ตอนที่ ๓ โกหกเพื่อความสบายใจ 1
เช้าวันนี้เรเน่ขอตามบิดาเข้ามาร่วมประชุมใหญ่ที่บริษัทด้วยคน เหตุผลไม่ใช่ว่านึกขยันอยากเรียนรู้งาน แต่เพราะอยากมาพบหน้าแวนบ้าง อยากรู้ว่าถ้าหากเจอกันเขาจะทำหน้าอย่างไร เมื่อวานหลังเกิดเรื่องขึ้น กลับบ้านไปเธอก็เอาแต่นอนร้องไห้ทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาก็รีบเสนอตัวขอตามโนอาห์เข้าบริษัททันที แต่ดูเหมือนจะต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อเลขานุการคนสวยของแวนรายงานว่าติดต่อเขาไม่ได้มาตั้งแต่เช้าแล้ว ปกติแวนไม่เคยขาดการติดต่อไปแบบนี้เลย
“บางทีอาแวนอาจจะไม่สบายก็ได้นะคะ” เรเน่เอ่ยกับบิดา
“ไม่หรอกน่า หมอนั่นแข็งแรงจะตาย” โนอาห์มองโลกในแง่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยรับรู้เลยว่าแวนต้องเคร่งเครียดกับงานมากแค่ไหน เขาเคยบอกน้องชายว่าอย่าลงมาดูแลทุกอย่างด้วยตัวเองเสียหมด ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของคนอื่นบ้าง แต่คนเจ้าระเบียบและรักในการทำงานอย่างแวนยอมทำตามเสียที่ไหนกัน
“มันไม่แน่นะคะคุณพ่อ บางทีอาแวนอาจจะกำลังแย่อยู่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เดี๋ยวพ่อจะให้คนไปดูที่คอนโดฯ เอง”
“พีชว่าพีชไปดูเองดีกว่าค่ะ” หญิงสาวอาสาเสียงใส หนทางเดียวที่จะรู้ว่าแวนหายโกรธกับเรื่องเมื่อคืนหรือยัง คือต้องไปเผชิญหน้ากันโดยตรง “พีชจะไปแท็กซี่นะคะ คุณพ่อเตรียมตัวเข้าประชุมเถอะค่ะ แล้วเดี๋ยวพีชจะตำหนิอาแวนให้เองที่ไม่ยอมมาเข้าประชุมด้วย พีชไปนะคะ” เท้าเรียวที่ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในรองเท้าหุ้มส้นราคาแพงเขย่งสูงขึ้นเพื่อหอมแก้มบิดา จากนั้นก็รีบหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที
“เรเน่!” โนอาห์เรียกลูกสาวไว้ไม่ทัน เขาถอนหายใจแล้วรีบโทรศัพท์ไปหาภรรยา เมื่ออุษากดรับสายก็รีบกรอกเสียงลงไปก่อนโดยเริ่มต้นด้วยประโยคคำถาม “คุณว่าเรเน่มีบางอย่างผิดปกติไหมที่รัก ผมดูหน้าลูกแล้วคิดว่าเธอน่าจะผ่านการร้องไห้มาทั้งคืนเชียวนะ”
“คุณเดาไม่ผิดหรอกค่ะโนอาห์ เมื่อคืนฉันเดินผ่านหน้าห้องนอนลูกตอนที่ลงไปเอาน้ำดื่ม ฉันได้ยินเสียงลูกร้องไห้สะอึกสะอื้นปานจะขาดใจ แต่ก็ไม่อยากเข้าไปถาม เพราะคิดว่าบางทีลูกอาจจะอยากอยู่กับตัวเองไปก่อน เมื่อเช้าตอนที่เห็นลูกทำหน้าชื่นบานอยากไปบริษัทกับคุณ ฉันยังแปลกใจแทบแย่”
“ลูกไม่ได้อยากมาบริษัทเพื่อดูงานอย่างที่พูดหรอกนะ ผมไม่ได้ยินเรเน่ถามเรื่องงานสักคำ”
“นอกจากถามหาเอ็นโซใช่ไหมคะ?” อุษาคิดว่าคงเดาไม่ผิด
“ใช่เลย ผมเดาว่าสองคนนั้นคงมีปัญหาอะไรกันอีกแน่” โนอาห์เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่ได้คิดมากกับความสัมพันธ์ของสองอาหลาน เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าแวนกับเรเน่ควรอยู่ในสถานะใด “งานนี้ผมว่าเรเน่คงเจองานหนักแล้วล่ะ ทำเอาแวนถึงกับไม่ยอมมาทำงานได้ น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย”
