บทย่อ
“อาแวน! พีชไม่ยอมนะคะ พีชไม่แต่งเด็ดขาด พีชไม่อยากได้คนแก่มาเป็นสามี!” “ผู้ชายอายุสามสิบห้ามันแก่ที่ไหนกัน รับรองว่าอายังใช้งานได้ดีมาก...มากกว่าพวกเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ เลยด้วยนะ ถ้าพีชไม่เชื่อ ลองทดสอบดูสักนิดก็ได้ อาไม่ถือ” พูดจบแวนก็คว้าเอวบางเข้ามาแนบชิด ใช้มือใหญ่อบอุ่นรั้งปลายคางมนให้เงยขึ้น แล้วโน้มใบหน้าประกบริมฝีปากเข้าหาอย่างเร่าร้อน เรเน่นิ่งอึ้งยอมให้เขาเคล้าคลึงเรียวปากสีกุหลาบ เพราะตกตะลึงกับการกระทำอันอุกอาจของอีกฝ่ายจนทำอะไรไม่ถูก อย่าว่าแต่เธอเลย.. แม้แต่แวนก็ยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะกล้าจูบหลานสาวตัวเอง!
บทนำ 1
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส...
เสียงร้องไห้ปะปนไปกับการขู่กรรโชกอันชัดเจนว่าเป็นของผู้หญิงที่ดังแว่วมากับสายลม ในค่ำคืนที่เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสนั้นแสนเหน็บหนาว ทำให้สองพ่อลูกต่างวัยที่กำลังนั่งคุยกันถึงเรื่องราวในอนาคตอยู่ตรงม้านั่งริมแม่น้ำ หันมองสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะไล่สายตามองหาต้นตอของเสียงนั้น พบว่ามันดังมาจากแม่น้ำสายเล็กๆ สำหรับพักผ่อนหย่อนใจไม่ไกลจากจุดที่นั่งอยู่นัก
ชายแก่วัยหกสิบแปดปีพยักหน้าให้ลูกชายพร้อมกับลุกขึ้นจากม้านั่งด้วยท่าทางทุลักทุเลอยู่ไม่น้อย ด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้เขาสูญเสียความคล่องตัวไปอย่างสิ้นเชิง ไหนจะอาการเจ็บปวดจากโรคไขข้อกระดูกที่หนักขึ้นทุกวัน ซึ่งมันส่งผลให้นักธุรกิจที่ใกล้จะประสบกับความล้มเหลวอย่าง มาติช เลอฟรองด์ ยิ่งหนักใจและระอาตัวเองมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“ผมว่าเราอาจไม่ปลอดภัยได้นะครับพ่อ” บุตรชายเพียงคนเดียวคัดค้านอย่างลังเล
“นั่นเสียงผู้หญิงนะโนอาห์ พ่ออาจจะเสียท่าเพราะแก่แล้ว แต่แกไม่น่ะไม่มีทางหรอก” มาติชส่งยิ้มซีดเซียวให้อีกฝ่าย รับรู้ถึงกระแสความห่วงใยได้เป็นอย่างดี แต่หากจะให้นิ่งเฉยมองผ่านเสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้นไป เขาไม่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนัก “ตอนที่พ่อเจอแม่ของแกครั้งแรกที่อเมริกา แม่ของแกก็ร้องไห้แบบนี้เหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกว่าเธอจะหนีออกจากบ้านมา ไม่แน่นะ...บางทีแกอาจจะได้เจอเนื้อคู่อีกคนก็ได้” เขาว่าแล้วก็หัวเราะอยู่ในลำคอ
