9. นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น
ชิงเยว่มองตามร่างสูงของสามีกำมะลอเดินเลี่ยงไปทางด้านหลังของเรือนจนลับตา ก่อนจะหันมาทางสตรีสองนางที่ยืนมองตนอย่างเอาเรื่อง หากเดินเข้ามาบีบคอนางได้ สองคนนี้คงทำอย่างไม่รีรอ ดีที่ยามนี้มีสหายท่านหมออยู่ด้วย
“ในเมื่อไม่มีธุระสำคัญ เช่นนั้นแม่นางทั้งสองก็ควรกลับไปได้แล้ว ไม่จำเป็นก็อย่ามารบกวนสหายข้าอีก เพราะไป่ชวนมีเมียแล้ว มิหนำซ้ำนางยังงามมากด้วยเห็นหรือไม่ หน้าอย่างพวกเจ้าไม่มีทางเทียบได้หรอก ฉะนั้นรีบ ๆ กลับไปเสีย” ซ่งเทียนยังพูดจาไร้มารยาท คนฟังก็ได้แต่กำมือแน่นข่มอารมณ์ที่มี
“ข้าแค่จะมารับยาของท่านพ่อเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยบอกหัวหน้าหน่วยตรวจการ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดานาง ทว่าหลี่ซ่งเทียนหาได้เกรงอำนาจของท่านนายอำเภอไม่
“เช่นนั้นก็รอประเดี๋ยวข้าจะไปถามไป่ชวนให้ น้องสะใภ้นั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ หากใครรังแกก็ร้องดัง ๆ ล่ะ” ยังมิวายเหน็บให้คนแถวนี้ได้ยิน เจียหมิ่งจึงคว่ำปากใส่ทันที
“ชิ หากข้าจะทำใครก็ขวางไม่ได้หรอก” เมื่ออีกฝ่ายเดินไปลับตาแล้วก็เอ่ยออกมา พร้อมกับจ้องภรรยาท่านหมอเขม็ง
“เจ้าไปได้เสียกับพี่ไป่ชวนตั้งแต่เมื่อใด อยากได้เขามากถึงกับยอมทอดกายให้เชยชมเลยหรือ ใจง่าย ไร้ยางอายสิ้นดี”
“ข้าหรือ?” นิ้วเรียวขาวยกขึ้นชี้ใบหน้าตนเอง
“ก็เจ้าน่ะสิจะเป็นใคร” ย้ำคำพร้อมกับเดินเข้ามาหาอย่างเอาเรื่อง ไม่ต่างจากสตรีอีกคนที่ได้โอกาสพูดเช่นกัน
“นั่นสิ หากพ่อแม่เจ้ารู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ไม่เกรงตระกูลจะเสื่อมเสียหรือ แล้วนี่เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน ไยบิดามารดาจึงปล่อยให้มาอยู่เรือนบุรุษได้ ทั้งที่ยังไม่ทันตบแต่งกันด้วยซ้ำ” เพ่ยหลันกล่าวเสียงอ่อนราวกับสอนอีกฝ่าย เพราะตนนั้นอายุยี่สิบแล้ว คาดว่าสตรีตรงหน้าคงพึ่งสิบเจ็ดสิบแปดกระมัง
“พ่อแม่ข้าเสียหมดแล้ว ข้าอยู่กับท่านอา ตอนนี้นางแต่งงานไปอยู่ต่างแคว้น นางยกข้าให้พี่ไป่ชวนเมื่อสิบวันก่อนจะเดินทาง ข้าคงไปตามกลับมายืนยันกับพวกเจ้าไม่ได้หรอกนะ ส่วนเรื่องจะอับอายหรือไม่ เจ้าสองคนไม่ต้องกังวลกับข้าหรอก นี่มันใบหน้าข้า ข้าไม่อาย พวกเจ้าไม่ต้องห่วง” เอ่ยจบก็ยิ้มหวานส่งให้ ซึ่งมันทำให้คนที่มองอยู่ต้องกำมือแน่นอีกรอบ
‘หึหึ จะทนได้แค่ไหนล่ะคุณหนู’ ชิงเยว่นึกขำท่าทีอีกฝ่ายในใจ แม้เพ่ยหลันจะยิ้ม ทว่าแววตานางกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
“ไร้ยางอาย” เจียหมิ่นต่อว่าซึ่งหน้าอย่างเหลืออด
