7. ห่วงใย
ไป่ชวนมองตามร่างเล็กเดินไปจนลับตา เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาหลังจากนั้น ที่เขารีบไล่นางใช่ว่าจะไม่ห่วง ทว่านี่อาจเป็นทางรอดเดียวของสตรีตัวน้อยก็เป็นได้ ขนาดพรานเก่งสองคนยังสู้กับหมาป่าฝูงนี้ไม่ไหว มีหรือหมออย่างเขาจะจัดการกับพวกมันได้ หากเขามีฟูหรงอยู่ด้วยมีแต่จะยิ่งพะวงไปกันใหญ่
ส่วนเขาจะปล่อยสองพ่อลูกทิ้งไว้กลางป่าก็ยิ่งทำไม่ได้ คาดหวังว่าฟูหรงจะถึงหมู่บ้านและพาคนมาช่วย ก่อนพวกเขาจะถูกรุมจนตายก็พอ
นึกมาถึงตรงนี้ก็อดขำไม่ได้ ให้นางเดินไปตามแม่น้ำอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยาม ไม่มีทางไปถึงหมู่บ้านได้เร็วเช่นที่เขาบอกหรอก ทุกคำล้วนแต่โกหกให้ฟูหรงยอมไปก็เท่านั้นเอง เขาไม่อยากให้นางต้องมาตายอนาถและทรมานเช่นนี้ จำสิ่งใดไม่ได้ก็น่าเวทนาพอแล้ว
“เราไปหลบตรงริมน้ำกันเถอะ ใช้ก้อนหินเป็นอาวุธคงพอถ่วงเวลาได้ ไม่แน่เราอาจจะโชคดี” บอกกับคนเจ็บที่ยังมีสติ ทว่าลุงหยางนั้นหมดสติไปนานแล้ว ตั้งแต่บุตรชายแบกลงมาจากเขา หากไม่ใช่เพราะข้ามฝั่งลำธารมาพวกเขาคงไม่รอดเป็นแน่
“พี่ไป่ชวน ข้ากับท่านพ่อทำพี่ลำบากแล้ว ทิ้งเราไว้ที่แม่น้ำเถอะ พี่รีบตามพี่สะใภ้ไปเสีย นางอาจจะไปไม่ถึงหมู่บ้านก็ได้นะ” ร้องเตือนเสียงแหบพร่า เกรงตนจะทำให้อีกฝ่ายไม่รอด
“อย่าพูดมาก หากจะตายก็ตายด้วยกัน หากจะรอดก็ต้องรอดด้วยกัน” เอ่ยจบเขาก็หันมาแบกเอาร่างของลุงหยางอีกครั้งใบหน้าของพรานเฒ่ายามนี้ซีดเซียวยิ่งนัก
เสิ่นเทาจึงเงียบไป ภายในใจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เขาจึงพยายามขยับกายก้าวเดินตามไปอย่างเชื่องช้า พร้อมกันนั้นเสียงขู่ของสัตว์หน้าขนก็เริ่มดังมาให้ได้ยิน มันมีมากกว่าสิบเสียอีก คนที่ยังมีสติดีรีบวางคนแก่ลงแล้วตรงมาประคองคนเจ็บที่ยืนตัวแข็งทื่อ แข็งขาไม่มีแรงจะขยับเลยสักนิด
“มีมากเพียงนี้เชียว” กวาดตามองสัตว์ร้ายซึ่งดูหิวโหยเป็นอย่างมาก มันแยกเขี้ยวใส่พร้อมกับน้ำลายไหลยืด ดูท่าพวกมันคงไม่ได้กินสิ่งใดมาหลายวันแล้วกระมัง
สองร่างขยับถอยหลังช้า ๆ พร้อมกับโน้มตัวลงเก็บก้อนหินมากำไว้ด้วย ไป่ชวนนึกในใจดีแค่ไหนที่เขาไล่ฟูหรงไป ไม่เช่นนั้นนางคงได้ตายอยู่ที่นี่พร้อมกับพวกเขาเป็นแน่
“พะ พี่หนีไปเถอะ” บอกเสียงสั่น เมื่อมองไม่เห็นทางรอด
“เงียบเสีย” บอกเสียงเบาไม่ต่างกัน เกิดมาไป่ชวนก็ไม่เคยเผชิญหน้ากับหมาป่ามากเพียงนี้ แต่ก่อนพบเจออย่างมากก็แค่สองหรือสาม ซึ่งมันก็น้อยนักที่จะพบ