“อย่าพูดเล่นสิครับพ่อ พ่อก็รู้ว่าผมรักอุษาได้แค่คนเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มแย้ง ขณะที่สายตายังคงมองหาต้นตอของเสียง
“สาวไทยที่สวยทั้งหน้าตาและจิตใจคนนั้นเอาแกอยู่หมัดไปแล้วล่ะสิ รีบมีหลานให้ฉันอุ้มได้แล้วนะ ฉันอยากให้หลานสาวของฉันใช้ชื่อของแม่แก ฉันอยากให้เรเน่รู้ว่าพวกเรายังคงระลึกถึงเธอเสมอ” คนที่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาคนแก่มีสีหน้าอิ่มเอิบใจ เหมือนทุกครั้งที่ได้เอ่ยถึงภรรยาสุดที่รัก ที่ล่วงหน้าไปพักผ่อนยังดินแดนอันแสนสงบนานถึงหกปีแล้ว
“ผมไม่ลืมหรอกครับว่าจะให้ลูกของผมใช้ชื่อของแม่ แต่พ่อต้องอยู่ในตอนนั้นด้วยนะ ไม่งั้นผมจะแกล้งลืมแล้วให้แกใช้ชื่ออื่น พ่อยังแข็งแรงกว่าที่คิดนะครับ อย่าทำเหมือนตัวเองเป็นคนแก่อายุสักร้อยปีไปหน่อยเลย พ่อต้องเป็นคนแรกที่ได้เรียกชื่อหลาน ผมจะพยายามให้เป็นหลานสาวอย่างที่พ่อต้องการ แต่พ่อต้องสัญญานะครับว่าจะอยู่ต่อไปจนถึงวันนั้น” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ได้สิ...ฉันสัญญา” ชายชรายิ้มอบอุ่น ซึ่งจังหวะนั้นเองที่ทั้งคู่ได้เห็นผู้หญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงริมแม่น้ำ
เธอมีรูปร่างสูงโปร่งและผอมบางมาก ผิวของเธอขาวซีดเหมือนศพแช่แข็ง ผมสีแดงนั้นชี้ฟูไม่เข้าทรงอย่างร้ายกาจ ทว่าในความเป็นจริงเธอก็จัดว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ข้างๆ กันมีเด็กชายหน้าตาน่ารักยืนน้ำตาคลออยู่ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้ร้องไห้จ้าออกมาอย่างที่เด็กหลายคนมักทำ
“ตั้งแต่แกเกิดมาฉันก็ลำบากจนแทบไม่มีกิน! ทำไมแกไม่ตายตามพ่อแกไปซะเอ็นโซ” หญิงสาวที่ดูแล้วคงรุ่นราวคราวเดียวกับโนอาห์ตวาดใส่เด็กน้อยที่ไร้เดียงสา
มาติชขบกรามแน่น ด้วยเห็นว่าต่อให้จะยากจนแร้นแค้นเพียงใด เจ้าหล่อนก็ไม่สมควรพูดจาเลวร้ายกับสายเลือดของตัวเองแบบนั้น ดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินต่อไปอีกจะยิ่งทำให้ทั้งคู่นิ่งอึ้งด้วยความคาดไม่ถึง
“ฉันเสียเวลามานานหลายนาทีแล้วนะ ฉันบอกให้แกกระโดดลงไปในแม่น้ำนั่น ทำไมถึงไม่กระโดด!” เธอจับไหล่ลูกชายแล้วเขย่าแรงๆ เสียจนหัวสั่นหัวคลอน “กระโดดน้ำซะเอ็นโซ ตามไปอยู่กับพ่อของแก ไอ้คนสารเลวที่กล้าตายหนีความรับผิดชอบไปนั่นมันเป็นพ่อของแก! รู้ไหมแกไม่สมควรเกิดมาเลย แกไม่ควรเกิดมา!”
“แม่ครับ แต่ผมยังไม่อยากตายนี่ครับ อย่าบังคับผมเลย” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ไม่อยากตายก็ต้องตาย ฉันไม่มีปัญญาหาเลี้ยงแกอีกแล้ว! กระโดดลงไปนะ กระโดดเดี๋ยวนี้!”
