหนีทีไล่ เนื่องจากก่อนนี้ เธอถูกตามล่า เลยไม่อาจทำใจเย็นอยู่ได้ จากนั้นเธอก็เดินมาหยุดที่ริมหน้าต่าง เพื่อแง้มออกดูด้านนอก ภาพที่พบยังเป็นบรรยากาศของยุคจีนโบราณเหมือนที่เคยเห็นในซีรี่ย์
ทว่ามันดูสมจริงมากไม่เหมือนการตบแต่งในโรงถ่าย
“ทำไมไม่มีสายไฟหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับการถ่ายทำเหมือนที่เคยเห็นล่ะ ผู้คนด้านนอกก็เหมือนจะทำงานจริง ไม่เหมือนคนกำลังเข้าฉากแสดงเป็นบ่าวรับใช้เลย” เธอพึมพำแผ่วเบา ก่อนจะก้มมองตัวเองที่สวมใส่ชุดจีนโบราณไม่ต่างจากคนด้านนอก
“แกคงไม่ได้ตกน้ำแล้วทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณหรอกนะฟูหลิง นั่นมันนิยายที่แกเขียนนะ” เธอนึกขันกับความคิดตัวเอง ก่อนจะหยุดชะงักแล้วรีบมองหาของบางอย่าง เพื่อยืนยันความคิดที่ผุดขึ้นมาเมื่อครู่ “กระจก” พึมพำแล้วเธอก็ก้าวเดินมายังมุมโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะก้มลงส่องดูให้แน่ชัด
ฟูหลิงนิ่งไปพักหนึ่ง ไม่นานเธอก็ทรุดนั่งลงบนตั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง “มะ…ไม่จริง นะ…นี่เราอยู่ในร่างคนอื่นงั้นเหรอ งั้นก็แสดงว่าเราตายแล้วมาเกิดใหม่เหมือนนิยายที่เราแต่งน่ะสิ มะ…ไม่จริงมั้ง มันจะเป็นไปได้ยังไง” เสียงเธอติดขัดเป็นอย่างมาก
“ฟูหลิง…หรือว่าแกกำลังฝันอยู่ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตื่นเถอะ” เธอยกมือขึ้นมาตีหน้าตนเอง หมายจะเรียกสติ
ทว่าอาการตื่นตระหนกยังไม่ทันได้หายไป เสียงพูดคุยจากด้านนอกก็ทำให้หญิงสาวต้องรีบลุกแล้วเดินกลับไปที่เตียง ก่อนจะเอนตัวนอนเพื่อทำทีเป็นคนป่วยต่อ
ฟูหลิงนอนนิ่งด้วยใจที่เต้นระทึก รอฟังคนเหล่านี้พูดคุยอย่างหวาดหวั่น นางอยากรู้ว่ามันจะเป็นอย่างที่ตนคิดหรือเปล่า และคำตอบมันก็ทำให้หญิงสาวต้องบีบมือตนที่อยู่ใต้ผ้าห่มแน่น
“นางหลับมาสองวันแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงฟื้นพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยก่อน ตามมาด้วยเสียงเรียบเย็นชาที่ต่างกัน
“ดี เราจะได้เดินทางกันต่อเสียที”
‘แสดงว่าเราเข้าร่างนี้ตั้งแต่วันที่ลอยคออยู่ในแม่น้ำแล้วสินะ พอขึ้นจากน้ำแล้วหมดสติโจรก็มาจับตัวไป แล้วคนกลุ่มนี้ก็มาช่วยเรา พาเรามารักษา มิน่า… ตอนนั้นถึงเดินหาบ้านคนไม่เจอสักหลัง ที่แท้เราก็ตายแล้วมาเกิดใหม่ในยุคโบราณนี่เอง’
ฟูหลิงนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนประสบพบมาก่อนที่จะหมดสติ ตอนนั้นเธอยังคิดว่าตัวเองถูกยิงตกน้ำ แล้วกระแสน้ำพัดพาออกนอกเมืองไหลมายังแถบถิ่นกันดาร ทว่าความเป็นจริง เธอกลับตายไปแล้ว และมาเกิดใหม่ในร่างนี้ต่างหาก
ทว่าในขณะที่คิด เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“แล้วโจรพวกนั้น”
“ทหารฝังร่างพวกมันไว้ในหุบเขาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ภายหน้าพวกมันไม่มีโอกาสได้ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านที่เดินทางสัญจรไปมาอีกแล้ว” เสียงจากชายอีกคนดังขึ้น
“เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง ต่อให้ส่งไปเป็นทหาร ภายหน้าพวกมันก็ต้องข่มเหงผู้อื่นอีก สู้ให้ดินกลบหน้า ตายไปเป็นอาหารต้นไม้ยังจะมีประโยชน์เสียกว่า”
‘คนคนนี้เป็นเชื้อพระวงศ์งั้นเหรอ คนที่พูดด้วยถึงใช้คำราชาศัพท์ จะว่าฮ่องเต้ก็ไม่น่าใช่เพราะเขาต้องอยู่ในวัง หรือว่าจะเป็นท่านอ๋อง องค์ชายอะไรเทือกนั้น…’ นางนึกในใจไปเรื่อย ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเพราะสัมผัสจากมือเรียวที่กุมข้อมือตนเอาไว้
