10. อยู่ฝ่ายไหนกันแน่
หลังจากกินเสร็จไป่ชวนก็เตรียมยาให้สองพ่อลูก ด้านฟูหรงนางพอดูแลตัวเองได้ จึงไม่อยากเป็นภาระเพิ่มให้เขา
“มาถึงยามนี้เจ้าก็ยังจำสิ่งใดไม่ได้หรือ” ซ่งเทียนเอ่ยถามสตรีตัวน้อยที่นั่งอยู่ในสวนกับตน สหายต้องเข้าไปดูแลสองพ่อลูก คาดว่าคงอีกสักพักจึงจะออกมาร่วมวงสนทนา
“ไม่เจ้าค่ะ” ปฎิเสธไปเพราะเป็นทางออกดีที่สุด
“ข้าดูเจ้าไม่เดือดร้อนจะตามหาญาติเลยนะ หรืออันที่จริงแล้วเจ้าเกี่ยวข้องกับกบฎ” ครานี้ซ่งเทียนไม่ปล่อยโอกาสที่จะถามไถ่ให้รู้แจ้ง ซึ่งมันทำให้แววตาของคนฟังเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาใสซื่อเช่นเดิมราวกับไม่มีอันใด
“กบฎ? อย่างไรเจ้าคะ ข้าก็เป็นเพียงสตรี จะไปเกี่ยวข้องกับกบฎได้เยี่ยงไร แล้วกบฎที่ว่าหมายถึงฝ่ายไหนเจ้าคะ” ถามกลับอย่างพาซื่อ เผยดวงตาเปล่งประกายฉายแววอยากรู้
‘หรือนางจะไม่รู้จริง ๆ แต่ไป่ชวนบอกว่าบาดแผลที่นางโดนคือคมดาบสามแฉก เป็นอาวุธของหน่วยอินทรีย์ที่อยู่ในสังกัดขององค์ชายห้า หากนางไม่ใช่ฝ่ายกบฏแล้วนางจะถูกอาวุธนี้ทำร้ายได้เยี่ยงไร’ ซ่งเทียนนึกในใจถึงเรื่องราวที่สหายเอ่ยเล่าให้ฟังในครัว เกี่ยวกับบาดแผลของสตรีผู้นี้
“ช่างเถอะ ข้าก็แค่ลองถามดูเผื่อเจ้าจะจำอะไรได้บ้างก็เท่านั้น จะได้ตามหาญาติพี่น้องให้เจ้าได้อย่างไรล่ะ” บอกปัดเมื่อเห็นนางยังคงกะพริบตามองเขาราวกับรอคำตอบ
“แล้วฝ่ายไหนเจ้าคะ ที่ใต้เท้าคิดว่าเป็นกบฎ” คราวนี้นางเจาะจงถามคนตัวโตให้รู้ความ ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อเผยยิ้มบางให้เขา ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบมาราวกับต้องมนต์สะกดเสียอย่างนั้น
“ยามนี้มีฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว คนที่หมายจะล้มล้างก็เท่ากับคิดก่อการกบฎ” เขากล่าวไปตามเนื้อผ้า แม้ในใจไม่ได้เห็นด้วยเท่าใดนัก เพราะซ่งเทียนก็แค่ข้าราชการชั้นผู้น้อย แม้แต่ในเมืองนี้เขาก็ยังเป็นรองอีกหลาย ๆ คน วิธีเอาตัวรอดก็มีเพียงแต่คล้อยตามพวกคนใหญ่คนโตไปเท่านั้น
“แต่ถ้าถามข้า กบฎก็คือฝ่ายล้มล้างราชวงศ์เก่า คนที่ไม่ใช่แม้กระทั่งหน่อเนื้อกษัตริย์ แต่มักใหญ่ใฝ่สูงอยากครองตำแหน่ง ทั้งที่มันมิใช่ของตนแม้แต่น้อยต่างหากที่ควรเรียกว่ากบฏ” ไป่ชวนเปล่งเสียงเดือดดาล ก่อนจะนั่งลงข้างภรรยาตัวน้อยของตน ที่มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
“ชู่ว! ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ให้เอ่ยเช่นนี้ สอนไม่จำ” ซ่งเทียนรีบตำหนิสหายทันที เกรงว่าจะมีทหารเดินตรวจตรามาแถบนี้