คราวนี้หญิงสาวไม่พูดเปล่า แต่ฉุดกระชากข้อมือลูกชายให้ปรี่ลงไปชิดริมขอบ และคงผลักให้ตกลงไปในน้ำที่เชี่ยวกรากนั้นด้วยความเลือดเย็นแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีชายแปลกหน้ามาคว้าร่างน้อยของเอ็นโซให้กลับมายืนยังที่ปลอดภัยได้ทันเสียก่อน
“คุณมันไม่ใช่คน! คิดจะฆ่าลูกของตัวเองได้ยังไงกัน” โนอาห์ตวาดลั่น ทำเอาอีกฝ่ายนิ่งอึ้งและมีอาการกระสับกระส่ายที่ถูกจับได้ ใครจะคิดเล่าว่าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วจะยังมีคนอยู่แถวนี้อีก หญิงสาวหน้าซีดปากคอสั่นระริก กำลังคิดหาถ้อยคำแก้ตัว แต่สมองสับสนและหวาดกลัวว่าจะถูกนำตัวส่งให้ตำรวจจนพูดไม่ออก
“ถ้าไม่รักไม่อยากเลี้ยงดูก็น่าจะเอาแกไปส่งให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอไม่น่าใจร้ายแบบนี้เลย” มาติชเดินเข้าไปเผชิญหน้า จ้องมองดวงหน้างามของหญิงใจร้าย แล้วมองสลับไปยังร่างอันสั่นเทาของเด็กชายที่ถูกเรียกว่าเอ็นโซ ก่อนจะแยกยิ้มด้วยความพึงพอใจ
“เธอไม่รู้หรอกว่าลูกชายของเธอมีค่าแค่ไหน แม้กระทั่งตอนที่เธอคิดจะฆ่าเขา เขาก็ยังไม่ร้องไห้โวยวายออกมา ทุกสิ่งที่ฉายออกมาจากดวงตาสีฟ้ากระจ่างคู่นั้นมีเพียงความรักที่ให้กับคนเป็นแม่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เด็กคนนี้จะเติบโตเป็นคนที่เข้มแข็ง...ฉันมั่นใจ”
ชายชรายิ้มอ่อนโยนให้กับเอ็นโซ ตอนนี้ฝ่ามืออบอุ่นของโนอาห์ทำให้เจ้าหนูหน้าตาน่ารักเริ่มใจชื้นขึ้นว่าคงผ่านคืนนี้ไปได้ด้วยดี
“เอายังไงดีครับพ่อ แจ้งตำรวจเลยดีไหม” ลูกชายคนเดียวที่เพิ่งอายุครบสามสิบปีเต็ม หันไปเอ่ยถามกับบิดา
“อย่านะครับท่าน! อย่าแจ้งตำรวจเลย ผมไม่อยากให้แม่ติดคุก” เอ็นโซรีบแทรกขึ้น
“ทำไมกันเจ้าหนู?” มาติชถาม
“ถึงแม่จะไม่รักผม แต่ยังไงแม่ก็คือแม่อยู่ดี ท่านจะเอาผมไปส่งให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ได้ แต่ปล่อยแม่ผมไปเถอะครับ ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้แม่ต้องติดคุก ผมไม่อยากถูกเกลียดมากไปกว่านี้อีกแล้ว” เด็กชายคุกเข่าลงบนพื้นหญ้า ถ้อยคำที่ใช้เรียกสองผู้มาใหม่ว่าท่านนั้นทำให้มาติชยิ่งเกิดความเวทนา
“อย่ากังวลไปเลย ฉันจะทำตามความต้องการของเธอ” ชายแก่เดินเข้าไปคว้าเจ้าของไหล่เล็กให้ลุกขึ้น
“แต่พ่อครับ...” โนอาห์คิดจะแย้ง
“เราจะรับเด็กคนนี้ไปดูแลเองโนอาห์ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นแม่มากพอที่เราจะเสี่ยงให้โอกาสได้ ส่วนเรื่องที่จะให้พาเด็กไปทิ้งที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันทำไม่ลงจริงๆ แล้วก็น่าเสียดายด้วยถ้าจะให้ตัดอนาคตเด็กที่มีความคิดและเข้มแข็งอย่างเจ้าหนูเอ็นโซนี่ เราจะดูแลเขาเท่าที่ทำได้ จากวันนี้ไปเอ็นโซคือลูกชายคนเล็กของตาแก่อย่างฉัน”
“ผมแล้วแต่พ่อเลยครับ ผมไม่รังเกียจอยู่แล้วถ้าจะมีน้องชายมาอยู่ด้วยกันอีกสักคน” โนอาห์ยิ้มพอใจ
ถึงแม้ช่วงนี้ธุรกิจของครอบครัวกำลังประสบกับปัญหา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรับเลี้ยงเด็กที่น่าสงสารคนนี้ได้ บางทีการโอบอ้อมอารีแก่เอ็นโซ อาจช่วยให้ปัญหาที่รุมเร้าอยู่ตอนนี้ดีขึ้นบ้างก็ได้ เขาเชื่อเสมอว่าการทำความดีมักทำให้ได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน
“เธอจะว่ายังไง ยินดียกลูกให้เราไหม หรือยืนยันที่จะให้เขาตายอย่างเดียว” มาติชหันไปถามผู้เป็นแม่
“เอาไปเถอะ! ฉันยกให้ แล้วอย่าคิดเอามาคืนทีหลังแล้วกัน เอาไปแล้วก็ถือว่าไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกันอีก”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าวันหนึ่งเธอจะไม่มาเอาเขาคืนไป”
“ไม่มีวัน! ฉันไม่เคยต้องการเด็กนี่มาตั้งแต่ต้นแล้ว ฉันไม่มีวันอยากได้คืนแน่”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าเด็กคนนี้ทำอะไรให้เธอเกลียดชังนักหนา การที่แม่แท้ๆต้องการจะฆ่าลูกในไส้ของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆเลยนะ” ความไม่เข้าใจทำให้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม สีหน้าของชายสูงวัยดูสลดหดหู่กว่าที่เคยเป็นมาก่อน
“หึ! มันง่ายจะตายถ้ามองถึงความจริง เด็กนี่ทำให้ฉันปวดหัว ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีโซ่ที่หนักอึ้งล่ามไว้บนข้อเท้า ไม่สิ...ล่ามไว้บนหัวเลยมากกว่า ถ้าไม่มีมันสักคน ชีวิตของคนอย่างฉันคงไปได้ไกลกว่านี้ ไม่มีใครไม่ต้องการความก้าวหน้าในชีวิตหรอก ถ้ามันยังอยู่กับฉัน ฉันคงไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการเสียที น่าจะรู้ดีนะว่าการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งมันสิ้นเปลืองและวุ่นวายมากแค่ไหน” หญิงสาวตอบเสียงกระด้าง ส่อถึงความใจร้ายใจดำเป็นที่สุด
“ที่แท้เธอก็แค่รักตัวเองมากกว่าลูก”
“ใช่! ฉันบอกแล้วไงว่ามันไม่ได้เกิดจากความต้องการของฉันมาตั้งแต่ต้นแล้ว!”
“แล้วเธอจะเสียใจที่ทำแบบนี้กับเขา”
“ไม่มีทาง! ไม่ว่ายังไงการไม่มีเด็กนี่เป็นตัวถ่วงก็คือสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุด”
“พอเถอะครับพ่อ อย่าไปพูดกับผู้หญิงคนนี้ให้เสียเวลาอีกเลย ต่อให้พระเจ้ามาเจรจาอยู่ตรงหน้า อะไรก็เปลี่ยนความเลวร้ายในจิตใจเธอไม่ได้หรอกครับ” โนอาห์เห็นผู้เป็นบิดาขยับจะเอ่ยปากต่อจึงรีบห้ามไว้ ก่อนจะหันไปถามแม่ใจยักษ์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอแน่ใจนะว่าไม่ต้องการเอกสารยืนยันแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่ายกเด็กคนนี้ให้เรา”
“แน่ใจ! เลิกพูดมากได้แล้ว รีบเอามันไปให้พ้นหน้าฉันเสียที” เธอเอ่ยอย่างเลือดเย็น สีหน้าและแววตาไม่ได้บ่งบอกถึงความอาลัยอาวรณ์เลยแม้แต่น้อย ขณะหันไปมองทางลูกชาย “แกจำไว้นะเอ็นโซ ต่อไปนี้ฉันไม่ใช่แม่ของแกอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะพบเจอกันที่ไหน แกจำไว้ด้วยว่าให้ทำเหมือนไม่รู้จักกัน แต่คงไม่ได้เจอแล้วล่ะ เพราะอีกไม่กี่วันฉันจะไปจากปารีสนี่เสียที ฉันจะกลับไปอยู่ที่สเปน ถึงมันจะบ้านของพ่อแก แต่ทันทีที่มันตาย บ้านหลังนั้นก็ควรเป็นของฉัน ฉันจะกลับไปทวงสิทธิ์ของฉัน การไม่มีแกคอยเกะกะมันจะทำให้อนาคตของฉันดีขึ้น...ผู้หญิงที่มีลูกติดมันดูน่าสมเพชจะตาย” คำพูดเหล่านี้ทำให้น้ำตาของเอ็นโซไหลพราก มันเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าตอนที่แม่บอกให้เขากระโดดลงไปในแม่น้ำเสียอีก