“รู้สึกตัวแล้วก็ลืมตาขึ้นมาสิ คิดจะนอนฟังไปถึงเมื่อใดกัน คิดว่าข้าโง่ รู้ไม่ทันเจ้าหรือ” เสียงตำหนิดุดันนัก มิหนำซ้ำเขายังยอบกายนั่งลงบนเตียงและจ้องใบหน้างามเขม็ง
“อ๊ะ! ตื่นแล้วค่ะ ตื่นแล้วค่ะ” ฟูหลิงรีบขยับลุกนั่ง ก่อนจะตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นคนตรงหน้าชัด ๆ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะอีกฝ่ายมีหน้าตาที่หล่อเหลามาก
‘เทพบุตรชัด ๆ’ นึกในใจพร้อมกับเผลอยิ้ม ทว่าอีกฝ่ายกลับทำหน้าเคร่งขรึมใส่ ทำให้ริมฝีปากซีดเซียวต้องรีบหุบลง
“ฟื้นแล้วก็ดี จะได้ออกเดินทาง” ฉินอ๋องออกคำสั่งทันที
“ดะ… เดินทาง ไปไหนคะ ฉันยังรู้สึกมึนหัวอยู่เลยนะ ขอพักอีกวันสองวันไม่ได้เหรอ” คนเจ็บรีบค้าน เพราะตนเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาไม่คิดจะให้ตั้งตัวกันก่อนหรือไง
“เอ่อ…ไม่งั้น พวกคุณ…ไม่สิ พี่ชายทิ้งข้าไว้ที่นี่ก็ได้ เอาไว้ข้าหายดีแล้วจะตามไปเจ้าค่ะ” ฟูหลิงพยายามเปล่งวาจาให้เข้ากับยุคที่ตนอยู่มากที่สุด ยังดีที่เธอมีงานอดิเรกเป็นนักเขียนนิยายแนวจีนโบราณ มันเลยไม่ยากที่จะเรียนรู้
“พี่ชาย? ใครเป็นพี่ชายเจ้า” ฉินอ๋องดุเสียงดัง
“มะ…ไม่ให้เรียกพี่ชายแล้วจะให้เรียกอะไรหรือเจ้าคะ ข้าเอ่อ คือข้าจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นใคร แล้วจะให้ข้านับญาติอย่างไรหรือเจ้าคะ” ฟูหลิงแสร้งเอ่ยไปเรื่อย ก็นางไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้าของร่างเป็นใคร และมีความสัมพันธ์ใดกับพวกเขา โดยเฉพาะคนตรงหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจนางเท่าใดนัก
บุรุษทั้งสามนิ่งไปทันที พวกเขาต่างก็นึกไม่ถึงว่า ไป่ฮวาจะจำสิ่งใดมิได้แม้แต่นามของตนเอง ฉินอ๋องจึงหันมาหาสหายที่เป็นหมอรักษา อีกฝ่ายจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“คงเป็นเพราะศีรษะถูกกระแทกอย่างรุนแรงพ่ะย่ะค่ะ ความทรงจำบางส่วนเลยหายไป” หานเฉินอี้เอ่ยบอกเสียงทุ้มอ่อน
ฉินอ๋องจึงหันกลับมาหาคนบนเตียงที่นั่งมองเขาตาแป๋ว เหมือนเด็กน้อยที่กำลังรอฟังคำตอบไม่มีผิด ถึงกระนั้นคนเย็นชา ก็ยังเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นเคย “อย่าเรื่องมาก เจ้าเป็นอนุของข้า สั่งสิ่งใดก็ควรต้องทำตาม หลี่โม่ไปเตรียมรถม้า”
ภายในห้องเงียบงันไปทันที แม้แต่คนสนิทที่ควรต้องรับคำ ยังยืนมึนงงอย่างไม่เข้าใจ เพราะจู่ ๆ ผู้เป็นนายก็แอบอ้างว่าตนเป็นสามีของคนบนเตียงเสียอย่างนั้น
ด้านฟูหลิงเมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยถามอีกรอบ “อนุ! ท่านหมายถึงอนุภรรยาน่ะหรือ ขะ…ข้าหรือเป็นอนุท่าน” นางถามย้ำอีกหน ก่อนจะมองไปยังบุรุษสองคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง ฉินอ๋องจึงหันมาจ้องทั้งคู่เขม็ง คนสนิทก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยตอบ
“ใช่…แม่นางคืออนุของฉินอ๋อง พระอนุชาของฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์เจิ้งโจว” หลี่โม่กล่าวเสียงดังฟังชัด
‘คนคนนี้คือฉินอ๋องงั้นเหรอ แล้วเจ้าของร่างนี้ก็เป็นอนุเขาด้วย’ ฟูหลิงนิ่งงันไปทันที เพราะสิ่งที่ได้ยินมันช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย แค่ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างนี้ก็ว่ามหัศจรรย์แล้ว นี่นางยังกลายมาเป็นอนุของฉินอ๋อง พระอนุชาฮ่องเต้อีกหรือ