“หวังว่าจะไม่มีใครหนีใครไปไหนอีกก็แล้วกันค่ะ” อุษาถอนหายใจแล้วหัวเราะน้อยๆ
“คงไม่หรอกน่า แวนไม่ใช่คนใจแข็ง”
“แต่เรเน่ก็ไม่ใช่คนที่มีความอดทนเหมือนกัน พวกเขาจะทะเลาะกันบานปลายไปใหญ่”
“อย่าใช้คำว่าทะเลาะกันเลย แวนเคยทะเลาะกับใครเป็นที่ไหน ผมว่าลูกเรานั่นแหละที่จะทะเลาะอยู่ฝ่ายเดียว แวนไม่ยอมเล่นด้วยแน่ แต่จะว่าไปมันก็ดีเหมือนกันนะที่รัก เรเน่ไม่เคยมีใครเอาอยู่เลยนอกจากแวน ถึงจะห่างกันไปตั้งเจ็ดปีแล้ว แต่ผมมั่นใจว่ายังไงแวนก็ยังสำคัญที่สุดเสมอ”
“คุณกำลังน้อยใจลูกอยู่หรือเปล่าคะเนี่ย” ภรรยาเย้าแหย่
“ไม่เลยสักนิด ผมดีใจที่ลูกรักแวน รักเหมือนอย่างที่พวกเรารัก ถ้าวันนี้คุณพ่อยังอยู่ ท่านก็คงภูมิใจที่เห็นเรเน่รักแวนเหมือนอย่างที่ท่านรัก ไม่รู้สินะ...ผมแค่คิดว่าการที่มีแวนเข้ามาในชีวิตของพวกเรามันเป็นสิ่งที่ดี เขาจะไม่มีทางทำให้เราผิดหวังแน่อุษา”
“ฉันเองก็มั่นใจในตัวเอ็นโซเหมือนกันค่ะ เพราะที่ผ่านมาเขาก็ทำแต่ในสิ่งที่น่าภูมิใจเสมอ” สองสามีภรรยามั่นใจอย่างที่สุดว่าแวนจะไม่ทำให้ผิดหวังในทุกเรื่อง แต่การคาดหวังมากมายมันก็ไม่ดีเสมอไป เพราะเรื่องบางเรื่องมันก็อยู่เหนือการควบคุมจริงๆ
แต่ใครจะรู้...บางทีพระเจ้าอาจจะกำลังเล่นตลกอยู่ก็ได้
เรเน่กดกริ่งหน้าห้องอยู่นานสองนาน พร้อมกันนั้นก็เบี่ยงตัวหลบวิถีกล้องไปด้วย เผื่อแวนเห็นว่าเป็นเธอแล้วจะไม่ยอมเปิดประตูให้ หลังจากยืนรออยู่พักหนึ่งชายหนุ่มก็เดินมาเปิดประตู หญิงสาวอาศัยจังหวะที่ประตูเปิดออกไม่มากนัก รีบแทรกตัวผ่านเข้าไปข้างใน พบแวนยืนพิงผนังห้องหน้าซีดตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ผิวกายที่เบียดเสียดกันทำให้เธอรับรู้ได้ทันทีว่าเขามีไข้สูงมาก
“อาแวน!” เธอร้องเรียกเมื่อเขาทำท่าเหมือนจะเซล้ม รีบปราดเข้าไปโอบรอบเอวหนาไว้แน่น พร้อมกับมองหาว่าตรงไหนที่เป็นห้องนอนของเขา เมื่อพบว่ามันแยกไปทางขวามือ หญิงสาวก็รวบรวบพละกำลังทั้งหมดที่มีในการประคองอาหนุ่มตรงไปยังเตียงกว้าง ช่วยให้เขาล้มตัวลงนอนอย่างสบาย
“มา...มาทำไม” คนป่วยถามขณะพยายามปรือตามอง
“อย่ามาชวนทะเลาะนะคะ อย่างน้อยก็ให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อนเถอะ” เธอว่าพลางทำหน้ามุ่ย “นอนหลับตาไปนิ่งๆ นะคะอาแวน เดี๋ยวพีชจะไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้ ทีหลังไม่สบายก็อย่าปิดมือถือสิคะ คนอื่นเขาจะไม่ได้ต้องเป็นห่วง นี่อาแวนรู้หรือเปล่าว่าพลาดประชุมใหญ่ไปนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณพ่อจัดการเองแล้ว” ร่างเล็กกำลังจะผละออกห่างเตียง แต่มือใหญ่คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ แล้วกระตุกแค่เพียงเบาๆ เธอก็เสียหลักล้มลงมาทับเขาในทันที
ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบทำให้เรเน่เห็นดวงตาสีฟ้ากระจ่างชัดแจ๋ว ใบหน้าขาวคมที่ดูหล่อเหลาของแวนนั้นซีดเผือดเหมือนกระดาษก็ไม่ปาน แต่ถึงอย่างนั้นความหล่อประหารก็ไม่ได้จางหายไปเลย หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวจนแทบกระโจนออกมากองอยู่นอกอก เมื่อแวนยกแขนขึ้นโอบรอบเอวบางไว้
“หนาว...” เขาพึมพำริมฝีปากสั่นระริก กกกอดหลานสาวแนบแน่นโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่ามันทำให้คนที่มีสติครบถ้วนทั้งกระดากอายและหวั่นไหวสุดจะต้านทาน ทว่าก็ยอมนอนนิ่งทาบทับอยู่บนร่างหนาแบบไม่ขยับเขยื้อน ซบศีรษะลงบนอกเขาเพื่อฟังเสียงหัวใจเต้น มันคงดีถ้าสามารถมองผ่านเข้าไปแล้วเห็นว่าตอนนี้ในหัวใจของแวนมีใครจับจองอยู่ เขาถึงได้ชอบทำเย็นชาใส่เธอนัก
เรเน่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งชายหนุ่มหลับสนิทไป เนื้อตัวที่สั่นเทาก็สงบลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อผงกศีรษะขึ้นมองหน้าเขาอีกครั้ง ความรู้สึกมากมายก็ประดังประเดเข้ามา ก่อนที่จะรู้ว่าทำในสิ่งที่ผิดมหันต์ลงไป เรียวปากสีกุหลาบก็แนบลงบนกลีบปากบางได้รูปแบบผู้ชายอย่างแนบสนิท เธอแค่อยากขโมยจูบเขาเพื่อสั่งสอนให้รู้ว่าเขาไม่ควรใจร้ายกับเธอ แต่ทุกอย่างผิดคาดไปหมด เพราะคนที่เริ่มรู้สึกตัวและเพ้ออีกครั้งด้วยพิษไข้ เพิ่มแรงกอดรัดแล้วจูบตอบในแบบที่ทำให้เรเน่หูตาพร่ามัวไปหมด
แวนยกมือขึ้นกดศีรษะเล็กตรึงไว้กับที่ ทำให้ไม่อาจผละหนีได้อย่างใจคิด จูบร้ายกาจของอาหนุ่มที่ตัวเองหลงรักมานานทำเอาร่างทั้งร่างอ่อนระทวย ลิ้นที่อุ่นจนร้อนแทรกชอนเข้าไปในโพรงปากนุ่มเพื่อลิ้มชิมความหวานละมุน ไม่บ่อยนักที่แวนจะจูบใคร แต่ถ้าได้จูบขึ้นมาแล้วมันจะร้อนแรงอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว
มือใหญ่เลื่อนขึ้นมาเกาะกุมต้นแขนเรียวเล็ก ดันร่างบางให้พลิกตัวลงนอนหงาย มันควรจะสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น หากไม่ใช่เพราะสมองของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีต ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับบรรดาแฟนสาวทั้งหลายที่เต็มใจจะหลับนอนด้วยกัน
เขาบดคลึงริมฝีปากเข้าหาอย่างเร่าร้อนรุนแรง ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างกายที่เพลียด้วยพิษไข้ จู่ๆ ไปเอาพลังมหาศาลแบบนี้มาจากไหน มือใหญ่สอดรั้งชายกระโปรงสีขาวสั้นกุดให้สูงขึ้น ลูบไล้ต้นขาเนียนผ่องอย่างสิเน่หา ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นเกาะกุมทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงอยู่ภายใต้เสื้อตัวสวย