ดวงตาสีฟ้ากระจ่างที่ถอดแบบมาจากมารดาดูเย็นชาเหมือนคนไร้ความรู้สึก ทุกคำพูดบาดลึกลงในจิตใจเด็กน้อย แม้จะบอกตัวเองว่าแม่คือแม่ แต่พอได้ยินเข้าแบบนี้ความโกรธเกลียดก็เริ่มปะทุขึ้นในส่วนหนึ่งของจิตใจ ในเมื่อผู้ให้กำเนิดรังเกียจเขามากถึงขนาดนี้ จากนี้ไปเขาก็จะลืมไปเสียว่าเคยรู้จักเธอ เขาจะทำตามความต้องการของเธอทุกอย่าง
“ครับ...จากนี้ไปผมจะไม่รู้จักคุณอีกแล้ว คุณฟลอเรนซ์ เคลมองต์” สิ่งที่เอ่ยออกมาทำให้ผู้เป็นแม่หน้าเสียและขัดใจเล็กน้อยที่ถูกเรียกชื่อสกุลออกมาอย่างชัดเจน
ฟลอเรนซ์เชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ไม่มีคำลาหรือแม้กระทั่งกอดสุดท้ายให้กับลูกชาย เอ็นโซเองก็รู้ดีแก่ใจว่าการแสดงออกเหล่านั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้น เขาทำได้แค่เพียงเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง แล้วมองตามแผ่นหลังบอบบางของมารดาที่รีบเดินหนีหายไปในความมืด ด้วยความรู้สึกราวกับโลกทั้งใบกำลังพังทลายลง ก่อนจะทรุดฮวบหมดสติลงบนพื้นหญ้า โดยมีมืออบอุ่นของโนอาห์รับไว้ได้ทัน
“เขาคงเหนื่อยเหลือทนแล้ว พาเขากลับบ้านกันเถอะ” ชายชราถอนหายใจและเอ่ยบอกลูกชาย
“ครับพ่อ” ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับอุ้มร่างผอมบางจนเรียกได้ว่าหนังหุ้มกระดูกขึ้นสู่อ้อมแขน ขณะที่เดินมุ่งหน้าตรงไปยังรถเบนซ์คันงาม โนอาห์ก็ถามบางอย่างที่รู้สึกสะดุดใจ “ผมแปลกใจว่าทำไมพ่อถึงไม่รับเอ็นโซเป็นหลานชาย แต่รับเป็นลูกชายแทนล่ะครับ มันคงแปลกน่าดูถ้าผมจะมีน้องที่อายุห่างกันเกือบยี่สิบปีแบบนี้”
“ไม่รู้สิ ฉันอยากให้เด็กคนนี้เป็นลูกชายของฉันมากกว่าเป็นแค่หลาน ฉันถูกชะตากับเขามาก แต่เรื่องการรับอุปการะอย่างเป็นทางการคงยังทำไม่ได้หรอกนะ เพราะเขาไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมาเลย อีกอย่างตอนนี้เราเองก็ไม่มีความพร้อมตามที่กฎหมายกำหนดด้วย ธุรกิจก็ใกล้จะล่มเต็มทน เด็กคนนี้อาจจะถูกนำตัวไปดูแลที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเอาได้ เพราะฉะนั้นเอ็นโซจะยังคงเป็นเอ็นโซเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่มีแม่ใจร้ายอีกต่อไปแล้ว เขาจะมีเราเป็นครอบครัวใหม่ ฉันจะให้สิทธิ์กับเขาทุกอย่าง แกสัญญาได้ไหมว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้เติบโตขึ้นมาเป็นคนดี ฉันไม่อยากให้อดีตที่เลวร้ายทำให้เขาต้องรู้สึกขาดเหลือทั้งความรักและอนาคต” เหตุผลของบิดาทำให้เขาพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ พร้อมทั้งให้สัญญาอย่างหนักแน่นว่าจะดูแลน้องชายต่างวัยคนนี้ให้ดีที่สุด
“ผมสัญญาครับว่าจะดูแลเอ็นโซอย่างดี”
“ดีแล้วโนอาห์ เชื่อเถอะว่าเด็กคนนี้จะไม่ทำให้แกผิดหวังแน่” ชายชราเอื้อมมือไปตบบ่าลูกชายเบาๆ ขณะเหลือบตามองร่างที่แน่นิ่งในอ้อมกอดแล้วยิ้มกว้าง “แกว่าเอ็นโซจะมีปัญหาไหม ถ้าต่อไปนี้ฉันจะเรียกเขาว่าแวน” ขอความเห็นลูกชายแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความพึงพอใจ
“เอ็นโซจะต้องชอบชื่อนี้ครับ ถ้าเขารู้ว่ามันเป็นชื่อของคุณปู่”
“ฉันก็หวังว่าเขาจะชอบเหมือนกัน”
เก้าเดือนต่อมา...
