บทที่ 3 พบหน้าว่าที่สามี 1/2
บทที่ 3
พบหน้าว่าที่สามี
ขณะที่สตรีทั้งสองกำลังปรับความเข้าใจอยู่นั้น อีกด้านหนึ่งกลับมีเงาของสตรีนางหนึ่งยืนหลบมุมอยู่หลังเสา นางมองมาทางทั้งสองด้วยแววตากรุ่นโกรธ เพลิงโทสะอัดแน่นไปทั่วร่างกายบอบบาง แววตามาดร้ายจับจ้องทั้งสองไม่วางตา
“ที่ข้าสั่งไปได้เรื่องหรือไม่” น้ำเสียงหวานเอ่ยถามนางกำนัลที่ถูกซื้อตัว
“ระ เรียบร้อยเจ้าค่ะ ข้าน้อยใส่ในถ้วยน้ำชาของคุณหนูมู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ดี” ดวงหน้างามเผยรอยยิ้มเย็นชา
นางหยิบเงินตำลึงทองให้กับนางกำนัลผู้นั้น แล้วหมุนกายเดินจากไปในทันที ทำเหมือนกับทั้งสองไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน
หลังจากที่เสิ่นลู่ซือปรับความเข้าใจกับมู่ซูเจียว ทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันได้อย่างถูกคอมากยิ่งขึ้น
“องค์รัชทายาททรงเคยร้องไห้เพราะวิ่งหนีหนอนด้วยหรือเจ้าคะ”
มู่ซูเจียวยิ้มขำกับเรื่องเล่าในวัยเด็กของพระคู่หมั้น นางเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงอดจะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ดูท่าทั้งสองคงจะผูกพันกันมาก คงไม่แปลกที่ตอนแรกเสิ่นลู่ซือจะหึงหวงองค์รัชทายาท จนพาลมาผิดใจกับนางที่เป็นพระคู่หมั้นของพระองค์
“พระองค์ทรงขยะแขยงสัตว์ตัวเล็กที่เนื้อตัวนุ่มนิ่มเจ้าค่ะ ข้าเลยชอบแกล้งจับหนอนมาหลอกพระองค์อยู่บ่อย ๆ”
“คุณหนูเสิ่นคงจะสนิทกับองค์รัชทายาทมากใช่ไหมเจ้าคะ”
“ถ้าเป็นตอนเด็กก็ใช่เจ้าค่ะ แต่หลังจากที่เริ่มโตขึ้นเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากแล้ว ยิ่งมีเรื่องที่ข้าเคยทำวีรกรรมเช่นนั้นอีก ตอนนี้พระองค์คงจะเกลียดข้าเข้ากระดูกดำไปแล้ว”
ดวงหน้าที่เคยแย้มยิ้ม พลันเศร้าหมองลงทันใด มู่ซูเจียวที่เริ่มจะชอบนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเสิ่นลู่ซือจึงอดจะรู้สึกผิดไม่ได้
นางเอื้อมไปกอบกุมมือเล็กที่ขาวผ่องนั้นไว้ “คุณหนูเสิ่นอย่าได้กังวลเลยนะเจ้าคะ ถ้าพระองค์รู้ว่าใจจริงของคุณหนูเสิ่นคิดเช่นไร จะต้องหายกริ้วอย่างแน่นอน และข้าจะช่วยผสานรอยร้าวความสัมพันธ์นี้ให้เองเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณนะซูเจียว...เอ่อ ข้าเผลอเรียกชื่อท่านไป ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าคะ”
เสิ่นลู่ซือแกล้งหลุดเรียกชื่อของสตรีตรงหน้า นางหวังว่าจะได้รับความสนิทสนมนี้เพิ่มมากขึ้น
“เรามาเป็นสหายกันเถิดเจ้าค่ะ ต่อไปเรียกข้าซูเจียวก็ได้เจ้าค่ะ” นางยิ้มหวานอย่างใจดี
“เช่นนั้นเรียกข้าว่าลู่ซือนะ”
“อือ...ลู่ซือ”
ทั้งสองแย้มยิ้มให้กันด้วยความจริงใจ มิตรภาพของนางเอกและนางร้ายจึงได้ผลิบานขึ้นอย่างสวยงาม...
“ฮ่องเต้เสด็จ ฮองเฮาเสด็จ องค์รัชทายาทเสด็จ องค์ชายสี่เสด็จ!!”