ถึงตอนนี้เองที่เรเน่พบว่ายังคงรักแวนในแบบเดิมไม่เสื่อมคลาย เชนท์ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่เธอพยายามบอกตัวเองให้รักเขา สังเกตได้จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ หากคนที่แตะต้องเธอไม่ใช่แวน สาบานได้เลยว่าเธอจะทั้งกัดทั้งจิกทึ้งจนได้แผลไปทั้งตัวแน่ แต่สำหรับแวนเธอยินดีให้ได้ทุกอย่าง ไม่สนใจความถูกผิดอะไรทั้งนั้น เพราะความรักอย่างไรก็คือความรักอยู่วันยังค่ำ ไม่มีสิ่งไหนจะเปลี่ยนแปลงมันได้
แวนถอนริมฝีปากออกห่างเพื่อพรมจูบไปตามซอกคอหอมกรุ่น คงได้ทำมากกว่านั้นไปแล้วหากไม่ใช่เพราะอาการปวดร้าวไปทั้งศีรษะทำให้เขาหยุดทุกอย่าง แล้วพลิกตัวลงไปนอนหงายในตำแหน่งเดิม สองมือยกขึ้นกุมขมับแล้วทำหน้าเหมือนเจ็บปวดเหลือแสน เรเน่กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะรีบลุกพรวดขึ้นจากที่นอนแล้วลงไปยืนหอบหายใจแรงอยู่ข้างเตียง แม้ความคิดจะบอกว่ายินดีให้ได้ทุกอย่าง แต่ทันทีที่แวนยอมหยุด เธอก็โล่งอกเสียจนต้องถอนหายใจยาวๆ ออกมา
หลังจากหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง หญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องไปเพื่อค้นหายาแก้ปวดลดไข้ เมื่อพบมันแล้วจึงนำกลับมาส่งให้จนถึงปากคุณอา ประคองศีรษะให้ดื่มน้ำอย่างระวัง จากนั้นก็ปล่อยให้เขานอนพัก ตัวเธอเองหายเข้าไปในครัวเพื่อทำโจ๊กหมูสับใส่ไข่ลวกให้คนป่วยรับประทาน กว่าจะเรียบร้อยก็ผ่านไปนานเกือบยี่สิบนาที
“อาแวนคะ...อาแวน” เรเน่ใช้มือแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิ เห็นว่าไข้ลดลงพอสมควร แล้วจึงตัดสินใจปลุกชายหนุ่มให้ตื่นมารับประทานมื้อเช้า ทันทีที่ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเผยอแยกพร้อมจ้องมองมา พวงแก้มขาวเนียนของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามไม่นึกถึงจูบร้อนแรงของเขา แต่มันก็โผล่เข้ามาในห้วงความคิดแทบจะทุกวินาที
“เรเน่...” ไม่บ่อยนักที่เขาจะเรียกชื่อเต็มของเธอ
“อาแวนลุกไหวไหมคะ” เธอถามขณะเอื้อมมือไปช่วยดึงให้ลุกขึ้น จัดหมอนพิงไว้กับหัวเตียงเพื่อให้เขาได้เอนตัวอย่างสบาย แวนมองสบตาโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้หญิงสาวเป่าโจ๊กแล้วส่งเข้าปากให้คำแล้วคำเล่า แม้จะแทบไม่รู้รสชาติของมัน แต่เขาก็รู้ว่าจำเป็นต้องกินเพื่อให้ร่างกายไม่อ่อนเพลียจนเกินไป
โจ๊กพร่องไปได้ครึ่งชามแวนก็ยกมือขึ้นปฏิเสธ เรเน่ส่งน้ำดื่มให้จนถึงปาก แต่เขาแย่งแก้วไปยกดื่มเสียเอง จากนั้นก็ตวัดขาตั้งท่าจะลุกจากเตียง ยังไม่ทันได้ทำตามใจนึก ความรู้สึกมึนหัวก็โจมตีจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับอีกรอบ หญิงสาวรีบดึงแก้วน้ำในมือเขาไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วดันไหล่หนาให้เอียงเอนไปพิงหมอนไว้เช่นเดิม
“ไม่ต้องลุกไปไหนหรอกค่ะ อยากได้อะไรก็บอกพีช”
“อารบกวนพีชไม่ได้หรอก”