ทว่ายามนี้หากนับคร่าว ๆ ก็น่าจะสิบห้าตัวได้กระมัง ทำให้มองหาทางรอดไม่เห็นเลย หากมันกระโจนเข้ามาในคราวเดียวก็คงได้กลายเป็นอาหารของพวกมันโดยไม่ต้องสงสัย อาวุธอื่นก็ไม่มีนอกจากหินในมือเท่านั้น คาดว่าวันนี้ชีวิตคงจบสิ้นแล้ว
“ฟูหรงข้าฝากตงตงด้วยนะ” เปล่งเสียงออกมาแผ่วเบา
นึกถึงสุนัขตัวโปรดของตน หากยามนี้มันอยู่ด้วยคงไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ ยังดีที่มันยอมตามฟูหรงไป มิเช่นนั้นเขายิ่งต้องห่วงกังวลจนไม่อาจทำอันใดได้
ทว่ายังไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยของสัตว์เลี้ยงแสนรักดังมาแต่ไกล โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! เสียงเห่าของมันดังมาก่อนตัวเสียอีก สร้างความกังวลให้ใจเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทว่าเมื่อมองไปยังที่มาของเสียง ก็พบว่ามันไม่ได้กลับมาคนเดียว
บุรุษร่างสูงสามนายกำลังวิ่งตรงมาพร้อมกับศรธนูที่พุ่งปะทะร่างหม่าป่า ทำให้สัตว์ร้ายตกใจกลัวอยู่ไม่น้อย ทว่าพวกมันก็ยังไม่ยอมถอยหนี หันมากระจายตัวโอบล้อมผู้มาใหม่เอาไว้ตามสัญชาตญาณ
พวกเขาจึงชักกระบี่ในมือออกมาต่อสู้กับพวกมันอย่างไม่ปรานี ไป่ชวนจึงรีบพาคนเจ็บถอยร่นลงไปในน้ำ เพื่อไม่ให้พวกตนตกเป็นภาระของคนทั้งสาม ที่กำลังฟาดฟันหมาป่าใจเหี้ยมอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แล้วฟูหรงล่ะ” ร้องถามเจ้าตงตงซึ่งยืนเห่าให้กำลังใจในน้ำเช่นกัน มันเองก็กลัวไม่ใช่น้อย ทว่าใจก็ยังเป็นห่วงเจ้านาย
มันหันกลับมาก่อนจะเห่าไปยังเส้นทางที่ฟูหรงจากไป คล้ายกับจะบอกว่านางปลอดภัยดี ไป่ชวนจึงเบาใจ ก่อนจะหันมาเอาใจช่วยบุรุษทั้งสามที่มีฝีมือดีมาก ตวัดกระบี่ไปมาก็เอาชีวิตหมาป่าได้เกือบหมด เหลือรอดเพียงสามสี่ตัวมันก็วิ่งหนีเตลิดเข้าป่าไปแล้ว ทั้งสามจึงหันมาหาคนเจ็บและท่านหมอ
“ภรรยาข้าล่ะ ท่านเห็นนางหรือไม่” รีบถามถึงคนตัวเล็กทันที ทำเอาผู้ที่มาช่วยถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง
“นางอยู่ที่ริมเขาฝั่งโน้น มีสหายข้าอยู่ด้วยไม่ต้องกังวล” หนึ่งในยอดฝีมือเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันมาช่วยกันพยุงคนเจ็บ
“ขอบคุณพวกท่านมากที่มาช่วย” เอ่ยจากใจจริง ก่อนจะตั้งท่าแบกลุงหยางอีก ชายหนุ่มที่เงียบขรึมจึงรับมาแบกแทน ก่อนที่อีกคนจะแบกเสิ่นเทาขึ้นหลังไปเช่นกัน
“ลุงหยางเสียเลือดมาก ข้าจำต้องรักษาเขาให้เร็วที่สุด” ไม่กล้าเร่ง แต่คำพูดมันก็ทำให้ทั้งสามรู้ ยามนี้คนทั้งสี่ที่เดินได้ จึงเร่งฝีเท้าตรงเข้าหมู่บ้าน ซึ่งต้องผ่านจุดที่ฟูหรงนั่งรออยู่ด้วย
นางเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ พอเห็นพวกเขาก็รีบตรงเข้าหาทันที “ท่านพี่ไม่เป็นอันใดนะ” ถามผู้ที่ช่วยชีวิตตน พร้อมกับมองสำรวจอีกฝ่ายไปด้วย ไป่ชวนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตอบ
“ไม่ แล้วเจ้าล่ะ” ถามกลับเมื่อเห็นช่วงท้องนางเหมือนมีรอยเปื้อน หากเดาไม่ผิดบาดแผลคงฉีกเป็นแน่
เขาจึงไม่รอช้าช้อนอุ้มนางขึ้นแล้วรีบเดินตรงไปหมู่บ้านทันที ท่ามกลางสายตาของชายหนุ่มทั้งสี่ที่ดูไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก แต่จะเอ่ยอันใดก็ไม่ได้ เพราะผู้เป็นนายได้สั่งเอาไว้ ห้ามพวกเขาแสดงตนว่ารู้จักกับนางเป็นอันขาด
หนึ่งเค่อต่อมา ทั้งแปดก็มาถึงเรือนของไป่ชวน ซึ่งปลูกอยู่นอกหมู่บ้านติดเส้นทางขึ้นเขา ทว่ามันน่าอยู่เป็นอย่างมาก มีแม่น้ำใสไหลผ่าน พร้อมกับสะพานซึ่งทอดยาวข้ามไปอีกฝั่ง
ด้านในมีต้นไม้และพืชสมุนไพรมากมาย มีเก้าอี้ยาวพร้อมพนักพิงตั้งอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ที่เลื้อยอยู่ด้านบน คงเอาไว้นั่งเล่นยามที่เขาไม่ได้ไปรักษาใคร
ความเรียบง่ายเช่นนี้น่าจะเป็นชีวิตที่ทุกคนใฝ่หากระมัง
“วางเขาด้านในได้เลย เจ้าอาการไม่หนัก ใส่ยาเองไปก่อนนะ พี่จะไปดูลุงหยาง” วางคนตัวเล็กได้ก็รีบบอก แววตาเขาดูต่างออกไปจากคราก่อนมาก มันดูห่วงใยนางจนเห็นได้ชัด
“ท่านพี่ไปเถอะ แผลแค่นี้ข้าทนได้” บอกเขาก่อนจะเดินไปนั่งที่แคร่ไม้ไผ่ ไป่ชวนจึงรีบตรงไปดูสองพ่อลูกในเรือน
“มู่หยางเจ้าเข้าไปช่วยเขาที” บอกคนที่รู้วิชาแพทย์ อีกฝ่ายก็รับคำแล้วเดินเข้าไปในเรือน ที่เหลือจึงรีบตรงมาหาผู้เป็นนายที่พลัดหลงกันตั้งแต่เกิดเรื่อง เพื่อถามไถ่เอาความจริง
เพราะสิ่งที่ฟูหรง หรือซูชิงเยว่เอ่ยเล่าให้ฟังยังไม่กระจ่างนัก นางบอกเพียงว่ายามนี้อยู่ในฐานะภรรยาหมอผู้นี้ ไม่ให้พวกเขาเปิดเผยฐานะที่แท้จริง เพราะต้องการเก็บตัวอยู่ที่นี่จนกว่าจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ และมันน่าจะปลอดภัยกว่า
“จะอยู่กับคนผู้นี้จริงหรือขอรับ” ฉางเฟยเอ่ยถามทันทีที่มีโอกาส เพราะยามนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย
“อืม เจ้าก็เห็นแล้ว เขาเป็นเพียงคนธรรมดา เรือนก็ตั้งอยู่นอกเมือง ไม่มีที่ใดเหมาะกว่าที่นี่แล้ว ภายหน้าพวกเจ้าจะได้ไปตามหาหานเยว่ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องข้าอีก” บอกให้เข้าใจ
“แต่อย่างไรก็ไว้ใจไม่ได้นะขอรับ ท่านพึ่งพบเขาเพียงแค่สามวันเท่านั้น นิสัยใจคอเป็นเช่นไรก็ไม่รู้” ครานี้เป็นกวนซีที่ค้าน เพราะผู้เป็นนายยังไม่ได้ออกเรือนมันไม่ควรอย่างยิ่ง