ขันทีประจำวังหลวงเอ่ยเสียงดังถึงการมาถึงของเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและครอบครัวที่ได้รับเกียรติมาร่วมงานเลี้ยง ต่างรีบลุกขึ้นแล้วยอบกายลงคารวะผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นหวงด้วยความนอบน้อม
ฮ่องเต้ทรงพระดำเนินเคียงคู่มากับฮองเฮา เบื้องพระพักตร์เงียบขรึมสูงส่งราวกับเทพเซียน ถัดมาเป็นองค์รัชทายาท ‘หวงเฟยหลง’ ผู้ซึ่งเกิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อน ต่อมาเป็นองค์ชายสี่ ‘หวงเฟยอิน’ พระโอรสเพียงหนึ่งเดียวของฮองเฮาองค์ปัจจุบัน
เมื่อฮ่องเต้กับฮองเฮาประทับยังที่นั่งแล้ว สายพระเนตรกวาดตามองผู้คนในงาน ก่อนจะสะดุดที่ชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่ติดอยู่ในความทรงจำ พระองค์ส่ายหัวไล่ความคิดที่ไร้สาระของตนออกไป ก่อนจะโบกพระหัตถ์ให้ทุกคนลุกขึ้นได้
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!!
ตั้งแต่ที่หวงเฟยหลงนั่งลงยังที่ประทับ สายพระเนตรคมกริบก็คอยเมียงมองไปทางพระคู่หมั้นสาว ยิ่งเห็นว่านางกำลังพูดคุยกับเสิ่นลู่ซือ หัวคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดแน่นจนแทบเป็นปม
“เหตุใดนางจึงเข้าไปคุยกับเจียวเอ๋อร์ของข้า” น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยถามองครักษ์ข้างกายที่ติดตามมาด้วย
“ที่นั่งของทั้งสองอยู่ติดกันขอรับ”
หวงฟางหลงแค่นเสียงหึด้วยความไม่สบอารมณ์ “ฝีมือของฮองเฮาสินะ คงไม่อยากจะแก่ตายจริง ๆ เสียด้วย เรื่องเมื่อตอนที่เจียวเอ๋อร์ตกน้ำก็เป็นฝีมือของนางด้วยใช่หรือไม่”
‘โม่โฉ่ว’ องครักษ์ผู้ภักดีของหวงเฟยหลง ขยับไปกระซิบที่หูของผู้เป็นนายเสียงเบา
“ใช่แล้วขอรับ ส่วนคนที่ผลักคุณหนูมู่ในวันนั้นถูกพบเป็นศพที่บ่อน้ำท้ายวัง”
“เสร็จงานก็ฆ่าปิดปากเลยสินะ นางยังคงโหดเหี้ยมไม่แปรเปลี่ยนจริง ๆ ยังดีที่เจ้าสี่ยังรู้ความ ไม่มีนิสัยเฉกเช่นนาง”
“...”
หวงเฟยหลงตวัดสายตาขุ่นมองโม่โฉ่วด้วยความไม่สบอารมณ์
“เมื่อไรเจ้าจะหยุดถนอมคำพูดนะโม่โฉ่ว กลัวจะมีทองคำร่วงออกมาจากปากหรืออย่างไร เพราะเหตุนี้ไงเล่าเจ้าถึงยังไม่มีฮูหยินข้างกายเสียที สตรีที่ข้าแนะนำให้เจ้าก็บอกปัดไปเสียหมด”
“ข้าไม่อยากมีภาระเพิ่ม”
ชายหนุ่มจนใจกับคนสนิทข้างกาย เขาโบกมือไปมาก่อนจะกวาดสายตาไปมองนางในดวงใจของตน
แต่ยิ่งมองนานเท่าใด เขาก็ยิ่งมึนงงสับสน ไม่ใช่ว่าเสิ่นลู่ซือเกลียดชังคู่หมั้นของเขามิใช่หรือ เหตุใดทั้งคู่จึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเช่นนี้กัน ยิ่งเห็นรอยยิ้มหวานของทั้งสองเช่นนี้ พาลให้หัวใจแกร่งของเขาเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
เพราะรอยยิ้มหวานและท่าทางอ่อนหวานของมู่ซูเจียว จึงทำให้หัวใจที่เคยด้านชาของเขาหวั่นไหวอย่างไรเล่า ยิ่งพิศดวงหน้าหวานของนาง เขาก็อยากจะรีบแต่งงานกับเจียวเอ๋อร์เสียเดี๋ยวนี้เลย
“น่ากลัวขอรับ”
“ฮะ!” หวงเฟยหลงหันขวับมามองโม่โฉ่วอย่างคาดคั้น
“สายตาของพระองค์น่ากลัวขอรับ เหมือนกับชายวิปริต ข้าเกรงว่าคุณหนูมู่มาเห็นจะกลัวขอรับ”
“เจ้า!!”
หวงเฟยหลงกัดฟันกรอด เวลาที่อยากจะให้พูดก็สงวนคำเสียเหลือเกิน แต่มาคราวนี้กลับยั่วโมโหเขาเสียอย่างนั้น ช่างเป็นคนที่ไม่กลัวตายเลยจริง ๆ
โม่โฉ่วกระตุกยิ้มยียวน ก่อนสายตาคมเข้มจะทอดมองไปสบกับดวงตากลมโตของเสิ่นลู่ซือ มุมปากหยักหนายกโค้งเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
