บท
ตั้งค่า

8. ความวุ่นวายเริ่มมา

“ชีวิตข้าท่านหมอไป่ชวนเป็นคนช่วยไว้ หากไม่มีเขาเกรงว่าจะตายอยู่ที่ริมน้ำไปตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว” เอ่ยบอกคนของตนเสียงเรียบ ก่อนจะหันมาสั่งงานสำคัญ

“พวกเจ้ารีบไปตามหาหานเยว่ให้พบ ข่าวที่ว่าเขาหนีไปต่างแคว้น ข้าคิดว่าน่าจะเป็นเฉิงอ๋องกุเรื่องขึ้นมามากกว่า ยามนี้ไม่รู้น้องข้าจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร ข้าเป็นห่วงเขายิ่งนัก” ดวงตาสวยหม่นลงเมื่อนึกถึงน้องชายของตน

“ทว่าท่านจะพำนักอยู่ที่นี่เพียงลำพังไม่ได้ อย่างไรก็ต้องมีคนอยู่อารักขา” ฉางเฟยรีบเอ่ยท้วง

“ใช่ ข้าน้อยเกรงว่าพวกทหารจะจดจำท่านได้” จินจงเอ่ยบ้าง หลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน ซึ่งข้อนี้ทุกคนต่างก็กังวล

“ที่นี่อยู่ห่างเมืองหลวงถึงสิบวัน ทหารที่ออกตามหาพวกเรา ก็ล้วนแต่ไม่เคยไปเมืองหลวง พวกเขาจะรู้ได้เช่นไรว่าข้าเป็นใคร อีกอย่างฐานะข้าก็ไม่ได้โดดเด่นอันใด แทบไม่มีผู้ใดรู้จักเลยนอกจากคนที่สนิท เช่นนี้แล้วยังต้องกังวลอันใดอีก” บอกตามจริง ชิงเยว่เหมือนคนไม่มีตัวตนด้วยซ้ำยามอยู่กับครอบครัว

ทว่านางไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจกับเรื่องเหล่านี้เลย นางชอบเสียด้วยซ้ำที่ไม่ถูกจำกัดอิสระ อยากทำสิ่งใดก็ได้ทำ แม้แต่เรียนวิชายุทธ ขี่ม้า ยิงธนู ฝึกดาบนางก็ได้ทำหมด วันนี้หากมิใช่เพราะบาดเจ็บและไม่อยากให้ไป่ชวนรู้ ชิงเยว่คงแสดงฝีมือให้เขาได้เห็นไปแล้ว ทว่าการได้อยู่อย่างไร้เดียงสามันน่าจะดีกว่า

“ถึงอย่างไรก็ต้องเหลือองครักษ์ไว้สักคน ขอท่านโปรดเข้าใจ” กวนซีรีบแย้ง อย่างไรเขาและสหายก็ไม่อาจวางใจ ลำพังอยู่กับหมอผู้นี้ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะไม่มีทางทำอันใดนายเขาได้แน่ เกรงจะเป็นพวกทหารของเฉิงอ๋องมากกว่า

ดีที่วันนี้พวกมันไปตรวจอีกตำบล แต่คาดว่าอีกไม่นานก็ต้องวนกลับมาที่นี่อีก ถึงยามนั้นไม่รู้จะรอดพ้นหรือไม่

“ข้าจะอยู่เอง” ฉางเฟยอาสา สหายทั้งสองจึงหันมามองผู้เป็นนายซึ่งนั่งนิ่ง ไม่นานนักก็มีเสียงถอนใจดังมาให้ได้ยิน

“แต่อยู่ที่นี่ไม่ได้นะ ข้าไม่อยากให้เขารู้” เมื่อขัดไม่ได้ก็แนะอีกฝ่าย เพราะตนต้องแสดงเป็นคนความจำเสื่อมต่อ ไม่เช่นนั้นคงหลบอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่ และการไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม มันจะกลายเป็นที่ผิดสังเกตุให้คนของเฉิงอ๋องรู้ทันที

“ข้าน้อยจะหาทางเองขอรับ” หลังจากนั้นทั้งสี่ก็หารือกันต่อ

ผ่านไปหนึ่งเค่อ มู่หยางเดินออกมาก่อนพักหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ฟังสิ่งใดเลย เจ้าของเรือนก็ตามออกมา และตรงเข้ามาหาคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนแคร่ก่อนจะช้อนอุ้มขึ้นทันที