“พี่ทั้งสองก็ไม่เห็นด้วยหรือ” หันมองพวกเขาสลับกันไปมา
“เป็นเด็กเป็นเล็กอยากรู้ไปทำไม” ไป่ชวนเอ่ยตำหนิพร้อมกับจ้องนางเขม็ง ชิงเยว่จึงได้แต่ยิ้มแหยส่งให้
“ก็ข้าอยากรู้นี่หน่า ชาวบ้านคิดเห็นเช่นใดกับการกบฎในครานี้ ยินดีที่ได้ฮ่องเต้องค์ใหม่ หรือว่าตื่นกลัวกันแน่” เอ่ยเสียงเบา ก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนเด็กที่ถูกดุจนกลัว
“ไม่มีใครยินดีที่คนผู้นั้นขึ้นครองราชย์ เพียงแต่เราเองก็ทำอันใดไม่ได้ ภายในวังโกลาหลเป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางที่ไม่เห็นด้วยก็ถูกสังหารตายไปทีละครอบครัวหากไม่เข้าร่วม ส่วนราษฎรจะทำอันใดได้ หากต่อต้านก็ถูกสังหารและริบเรือน ไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องนี้ด้วยซ้ำ” ซ่งเทียนกล่าวอย่างเหลืออด
“พี่สองคนก็ไม่เห็นด้วยสินะ” เอ่ยแล้วก็ยิ้มบาง ‘คงมีหลายคนที่คิดเช่นนี้ ทว่าทุกคนต่างก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น เฉิงอ๋องมีอำนาจที่สั่งสมมานาน ทหารก็อยู่ในกำมือเขาทั้งหมด จึงไม่แปลกที่ราษฎรจะตื่นกลัวเขามากถึงเพียงนี้’
ชิงเยว่นึกถึงคนที่ทำให้ตนและน้องชายต้องพลัดพรากจากกัน ทั้งที่คราแรกเขาก็แสนดีนักหนา แต่เหตุไฉนแปรเปลี่ยนเป็นคนอำมหิตเอาชีวิตคนอื่นเหมือนเป็นผักปลาเช่นนี้ได้
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้วเจ้าควรกลับไปพัก จะได้หายไวไว” เสียงทุ้มเปล่งมาตำหนิคนข้างกาย ที่เอาแต่สงสัยเรื่องไกลตัว หากนางไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ไม่ควรถามให้มากความ
“เจ้าค่ะ” รับคำแล้วก็ลุกขึ้น หมายจะเดินกลับเข้าเรือน ทว่าร่างเล็กกลับลอยขึ้นเหนือพื้นเสียก่อน
“เจ้าก็กลับไปได้แล้วปิดประตูให้ด้วย ข้าก็เหนื่อยเต็มทีอยากพัก” ออกปากไล่สหาย ก่อนจะพาคนตัวเล็กกลับเข้าเรือน
“ดะ…เดี๋ยว มันไม่ถูกนะไป่ชวน ฟูหรงไม่ใช่เมียเจ้าจริง ๆ เสียหน่อย แล้วนี่อย่าบอกนะว่าจะนอนห้องเดียวกัน”
“นอนที่ไหนก็เรื่องของข้า เจ้าก็เห็นว่าเรือนข้ามีคนป่วยอยู่ ข้าไม่นอนในห้องกับนางจะให้นอนที่ไหน กลับไปได้แล้ว” ไล่อีกรอบแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปดื้อ ๆ ทิ้งสหายยืนมองพร้อมกับคว่ำปากใส่ เมื่อเห็นไป่ชวนมีท่าทางหวงภรรยากำมะลอจนออกนอกหน้า อันที่จริงหากไป่ชวนอยากเข้าไปพักก็ปล่อยนางให้คุยอยู่กับเขาก็ได้ ไม่เห็นต้องอุ้มนางเข้าไปด้วยเลย
“ชิ ข้ออ้างชัด ๆ” กล่าวตามหลังแล้วก็หมุนตัวเดินออกไป