“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่เจ้าด่าข้า รับไม่ได้ก็ด่าทอคนอื่นไร้ยางอาย หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนแต่เที่ยวเร่มาหาบุรุษทุกวันต่างหากที่ไร้ยางอาย ข้าจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้มีสตรีมาแก้ผ้าต่อหน้าสามีข้าเขาก็ไม่มีทางแล เพราะคนที่เขารักคือข้าคนเดียวเท่านั้น นี่ข้ายังคิดอยู่เลยนะว่าจะมีคนที่หน้าหนา ทอดกายให้บุรุษถึงเรือนแต่เขากลับไม่เอาหรือไม่” เอ่ยออกมาลอย ๆ ทำคนฟังถึงกับอ้าปากค้าง ได้แต่ยกนิ้วชี้หน้าเท่านั้น
มุมหนึ่งของเรือน สองสหายยืนแอบมองอยู่เงียบ ๆ
“ไหนเจ้าบอกว่านางสงบเสงี่ยมมิใช่หรือ แล้วนี่มันอันใดกัน” หัวหน้าหน่วยตรวจการ หันมาถามสหายตนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ใครจะไปรู้ อยู่บนเขานางว่าง่ายจะตาย” ตอบไปตามจริง ก่อนนั้นเขาเอ่ยอันใดนางก็ตอบแค่เจ้าค่ะแล้วก็ยิ้ม ใครจะคิดว่าปากนางจะร้ายได้ใจถึงเพียงนี้ เอาซะเจียหมิ่งไม่มีคำตอบโต้เลย
ด้านเพ่ยหลันก็ได้แต่ยืนนิ่ง จะยิ้มกลบเกลื่อนก็ยิ้มไม่ออก เพราะสิ่งที่ได้ยินมันตรงกับตนมาก ครั้งหนึ่งนางเคยทำเช่นที่ภรรยาท่านหมอเอ่ย วางแผนหลอกล่อให้ไป่ชวนเข้าห้องพัก เมื่อครั้งที่เขาไปตรวจอาการของบิดาที่จวน อุตส่าห์เล้าโลมเอาตัวแนบชิดเขาก็ยังไม่สนใจ
มิหนำซ้ำยังตำหนินางด้วยถ้อยคำรุนแรง และนับแต่นั้นมาไป่ชวนก็ไม่ไปที่จวนท่านนายอำเภออีก และไม่พูดคุยกับนางจนถึงทุกวันนี้ แต่เพ่ยหลันก็ยังไม่ยอมแพ้ นางยังคงมาหาเขาโดยอ้างว่ามารับยาให้บิดาเช่นนี้ประจำ แต่ผ่านมาไม่ทันไร เขาก็มีภรรยามาอยู่ในเรือนเสียแล้ว
“นี่เจ้าว่าใครกัน สตรีที่ไหนจะไปแก้ผ้าล่อบุรุษเช่นเจ้า” เจียหมิ่นยังไม่ยอมแพ้ อย่างไรนางก็เข้าใจว่าคนตรงหน้าต้องใช้เล่ห์มารยาหลอกล่อไป่ชวนให้ติดกับ
“อย่างข้าน่ะหรือ เจ้าพูดผิดแล้ว พี่ไป่ชวนต่างหากที่หลอกล่อข้า เขาน่ะชอบเอาตัวเข้ามาใกล้ แอบหอมแก้มข้าก็มี เผลอเป็นไม่ได้ต้องกอดต้องพาเข้าห้อง อ๊ะ! ไม่สิ สตรีไม่ควรเอ่ยวาจาเช่นนี้ ไม่ดีไม่ดี” เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมจบ ชิงเยว่ก็ยินดีจะสนอง
แต่ก่อนที่สตรีทั้งสองนางจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตัวต้นเรื่องก็เดินออกมาพร้อมกับสหายเพื่อยุติเหตุการณ์
“นี่ยาของท่าน เชิญคุณหนูเฉียวเพ่ยหลันกลับไปได้แล้ว ภายหน้าให้คนของจวนมารับ ท่านไม่ต้องมาที่นี่อีก ข้าไม่อยากให้ภรรยาข้าเข้าใจผิด ข้ารักนางเพียงคนเดียว ไม่คิดจะมีหนึ่งสองสาม เจ้าก็ด้วยเจียหมิ่น หากข้าไม่เห็นแก่หน้าพี่ชายเจ้า อย่าหวังว่าข้าจะให้เจ้าเข้าเรือนนี้อีก กลับไปเสีย อย่าได้มาที่เรือนข้าอีก” สิ้นคำไป่ชวนก็ช้อนอุ้มเอาเมียสาวของตนเข้าเรือน ท่ามกลางสายตาของสตรีทั้งสองนางที่ดูขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
เมื่อเจ้าของบ้านออกปากไล่ถึงเพียงนี้ แขกไม่ได้รับเชิญจึงจำต้องออกจากเรือนไป เพราะเริ่มมีชาวบ้านมากมายมุงอยู่ด้านนอก ส่วนเจียหมิ่นนั้นส่งเสียงแหลมโวยวายพร้อมกับเดินกระทืบเท้าออกไป นางอุตส่าห์มาถามไถ่และหมายจะช่วยเขาจัดสมุนไพรเช่นทุกครั้ง กลับต้องมาเจอภาพบาดตาและข่าวบาดหู มิหนำซ้ำไป่ชวนยังสั่งไม่ให้นางมาที่นี่อีก
“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แน่” แผดเสียงทิ้งท้ายก่อนจะออกไป
ชิงเยว่มองตามหญิงสาวจนลับตา ก่อนจะหันมาหาสามีกำมะลอของตน “ไม่แรงไปหรือเจ้าคะ”
“คงไม่เท่าคำพูดเจ้าเมื่อครู่กระมัง” ไป่ชวนตอบ
“หา! ได้ยินด้วยหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดไม่ออกมาช่วยกันเลย” ตำหนิเขาทันที เอ่ยมาเช่นนี้ก็แสดงว่าทั้งคู่แอบดูอยู่น่ะสิ
“พูดจนเจียหมิ่นยังอ้าปากค้างโต้ตอบอันใดไม่ได้ เราสองคนคงไม่จำเป็นต้องช่วยเจ้ากระมัง” ซ่งเทียนเหน็บทันที ก่อนจะนั่งลงเพื่อทานอาหารร่วมกันกับสหายตามคำเชิญ
“แหะๆ ก็มันอดมิได้นี่เจ้าคะ ครั้งแรกยังพอทน แต่ครั้งสองมันก็เกินไป อีกอย่างหากข้ายอมสองคนนี้ก็ต้องมาหาเรื่องอีก สู้จัดการไปเลยดีกว่าจะได้จบ” บอกไปอย่างที่คิด
“ฮ่าฮ่า จบหรือ? จากนี้เจ้ารอรับศึกให้ดีเถอะ นี่ยังน้อยนะ วันพรุ่งหากสาว ๆ ของไป่ชวนรู้ข่าว รับรองเจ้าไม่มีที่อยู่แน่” คนชอบแกล้งยังมิวายทำคนตัวเล็กตื่นกลัวจนตาโต
ไป่ชวนเห็นแล้วก็ถึงกับยิ้มขำสีหน้าท่าทางของภรรยากำมะลอ จึงต้องยกมือขึ้นมาดันคางนางเพื่อให้ปากหุบติดกัน
“อย่าไปฟังซ่งเทียนให้มาก เขาก็แค่เย้าเจ้าเล่นเท่านั้น รีบกินข้าวเถอะไม่หิวหรือจะได้กินยาแล้วไปพัก” เอ่ยพร้อมกับดันถ้วยข้าวส่งให้ ก่อนจะหันมาเช็ดตะเกียบให้ด้วย
“ของข้าล่ะ” ซ่งเทียนถามแล้วก็ยิ้มแฉ่ง นั่งรออย่างใจเย็น
“ตักเอง ไม่มีมือหรือ” กล่าวกับสหายเสียงเย็นชา ทว่ามือนั้นเอื้อมไปคีบเอาอาหารให้คนข้างกาย
“ขอบคุณท่านพี่” เอ่ยโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเขา
“จำเป็นต้องดูแลดีเพียงนี้เชียว ยามนี้ไม่มีใครอยู่ด้วยเสียหน่อย” ซ่งเทียนเลิกคิ้วมองอย่างประหลาดใจ
“ด้านนอกน่าจะมีคนแอบดูอยู่” ไป่ชวนเชื่อว่าเพ่ยหลันต้องส่งคนซุ่มอยู่เป็นแน่ เพราะกำแพงเรือนบ้านเขาเป็นแบบไม้ไผ่ล้อมสูงแค่อก แน่นอนว่ามันสามารถมองเข้ามาได้ และประตูก็ถูกเปิดทิ้งไว้ด้วย โต๊ะที่นั่งอยู่ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“อืม รอบคอบมาก” เอ่ยชม ก่อนจะคว่ำปากใส่ นึกหมั่นไส้สหายที่ทำหน้าเรียบขรึมยังไงก็รูปงาม แต่ก็ใช่ว่าเขาจะขี้ริ้ว จัดว่าหน้าตาดีระดับหนึ่งก็ได้ แต่มันก็ยังน้อยกว่าท่านหมอผู้นี้อยู่ดี