แวน เอ็นโซ ลูเดนซิโอ คือชื่อเต็มของเด็กชายวัยเกือบสิบขวบที่ตอนนี้สมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ตอนแรกแวนก็กังวลมากว่าจะเข้ากับครอบครัวเลอฟรองด์ไม่ได้ แต่ปรากฏว่ามันง่ายยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้มากโข คุณพ่อคนใหม่อย่างมาติชทำหน้าที่พ่อได้เป็นอย่างดีในแบบที่แวนไม่เคยได้รับมาก่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โนอาห์ก็เป็นพี่ชายต่างวัยที่นอกจากจะหล่อมากแล้ว ยังใจดีกับเขาเสียจนไม่อาจบรรยายออกมาให้หมดได้ แต่คนที่แวนสนิทที่สุดกลับไม่ใช่ทั้งพ่อและพี่ชาย ทว่าเป็นพี่สะใภ้สาวสวยที่เป็นชาวไทยแท้อย่างอุษา เพราะนอกจากเธอจะช่วยสอนภาษาไทยให้จนเขาเริ่มคล่องแล้ว ยังชอบทำอาหารและขนมอร่อยๆ มาคอยเอาใจเสมอ นี่ยังไม่รวมกับการที่มักตัดเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้เขาได้สวมใส่ผลัดเปลี่ยนอยู่แทบทุกเดือน
นับตั้งแต่มีแวนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทุกอย่างก็ดีขึ้นจนน่าประหลาด ธุรกิจที่ทำท่าจะล้มเหลวนั้นฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะได้รับการติดต่อช่วยเหลือจากเครือข่ายในต่างประเทศ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ทำให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าทีเดียว
มาติชเชื่อว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะต้องกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ซึ่งเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้เขาชอบเรียกลูกชายตัวเล็กว่า ‘เจ้าหนูนำโชค’ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องธุรกิจเท่านั้น แต่หลังจากได้แวนมาอยู่ด้วยเพียงสัปดาห์เดียว ครอบครัวเลอฟรองด์ก็ได้รับข่าวดีเรื่องที่อุษาตั้งครรภ์ลูกสาว ซึ่งตอนนี้อายุครรภ์ก็ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่เก้าแล้ว แวนดูจะเห่อหลานมากกว่าคนเป็นพ่อแม่เสียที ถึงขั้นนั่งค้นคว้าข้อมูลการดูแลคนท้องจากหนังสือและอินเทอร์เน็ตเพื่อมาดูแลอุษากันเลยทีเดียว
“แวน! ใจคอจะอ่านหนังสือจนไม่สนใจเวลากินข้าวเลยใช่ไหม? ดี...ฉันจะให้อุษากับหลานในท้องกินให้หมดเลย ไม่เหลือให้แกแม้แต่นิดเดียวเชียวล่ะ”
เสียงของบิดาที่มักเรียกด้วยชื่อใหม่ทำให้หนุ่มน้อยสะดุ้งด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบวางหนังสือแม่และเด็กไว้บนโต๊ะหนังสือภายในห้องนอน แล้วรีบวิ่งซอยเท้าลงบันไดมายังห้องอาหารในทันที