“พีชรู้ว่าอาแวนโกรธ แต่ช่วยดูจังหวะเวลาหน่อยได้ไหม ตอนนี้อาแวนไม่สบายอยู่ ไข้เพิ่งจะลดลงมานิดหน่อยเอง นี่เพิ่งทานยาไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง ต้องรออีกหลายชั่วโมงกว่าจะทานได้อีก ดีนะคะที่แค่มีไข้ ไม่ได้เป็นหวัดหรือเจ็บคออะไร แต่ถึงยังไงก็อย่าเพิ่งหยิ่งเลยค่ะ ให้พีชช่วยดีกว่า”
“มันไม่ใช่แบบนั้น อาไม่ได้โกรธ ไม่ได้หยิ่งอะไรอย่างที่พีชว่าทั้งนั้น” อาหนุ่มมองสบตา “คืออาปวดฉี่ อยากจะเข้าห้องน้ำ มันคงไม่ดีหรอกถ้าพีชจะเข้าไปช่วยทำให้ มันไม่ได้น่าช่วยขนาดนั้น” คำพูดกำกวมทำเอาเรเน่ต้องฟาดเพี๊ยะเข้าที่ต้นแขนเขาเต็มแรง แวนไม่สะดุ้งสะเทือน แต่ยิ้มมุมปากน่ารักเสียจนเธออยากกระโจนเข้าไปจูบอีกสักรอบ
“พีชก็ไม่ได้จะเข้าไปช่วยอะไรหรอกค่ะ แต่อย่างน้อยก็พาไปส่งที่ห้องน้ำได้”
“ตัวเล็กแค่นี้จะไหวเหรอ ถ้าอาล้มทับขึ้นมาอย่าร้องไห้ไปฟ้องแฟนก็แล้วกัน”
“เมื้อกี้อาแวนทั้งทับทั้งขยี้ พีชยังไม่เห็นตายเลยนี่คะ!” หลุดปากพูดออกมาหน้าตาเฉย เมื่อรู้ตัวก็ทำหน้าตื่นตกใจรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแน่น แวนย่นคิ้วมองด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่โชคดีที่เธอนึกคำแก้ตัวออกมาได้ทัน “คือตอนที่พีชพาอาแวนมานอน อาแวนล้มทับพีชนิดหน่อยน่ะค่ะ พีชยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ไม่บุบสลายตรงไหนด้วย เพราะฉะนั้นให้พีชช่วยเถอะค่ะ พีชเอาอยู่แน่นอน”
จากนั้นหญิงสาวก็กุลีกุจอช่วยดึงเขาลุกจากเตียง ยกแขนกำยำที่หนักอึ้งพาดไหล่เอาไว้ ความจริงแวนเดินไหวอยู่แล้ว แต่อาการหน้ามืดเวียนหัวแวะมาเยือนเป็นระยะ มันคงไม่ใช่ภาพที่น่าดูแน่ หากล้มหัวฟาดพื้นเลือดอาบต่อหน้าหลานสาว
หลังจากได้ทำธุระส่วนตัวและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว แวนก็เดินกลับออกมาด้วยสีหน้าที่สดชื่นขึ้น กระนั้นร่างกายก็ยังย้ำเตือนว่าเขาต้องการพักผ่อนอีกมาก ไข้ก็ยังมีอยู่พอสมควร ดังนั้นทันทีที่เขาล้มตัวลงบนที่นอน เรเน่ก็ทำตัวเป็นพยาบาลสาวคอยดูแลด้วยการเช็ดตัวให้ ชายหนุ่มนอนมองหลานสาวบรรจงลูบไล้ใบหน้าและผิวกายของเขาอย่างนุ่มนวล จนกระทั่งผล็อยหลับไปอีกครั้งอย่างยาวนาน
แวนรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเมื่อพบว่ามีบางอย่างแทรกอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ แต่เมื่อมองเห็นนาฬิกาบอกเวลาเกือบหกโมงเย็น เขาก็ไม่ยอมประมาท รีบสะบัดผ้าห่มออกหวังจะลุกไปกินยาให้ต่อเนื่อง อันที่จริงมันห่างนานหลายชั่วโมงเลยทีเดียว โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไข้ไม่กลับมาอีก
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นหลานสาวซุกตัวอยู่เคียงข้าง รีบพรวดพราดลงจากเตียงนอนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลายปีก่อนเรเน่ชอบย่องเข้ามามุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มของเขาแบบนี้เหมือนกัน แต่วันนี้มันต่างออกไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เขายังคงกังขากับความรู้สึกของเธอ แม้รินรตาจะช่วยพูดให้คิดแล้วก็ตาม ที่สำคัญเธอโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว มันคงไม่เหมาะหากจะมานอนอยู่บนเตียงเดียวกันอย่างใกล้ชิดเกินไป