ชิงเยว่ได้แต่มองใบหน้าคมคายที่อยู่ห่างแค่คืบ ใจดวงน้อยเต้นรัวยามที่ได้กลิ่นกายเขา แม้อีกฝ่ายจะอุ้มนางบ่อยครั้งก็เถอะ ทว่านางก็ยังไม่ชินอยู่ดี ไม่แปลกใจเลยที่สตรีทั้งหลายจะถูกตาต้องใจท่านหมอรูปงามผู้นี้ แม้แต่นางก็ยังเผลอมอง
“วันนี้ยังไม่ต้องอาบน้ำก็ได้ ประเดี๋ยวจะถูกแผลอีก” บอกพร้อมกับวางนางลงบนเตียงอย่างทะนุถนอม
“เดินมาทั้งวัน ข้าเกรงว่าที่นอนท่านหมอจะเหม็นเอานะเจ้าคะ ขอข้าเช็ดตัวก็ยังดีนะ” บอกอย่างเกรงใจ ทว่า! คนตัวโตกลับโน้มตัวลงมาใกล้ซอกคอ พร้อมกันนั้นเขาก็สูดดมเสียงดัง
“ไม่เห็นมีกลิ่นนี่ นอนเถอะ รอให้แผลหายดีแล้วคอยอาบ คืนนี้ข้าต้องตื่นไปดูสองพ่อลูกนั่นอีก” ว่าพร้อมกับดันไหล่นางให้เอนลงไปด้านใน ก่อนที่เขาจะตามขึ้นมานอนข้างกัน
“อะ…เอ่อ ที่นี่ไม่มีใครนี่เจ้าคะ” ถามทันที ก่อนนั้นเขาบอกว่าถ้ากลับมาที่เรือนจะแยกห้องนอนกัน เหตุไฉนถึงทำเช่นนี้ได้
“อย่าดื้อ ข้าเป็นเจ้าของเรือน เจ้าจะให้ข้านอนพื้นหรือ” ตอบแล้วก็หลับตาลงนอนหันหลังให้นาง ชิงเยว่จึงได้แต่นิ่งเพราะไม่กล้าขยับ สุดท้ายก็หลับตามกันไปจนได้
หนึ่งชั่วยามต่อมา เสียงร้องเรียกจากด้านนอกก็ปลุกให้สตรีตัวน้อยต้องตื่น ต่างจากเจ้าของเรือนที่ยังคงหลับอยู่
‘ดูท่าคงเป็นญาติของลุงหยางกระมัง’ นึกในใจก่อนจะขยับลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา เกรงจะทำให้คนตัวโตตื่น
“ใครมาหรือตงตง เจ้ารู้จักหรือไม่” เอ่ยถามเจ้าตัวที่ยืนทำหน้าดุ ส่งเสียงขู่ราวกับกลุ่มคนด้านหน้าคือโจรผู้ร้าย แต่พอได้ยินเสียงนาง เจ้าสุนัขแสนรู้ก็กระดิกหางให้อย่างน่าเอ็นดู
“เจ้าเป็นใคร! เหตุใดเดินมาจากห้องพักพี่ไป่ชวนได้” แขกผู้มาเยือนแหวใส่ไม่ไว้หน้า เมื่อเห็นในเรือนมีหญิงสาวอยู่ด้วย
“ข้าคือภรรยาพี่ไป่ชวน เจ้าล่ะเป็นใคร” ย้อนคำอีกฝ่ายมิหนำซ้ำชิงเยว่ยังลอยหน้าลอยตาใส่ ในเมื่อผู้มาเยือนไร้มารยาทก่อน ตนก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรพี่ไป่ชวนยังไม่แต่งงาน ข้าไม่เชื่อ” แผดเสียงดังลั่นเรือน และมันก็ดังมากจนทำให้ผู้ที่พึ่งได้นอนไปไม่นานต้องตื่นขึ้นมาด้วยอาการหงุดหงิด
“ป้าหยางมาเยี่ยมท่านลุงหรือ อยู่ด้านในขอรับ” ไป่ชวนเอ่ยกับภรรยาลุงหยางอย่างอ่อนโยน ทว่าพอเขาหันกลับมายังสตรีวัยแรกแย้มน้ำเสียงก็เปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ
“ส่วนเจ้าหากไม่คิดจะมาดูคนเจ็บก็กลับไปเสีย อย่ามาส่งเสียงในเรือนของข้าอย่างกับคนไม่มีพ่อแม่สั่งสอน” ไป่ชวนตำหนิโดยไม่เกรงใจผู้อาวุโสที่ยืนกันหน้าสลอนสักนิด