“ขอโทษทีครับพ่อ ผมมัวแต่อ่านเกี่ยวกับการดูแลพี่ษาหลังคลอดน่ะครับ”
ความจริงข้อนี้ทำให้โนอาห์กับอุษามองหน้ากันแล้วหัวเราะน้อยๆ มาติชเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ อันที่จริงก็ไม่ได้ประหลาดใจเสียทีเดียว เขาแค่แปลกใจมากกว่าว่าเด็กอายุสิบขวบจะสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไมนักหนา
“แกดูจะสนใจเรื่องพวกนี้เหลือเกินนะ มีแผนจะรีบมีลูกเมียหรือเปล่า” มาติชแสร้งถาม
“เปล่านะครับ! ผมแค่ศึกษาไว้ดูแลหลานที่จะเกิดมา ผมใฝ่ฝันอยากมีน้องมานานแล้ว อีกอย่างมันก็ถือเป็นความรู้ทั่วไป รู้ไว้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่ครับ” เด็กชายอธิบายไปตามความคิด ขณะบรรจงทาเนยถั่วลงบนขนมปังแผ่นหนานุ่ม แล้วกัดกินไปสองคำซ้อนด้วยท่าทีหิวโหยจนอุษาอดถามไม่ได้
“ไปหิวมาจากไหนกันเอ็นโซ่ ทำเหมือนไม่ได้กินมื้อเที่ยงงั้นแหละจ้ะ” หญิงสาวมักเรียกชื่อเดิมที่คิดว่ามันน่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนิทสนมมากกว่า ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คนอื่นอาจจะเรียกชื่อใหม่ที่มาติชตั้งให้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขายังชอบในชื่อที่มารดาเป็นคนตั้งเสมอ ที่สำคัญเขาไม่ต้องการที่จะลืมเลือนมัน ต่อให้ต้องเจ็บปวดใจเมื่อนึกถึงความจริงก็ตาม
“ใช่ครับ ผมไม่ได้กินมื้อเที่ยง เพราะเก็บเงินสะสมไว้ซื้อของขวัญให้หลาน”
“เฮ้ นายทำแบบนั้นไม่ได้นะแวน อยากซื้ออะไรก็บอกฉันสิ” พี่ชายต่างวัยค้านทันควัน
“ไม่ได้ครับ ผมคิดว่าของขวัญควรมาจากความตั้งใจมากกว่าขอจากคนอื่น ผมสะสมเงินได้ใกล้ครบแล้ว เอาเป็นว่าถ้าไม่ว่าอะไร ผมจะเอาขนมปังเนยถั่วไปกินที่โรงเรียนนะครับ ประหยัดดี” แวนว่าพลางส่งยิ้มกว้างให้ทุกคนที่นั่งล้อมรอบโต๊ะ
“เอาไว้พี่ทำแซนวิชทูน่าให้ดีกว่า เปลี่ยนเมนูไปทุกวันจะได้ไม่เบื่อ เธอจะกินแค่ขนมปังทาเนยถั่วแบบนี้ทุกวันไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวขาดสารอาหารกันพอดี รู้ไหมว่าที่เมืองไทยทุกคนจะนิยมกินผักประกอบอาหารด้วยในทุกมื้อ ร่างกายจะได้แข็งแรงยังไงล่ะจ๊ะ ขืนเธอยังผอมแห้งอยู่แบบนี้ คงไม่มีแรงช่วยพี่เลี้ยงหลานกันพอดี”
“โอเคครับ ผมสัญญาว่าจะกินให้เยอะๆ กินผักด้วยครับ” หนุ่มน้อยยิ้มกว้าง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารมากมายตรงหน้าจนรู้สึกแน่นท้องไปหมด ทุกคนมองแวนก่อนจะหันไปสบตากันด้วยความพอใจ นับวันก็ยิ่งมั่นใจว่าเด็กชายคนนี้คือสิ่งที่ดีสำหรับครอบครัว และแน่นอนว่าในอนาคตข้างหน้ามันจะต้องดีขึ้นกว่านี้อีกมาก