“ข้าจะทำแผลให้ภรรยาสักครู่ พวกท่านนั่งพักประเดี๋ยวนะ ออกมาแล้วข้าจะทำอาหารให้กิน น้ำชาอยู่ตรงนั้น” ชี้นิ้วไปยังห้องครัวทางมุมเรือน คนในอ้อมกอดก็ได้แต่ยิ้มแหย

เหล่าองครักษ์ก็ได้แต่ตาโต พร้อมกับอ้าปากหมายจะร้องห้าม ทว่าผู้เป็นนายส่งสายตาดุใส่เสียก่อน ทั้งหมดจึงหุบปากลง

“ขอรับ ท่านหมอไปเถอะ เราจะรออยู่ข้างนอกดีดีก็แล้วกัน” กวนซีรีบบอก พร้อมกับยิ้มแฉ่งจนเห็นฟัน เพราะไม่รู้จะทำเช่นไร ในเมื่อเป็นคำสั่งของผู้เป็นนายพวกเขาก็ต้องฟัง

“เจ้าไม่คิดจะห้ามหน่อยหรือ” มู่หยางเอ่ยถามจินจง

“เราก็แค่คนผ่านทางมา ข้าว่าเราควรรีบจากไปน่าจะดีกว่า นางอยู่ที่นี่ก็น่าจะปลอดภัยดี เป็นภรรยาหมอธรรมดานี่แหละ ผู้คนจึงจะไม่สงสัย ฉะนั้นเราอย่าทำให้นางต้องถูกเพ่งเล็งเลย มีคนแปลกหน้ามาที่เรือนเช่นนี้ หากชาวบ้านเห็นเข้าอาจเอาไปพูดจนรู้ถึงหูพวกทหารกบฏก็เป็นได้” ชายหนุ่มให้เหตุผลกับสหาย ซึ่งพวกเขาต่างก็เห็นชอบในความคิดนี้

ทั้งสี่จึงพากันออกไปโดยไม่ล่ำลาผู้เป็นนายและเจ้าของเรือนเลยสักคำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากถูกท่านหมอเซ้าซี้ถึงที่มาของพวกตน เท่าที่สังเกตุดูคนผู้นี้ฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อย

หากพวกเขาอยู่นานไป ไม่แน่ความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ต้องถูกท่านหมอจับได้เป็นแน่ ฉะนั้นควรรีบจากไปดีที่สุด

หลังจากไป่ชวนทำแผลให้คนตัวเล็กเสร็จ เขาก็ออกมาเพื่อจะทำอาหารอย่างที่พูด ทว่ากลับไม่เห็นมีใครอยู่เลย แต่ก่อนจะได้กลับเข้าเรือน เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าประตู

“ไป่ชวนเจ้ากลับมาแล้วหรือ” หัวหน้าหน่วยวิหกในเมืองนามว่าจางซ่งเทียน เอ่ยถามสหายรักที่คบหากันมานาน

“เจ้ามาก็ดี ส่งคนไปแจ้งข่าวที่หมู่บ้านไฉ่เหิงให้ที ยามนี้ลุงหยางกับบุตรชายพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ บอกครอบครัวเขาไม่ต้องเป็นห่วง” กล่าวกับสหายเมื่อได้โอกาส อีกฝ่ายจึงรีบหันไปสั่งคนของตนที่ติดตามมา ก่อนจะหันกลับมาถามไถ่ให้รู้ความ

“เกิดอันใดขึ้น” กล่าวได้เพียงเท่านั้น สายตาก็หันไปยังร่างเล็กของสตรีที่กำลังเดินออกมาอย่างเชื่องช้า “แล้วนี่ใคร?” ผู้มาใหม่ผูกคิ้วเป็นปม เมื่อเห็นในเรือนสหายมีหญิงงามอยู่ด้วย

“ภรรยาข้า” ตอบเพียงเท่านั้นก็เดินไปประคองฟูหรงที่กำลังส่งยิ้มแหยมาให้ ก่อนที่มันจะหุบลงเมื่อหันมาเห็นใครบางคนที่เดินเข้ามา พร้อมกับสีหน้าและแววตาขุ่นเคือง