ถึงเขาจะเป็นอาของเธอ แต่ความจริงมันก็คือความจริง เรื่องที่ว่าเขากับเธอไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ดังนั้นป้องกันไว้เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจะดีที่สุด อย่างไรเสียเขามันก็แค่มนุษย์ผู้ชายธรรมดา อยู่ใกล้กับผู้หญิงทีไรก็เปรียบเสมือนน้ำมันกับไฟอย่างไรอย่างนั้น
แวนนำผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างบอบบางไว้ ก่อนจะเดินไปอุ่นโจ๊กที่ยังเหลืออยู่ในหม้อมานั่งรับประทานอย่างหิวโหย ตามด้วยยาแก้ปวดลดไข้อีกสองเม็ด จากนั้นก็หายเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำสระผมให้สบายตัว กลับออกมาอีกครั้งในสภาพที่มีผ้าขนหนูพันกายหมิ่นเหม่เพียงผืนเดียว มันเป็นเรื่องธรรมดาของหนุ่มโสดที่ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเมื่ออยู่ในพื้นที่ส่วนตัว แต่แวนคงลืมไปว่าตอนนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียว
ทันทีที่กลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อค้นหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ พบว่าเรเน่ตื่นขึ้นมานั่งห้อยขาหน้าง้ำอยู่ตรงปลายเตียง พอเห็นเขาอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเธอก็ทำตาโต กำลังจะรีบลุกออกมาเพื่อให้คุณอาได้แต่งตัว แต่เจ้ากรรมหยดน้ำจากเท้าของเขาทำเอาเธอเสียหลักลื่นพรืด มือไม้คว้าไปรอบตัวเพื่อหลักยึด แต่กลับไม่มีตัวช่วยใดจนต้องล้มตึงลงบนพื้นห้อง
“ว้าย!” หญิงสาวร้องเสียงดังด้วยความตกใจ
“พีช!” เสียงทุ้มของอาหนุ่มทำให้คนที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นรีบเงยหน้าขึ้นมอง มันเป็นการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะเมื่อเงยหน้าเธอก็ได้เห็นแวนจูเนียร์ออกมายิ้มทักทายด้วยความเป็นมิตร แวนหน้าแดงก่ำและพยายามกลั้นหัวเราะสุดขีด เมื่อเรเน่รีบก้มหน้าลงแนบกับพื้นแล้วทั้งร้องทั้งดิ้นเหมือนถูกฟาดด้วยแส้อาบน้ำเกลือ “เอาผ้าขนหนูอาคืนมาสิ แล้วหยุดกรี๊ดได้แล้ว อาหนวกหู!” เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ รู้อยู่หรอกว่าในสถานการณ์แบบนี้มันควรเคร่งเครียด แต่การเปลี่ยนให้มันเป็นเรื่องตลกคงช่วยให้มองหน้ากันได้สนิทใจมากกว่า
“อาแวนบ้า! ทำไมชอบทำตัวเป็นชีเปลือยนักนะ!” เรเน่รีบหันหลังให้ ขณะที่แวนเดินเข้ามาหาเพื่อคว้าผ้าขนหนูที่หล่นอยู่ใกล้ๆ เธอ ไปพันไว้ให้มิดชิดกว่าเดิม
“ขอโทษที อาจะคว้าตัวพีชไว้แต่ผ้ามันหลุดเสียก่อน เจ็บมากไหม”
“ไม่เจ็บที่ล้มหรอกค่ะ แต่น่ากลัวว่าอาจจะเจ็บตาเอาได้” เสียงหวานเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “เดี๋ยวพีชจะออกไปรอข้างนอก ถ้าอาแวนชักช้าพีชจะกลับเข้ามาพร้อมมีดคมกริบเลยนะคะ รับรองว่าต่อไปนี้อาแวนจะไม่ได้โชว์เจ้านั่นให้ใครเห็นอีกแน่!” แล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าปึงปังออกไป ทิ้งแวนให้ยืนขำจนตัวงออยู่คนเดียว เมื่อตั้งสติได้เขาก็รีบแต่งตัวให้เรียบร้อย ก่อนที่แม่หลานสาวตัวแสบจะกลับเข้ามาพร้อมมีดอย่างที่ขู่จริงๆ
เรเน่นั่งเปิดโทรทัศน์ดูหนังไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นไม่ถึงสิบนาทีแวนก็กลับออกมาสภาพหล่อเหลา สวมเสื้อยืดสีน้ำตาลรัดรูปอวดแผงอกล่ำกำยำกับกางเกงยีนสีดำ ผมที่เริ่มยาวละต้นคอหวีเรียบเสยไปด้านหลัง ถ้าไม่ติดว่าเพิ่งผ่านเหตุการณ์น่าอายและทะเลาะกันไว้ในคืนก่อน เธอคงยิ้มกว้างแล้วชมเปาะไม่ขาดปากว่าคุณอาช่างหล่อเสียเหลือเกิน
“อาแวนทานโจ๊กแล้วก็ทานยาแล้วใช่ไหมคะ” เธอถามเมื่อเขาทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง
“เรียบร้อย พีชหิวไหม อาจะได้ทำอะไรง่ายๆ ให้ทาน” เขาถามบ้าง
“พีชทานบะหมี่ไปแล้วตอนที่อาแวนยังหลับอยู่ ยังไม่หิวหรอกค่ะ”
“ใส่ผักกับเนื้อสัตว์ไปด้วยไหม ทานแค่บะหมี่มันไม่มีประโยชน์นะ”
“ใส่ค่ะ พีชเห็นผักกับเนื้อหมูอยู่เลยใส่ไปด้วย จำที่อาแวนสอนได้เสมอแหละค่ะว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมันไม่มีประโยชน์ ไม่ควรทานบ่อย แต่ถ้าจะทานก็ต้องใส่ผักกับเนื้อสัตว์เพิ่มให้มีประโยชน์เสียก่อน” หญิงสาวหันมายิ้มน้อยๆ เมื่อนึกถึงคำบอกสอนในอดีต แล้วถามด้วยน้ำเสียงคล้ายเกรงใจ “พีชมีเรื่องอยากคุยกับอาแวนหน่อย อาแวนไหวใช่ไหมคะ”
“ไหวสิคะ มีอะไรก็พูดมาเถอะ นี่มันใกล้ค่ำแล้ว เดี๋ยวอาจะไปส่งที่บ้าน” แวนหันมายิ้มให้
“อาแวนยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่ใช่ไหมคะ พีชขอโทษแล้ว อาแวนคงยังไม่หายโกรธ ไม่งั้นเมื่อวานนี้อาแวนคงไม่พูดกับพีชแบบนั้น” เธอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาตลอดเวลา ในขณะที่เขาจ้องมองโทรทัศน์อย่างเลื่อนลอย “พีชรู้สึกเสียใจจริงๆ นะคะที่พูดแบบนั้น พีชอยากให้อาแวนยกโทษให้ พีชสัญญาค่ะว่าต่อไปจะไม่พูดจาสิ้นคิดแบบนั้นอีก”
“เรื่องนั้น...” อาหนุ่มหันมาสบตา “มันไม่ใช่ความโกรธหรอก อาไม่มีความจำเป็นต้องยกโทษให้ เพราะอาไม่ได้โกรธพีช การที่อาไม่อยากให้พีชมายุ่งมาสนใจอาอีก มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันคือความเสียใจ ถ้าโกรธมันยังพออภัยให้ได้ แต่ถ้าคนเราเสียใจ เราก็แค่จะไม่อยากยุ่งกับสิ่งที่ทำให้เสียใจอีก”
“พีชต้องทำยังไงล่ะคะอาแวนถึงจะเลิกเสียใจ แล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียที”
“ความเสียใจของอามันจะสิ้นสุดลงถ้าได้เห็นหลานสาวคนนี้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี” มือใหญ่เลื่อนมาลูบศีรษะเล็กได้รูปแล้วโยกเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