“พี่ยังไม่แต่งงานจะมีภรรยาได้เยี่ยงไร” เจียหมิ่นแผดเสียงใส่บุรุษที่ตนพึงใจ ก่อนจะหันไปจ้องสตรีที่เขาประคองด้วยแววตาแดงก่ำ แฝงไว้ด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าจะแต่งหรือไม่ ฟูหรงก็เป็นภรรยาข้าแล้ว เจ้ามีธุระอันใดถึงได้มาที่นี่” ยังคงย้ำคำให้ได้ยินกันถ้วนหน้า แม้แต่ผู้มาใหม่ที่กำลังก้าวเข้าประตูมาก็ยังได้ยินชัดทุกถ้อยคำ

“เรือนท่านหมอครึกครื้นดีจังเลยนะเจ้าคะ” เป็นเสียงของคุณหนูเพ่ยหลันที่เอ่ยออกมา นางคือบุตรีท่านนายอำเภอ และเป็นหนึ่งในบรรดาสาวงามที่หลงใหลเสน่ห์ของไป่ชวน

ชิงเยว่มองหญิงสาวสองนางสลับกันไปมา แม้ว่าทั้งคู่ไม่ได้มีความงามโดดเด่นนัก แต่ก็ถือว่าเป็นสตรีหน้าตาดีอยู่

‘หรือว่าสองคนนี้คือสตรีที่มาติดพันเขา’ นึกถึงคำพูดของท่านหมอที่เคยบอกนาง ซึ่งก่อนหน้านี้นางคิดว่าเขาพูดเกินจริงไปเท่านั้น แต่จากที่เห็นมันไม่น่าจะใช่แล้ว นี่ขนาดวันแรกที่กลับลงมาจากเขา ยังมีมาเยี่ยมถึงเรือนตั้งสองคนเลยเชียว

“ข้าไม่สะดวกรับแขกหรือคนไข้อีก ไม่ว่าพวกเจ้าจะมาด้วยเรื่องใด ข้าขอให้กลับไปเสีย ยามนี้คนป่วยที่เรือนมีมากพอแล้ว” ออกปากไล่โดยไม่ใส่ใจว่าแขกจะทำหน้าเช่นใดเลย

“คนป่วย มีใครป่วยอีกงั้นหรือพี่ไป่ชวน ให้ข้าอยู่ช่วยรักษานะ” เจียหมิ่นรีบเดินเข้ามายืนประกบอีกด้าน และยังคงสายตาจับจ้องสตรีที่หมอหนุ่มบอกว่าเป็นภรรยาไม่วางตา เพราะอีกฝ่ายงดงามมาก แม้หน้าตาจะดูซีดเซียวก็เถอะ

“มีคนป่วยก็คือมีคนป่วย เจ้าจะเซ้าซี้ทำไมนัก แล้วก็อย่ามาทำเสียงดังกันที่นี่ หัดรู้จักเกรงใจเจ้าของเรือนกันเสียบ้าง” เป็นคำของซ่งเทียนที่เอ่ยตำหนิออกมา ทำเอาคนที่หมายจะถามอย่างคุณหนูเพ่ยหลันต้องรีบหุบปากลงเช่นกัน

ชิงเยว่มองดูภาพวุ่นวายเบื้องหน้าแล้วก็เม้มปากไว้ เกรงว่าตนนั้นจะเผยยิ้มหรือหัวเราะออกมา ทว่าพอหันกลับมาที่ร่างสูงของสามีกำมะลอก็จำต้องคงสีหน้าเรียบเฉย นึกสงสารเขาขึ้นมาในบัดดล เพราะแบบนี้กระมังท่านหมอถึงอยากให้นางมาอยู่ด้วย และบอกกับทุกคนว่าตนคือภรรยา

“หิวแล้วใช่หรือไม่ พี่พาไปกินข้าวนะ” ไป่ชวนไม่ได้สนใจแขกที่มาเยือนเลยสักนิด ยามนี้เขาประคองคนตัวเล็กมานั่งที่โต๊ะกลางสวนอย่างเอาใจ จนสตรีอีกสองนางกำมือแน่น

“ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ” ตอบเสียงหวานอย่างรู้งาน

“ซ่งเทียนฝากดูแลเมียข้าด้วย อย่าให้ใครมารบกวนนาง” ร้องสั่งไม่เกรงใจสตรีที่ยืนมองด้วยแววตาคุกรุ่นเลยสักนิด ผู้ที่นั่งอยู่ได้แต่ยิ้มแหย คนตัวโตช่างหาเรื่องให้นางโดยแท้

‘เล่นหนีกันไปดื้อ ๆ เช่นนี้เลยหรือ’ ชิงเยว่ก่นว่าเขาในใจ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel